11 ส.ค. 2021 เวลา 12:40 • ประวัติศาสตร์
จักรพรรดินีนาม เฟือง : ฮองเฮาองค์สุดท้ายของเวียดนาม กับเรื่องราวที่ถูกลืม
4
เวียดนาม ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารแสนอร่อย และเศรษฐกิจที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ประเทศที่ถูกจับตามองว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญของประเทศไทย
4
แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไปในอดีต ในสมัยก่อนเวียดนามก็เคยมีกษัตริย์ปกครองมาก่อน และราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองเวียดนามคือราชวงศ์งเหวียน (Nguyễn) โดยมีจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย หรือ บ๋าวดั่ยฮ่องเต้ ซึ่งพระมเหสีของพระองค์ก็คือ จักรพรรดินีนาม เฟือง หรือ นามเฟืองฮองเฮา สตรีที่ความงามและความดีของเธอ ยังคงตราตรึงคนเวียดนามที่มีชีวิตอยู่ในรัชสมัยของพระองค์มาจนถึงปัจจุบัน
2
ตราประทับของราชวงศ์งเหวียน ราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม (Source: Wikipedia)
แม้ปัจจุบันคนเวียดนามส่วนใหญ่จะลืมเรื่องราวของพระองค์ไปแล้ว แต่ในช่วงที่ยังดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีอยู่ พระองค์คือคนในราชวงศ์เพียงคนเดียวที่นับถือศาสนาคริสต์ พระองค์คือผู้ที่กล้าต่อกรกับกฎของราชวงศ์ และที่สำคัญคือพระองค์คือผู้ที่ทำให้บทบาทของสตรีเวียดนาม เป็นมากกว่าแม่และคนทำงานบ้าน
1
วันนี้ Kang’s Journal ขอพาทุกคนไปรู้จักกับเรื่องราวของเธอกันครับ จักรพรรดินีนาม เฟือง : ฮองเฮาองค์สุดท้ายของเวียดนาม กับเรื่องราวที่ถูกลืม
1
จักรพรรดินีนาม เฟือง จักรพรรดินีองค์สุดท้ายของเวียดนาม (Source: Wikipedia)
*เนื่องจากผมไม่ถนัดการใช้คำราชาศัพท์ ผมอาจจะมีการใช้ภาษาธรรมดาในการเขียนนะครับ ต้องขออภัยผู้อ่านมา ณ ที่นี้ด้วย
1
เวียดนามในตอนนั้น
ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับชีวิตของพระองค์ ต้องขอกล่าวถึงสภาพบ้านเมืองและสังคมของเวียดนามในขณะนั้นก่อนว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
1
เวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนมานานหลายศตวรรษ ซึ่งเป็นสาเหตุให้วัฒนธรรมต่าง ๆ หลายอย่างของเวียดนาม มีลักษณะคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมจีน แม้จะมีความพยายามที่จะแยกตัวเป็นอิสระหลายครั้งโดยชาวพื้นเมือง แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งปี ค.ศ. 939 เมื่อจีนเริ่มเสื่อมอำนาจลงจากปัญหาภายใน ทำให้ชนพื้นเมืองสามารถลุกขึ้นมาต่อต้าน และขับไล่กองทัพของจีนออกไปจากดินแดนเวียดนามได้ในที่สุด
2
ภาพของสองพี่น้องตระกูลตรุง (Trưng) สองวีรสตรีของเวียดนามที่ช่วยขับไล่ชาวจีนออกจากดินแดนเวียดนาม (Source: worldhistory.org)
ราชวงศ์แรกของเวียดนามคือราชวงศ์โง (Ngô) จากนั้นเวียดนามก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์มาโดยตลอด โดยจะมีราชวงศ์ต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามกาลเวลา แน่นอนว่าจีนก็ยังพยายามที่จะผนวกเวียดนามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอยู่ จนสุดท้ายเกิดการเจรจาสงบศึกขึ้น โดยเวียดนามจะมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของจีน และต้องส่งเครื่องบรรณาการให้จีนทุก ๆ 3 ปี เพื่อแลกกับการที่เวียดนามสามารถมีอิสระในการปกครองตนเองได้ โดยปราศจากการรุกราน
6
ราชวงศ์ต่าง ๆ มาแล้วก็ไป ความชิงดีชิงเด่นในราชสำนักดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงปี 1773 เกิดกบฏภายในประเทศขึ้น ทำให้ราชวงศ์งเหวียนต้องลี้ภัยมาอยู่ที่สยามประเทศในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงของรัชกาลที่ 1
1
พระเจ้าเตี่ยน โง เวือง (Tiền Ngô Vương) จักรพรรดิองค์แรกของเวียดนาม (Source: Wikipedia)
จากนั้นราชวงศ์งเหวียนรวบรวมสรรพกำลัง พร้อมกับความช่วยเหลือของฝรั่งเศส กลับไปปราบกบฏที่เวียดนามได้เป็นที่สำเร็จ มีการสถาปนาผู้นำของตระกูลงเหวียนขึ้นมาเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่นามว่า จักรพรรดิยา ล็อง และสถาปนาเมืองฮเว้ขึ้นมาเป็นเมืองหลวง และขยายอาณาเขตของเวียดนามออกไปเรื่อย ๆ จนมีขนาดเกือบเท่ากับประเทศเวียดนามในปัจจุบัน
จักรพรรดิยา ล็อง ผู้รวบรวมเวียดนาม และก่อตั้งราชวงศ์งเหวียนขึ้น (Source: Wikipedia)
ฝรั่งเศสเจ้าปัญหา
การที่ฝรั่งเศสเข้ามาช่วยเวียดนามนั้นมีเหตุผลแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็คือการล่าอาณานิคมในแถบอินโดจีนนั่นเอง ในตอนนั้นอังกฤษมีแผนที่จะยึดครองเอาอินเดียและพม่ามาเป็นอาณานิคมแล้ว ดังนั้นฝรั่งเศสจะปล่อยให้อังกฤษขยายอาณานิคมมามากกว่านี้ไม่ได้อีกต่อไป
1
เรื่องนี้เหล่าบรรดาจักรพรรดิของเวียดนามก็รับรู้เป็นอย่างดี ทำให้ทุกพระองค์มีนโยบายต่างประเทศที่เหมือนกันคือต่อต้านศาสนาคริสต์ จำกัดการเคลื่อนไหวของบรรดามิชชันนารี และจำกัดการค้าขายกับชาติฝรั่งเศส
2
ในที่สุดเมื่อถึงรัชสมัยของจักรพรรดิตึ ดึ๊ก (Tự Đức) จักรพรรดิองค์ที่ 4 ของราชวงศ์งเหวียน ฝรั่งเศสขอจัดตั้งสถานกงศุลที่เมืองดานัง ซึ่งทางราชสำนักปฏิเสธทันที และฝรั่งเศสก็ใช้ข้ออ้างนี้เป็นหนึ่งในข้ออ้างในการบุกเวียดนาม
2
จักรพรรดิตึ ดึ๊ก จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์งเหวียน (Source: Wikipedia)
เวียดนามที่กองทัพไร้ซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยพ่ายแพ้อย่างราบคาบ และฝรั่งเศสก็เข้ายึดพื้นที่ทั้งหมดของเวียดนามได้ ทำให้เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในยุคสมัยของจักรพรรดิเหียป ฮหว่า จักรพรรดิองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์งเหวียน ซึ่งพระองค์ถูกขับไล่ออกจากบัลลังก์โดนเหล่าบรรดาเสนาบดี และบังคับให้ทำอัตวินิบาตกรรม หรือฆ่าตัวตายนั่นเอง
3
เวียดนามภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต เขตโคชินไชน่าทางตอนใต้ ซึ่งจะปกครองแบบอาณานิคมเต็มตัว เขตอันนามตอนกลาง ที่จะให้ราชวงศ์งเหวียนปกครองต่อไปได้ แต่อยู่ภายใต้การกำกับของผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศส ซึ่งนั่นหมายความว่า ราชวงศ์เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ส่วนเวียดนามตอนเหนือหรือเขตตังเกี๋ย จะปกครองกึ่งอาณานิคมกึ่งรัฐอารักขา
3
แผนที่ของดินแดน French Indochina สังเกตว่าเวียดนามจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนได้แก่ ตังเกี๋ย (Tonkin) ทางตอนเหนือ อันนาม (Annam) ทางตอนกลาง และ โคชินไชน่า (Cochin China) ทางตอนใต้ (Source: Wikipedia)
การที่ราชวงศ์งเหวียนต้องปกครองโดยมีผู้สำเร็จราชการหมายความว่า นโยบายทุกอย่างจะต้องได้รับความเห็นชอบจากฝรั่งเศส รวมถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของการเลือกองค์ชายเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ ซึ่งแน่นอนว่าฝรั่งเศสย่อมที่จะเลือกองค์ชายที่หัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย และไม่ต่อต้านฝรั่งเศส การสืบทอดตำแหน่งผ่านทางสายโลหิตตรงถูกมองข้ามไปอย่างไม่ใยดี
1
แต่ทุกอย่างไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จักรพรรดิสองพระองค์ที่ฝรั่งเศสเลือกมา สุดท้ายกลับพยายามก่อกบฏ สร้างความปวดหัวให้กับเจ้าอาณานิคมเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อมาถึงจักรพรรดิขาย ดิ่ญ (Khải Định) จักรพรรดิองค์ที่ 12 ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความไม่เอาไหน และดำเนินนโยบายทุกอย่างที่ฝรั่งเศสสั่งให้ทำ ทางการฝรั่งเศสเลยต้องวางแผนล่วงหน้าในการเลือกจักรพรรดิองค์ที่ 13
3
จักรพรรดิขาย ดิ่ญ จักรพรรดิองค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์งเหวียน (Source: Wikipedia)
สิ่งที่ฝรั่งเศสทำคือ การเชิญจักรพรรดิขาย ดิ่ญ ให้เดินทางไปร่วมงานเทศกาลในประเทศฝรั่งเศส พร้อมกับโอรสองค์โต หรือองค์ชายงเหวียน ฟุก หวิญ ถวิ (Nguyễn Phúc Vĩnh Thụy) และเมื่อถึงวันเดินทางกลับทางเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสกลับบอกกับจักรพรรดิขาย ดิ่ญว่า ให้องค์ชายอยู่ต่อที่ฝรั่งเศสเลย เพื่อให้ได้ศึกษาและเรียนรู้ถึงความศิวิไลซ์ของชาติตะวันตก และเพื่อเตรียมพร้อมให้พระองค์เป็นจักรพรรดิที่เพียบพร้อมคนต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าองค์จักรพรรดิก็ยอมทำตามโดยไม่ปฏิเสธใดใด
5
และนี่คือวิธีที่ฝรั่งเศสจะการันตีได้ว่าองค์ชายงเหวียน ฟุก หวิญ ถวิ จะซึมซับความเป็นตะวันตกอย่างเต็มตัว เพื่อที่พระองค์จะไม่ต่อต้านฝรั่งเศส จริง ๆ มีคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่ว่า “องค์ชายจะต้องสีเหลืองแค่ผิว ส่วนอื่นตั้งแต่เลือดเนื้อ จิตใจ และความคิดจะต้องเป็นแบบตะวันตกทั้งหมด”
1
ในเวลาต่อมาเมื่อบิดาของพระองค์เสียชีวิต องค์ชายงเหวียน หวิญ ถวิ ได้รับการบรมราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย (Bảo Đại) จักรพรรดิองค์ที่ 13 และหลังจากสิบปีที่อยู่ที่ฝรั่งเศส พระองค์ก็จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสถาบันรัฐศาสตร์ศึกษา ประจำกรุงปารีส สถาบันที่ผลิตนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศสมากมาย และตอนนี้พระองค์ก็พร้อมที่จะเดินทางกลับเวียดนาม เพื่อรับหน้าที่เป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดองค์ต่อไป
1
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ตอนศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส (Source: http://theguide.vneconomictimes.com/)
ชีวิตวัยเด็ก
กลับมาเรื่องของจักรพรรดินีนาม เฟือง ชื่อนาม เฟือง เป็นชื่อที่เธอได้รับ ตอนที่ได้รับตำแหน่งจักรพรรดินี ชื่อจริงตอนเกิดของเธอคือ เหวียน ฮืว ถิ หลาน (Nguyễn Hữu Thị Lan) เธอเกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 1914 ที่เมืองโก เธอเป็นลูกสาวของปิแยร์ งเหวียน ฮืว ฮาว (Pierre Nguyễn Hữu-Hào) หนึ่งในพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดของเวียดนามในขณะนั้น และ มารี เล ถิ บิ่ญ (Marie Lê Thị Binh) ทำให้เธอเกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง และความสะดวกสบาย
1
เหวียน ฮืว ถิ หลาน ตอนอายุ 2 ขวบ (Source: Wikiwand)
และเป็นเรื่องปกติของเศรษฐีเวียดนามที่มักจะส่งลูกหลานตนเองไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นเมื่ออายุได้ 12 ปี เธอถูกส่งตัวไปยังโรงเรียนคอนแวนต์ชั้นนำของฝรั่งเศส ที่นั่นเธอได้ใช้ชีวิตแบบเด็กสาวยุโรป เรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมมารยาทแบบยุโรป เธอสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว และชื่อภาษาฝรั่งเศสของเธอคือ จีน มาเรียต และก็เหมือนกับสมาชิกทุกคนในตระกูลของเธอ เธอนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก และนับถืออย่างเคร่งครัดด้วย
3
แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเธอ เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องของความงาม แม้กระทั่งตอนเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส ความงามของเธอก็เลื่องระบือไกลกลับมายังบ้านเกิดของเธอ และเธอได้รับเลือกให้ได้รับตำแหน่งมิสโคชินไชน่าถึง 3 ปีซ้อน ทั้ง ๆ ที่ตัวเธอ ไม่ได้อยู่ที่เวียดนามด้วยซ้ำ
เหวียน ฮืว ถิ หลาน ตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนคอนแวนต์ในประเทศฝรั่งเศส (Source: Pinterest)
รักแรกพบ
เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษา และกลับมาเวียดนาม ด้วยรูปร่างที่สูงเกิน 175 ซม. เกินมาตรฐานสาวชาวเวียดนามทั่วไป ความงามสง่า ผอมเพรียว พร้อมดีกรีนักเรียนนอก ทำให้เหวียน ฮืว ถิ หลาน กลายเป็นหญิงสาวเนื้อหอม และเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั่วไป และด้วยการที่เธออยู่วงสังคมชั้นสูงอยู่แล้ว ทำให้เธอมักจะถูกเชิญไปงานเลี้ยงต่าง ๆ และกลายเป็นดาวเด่นของงานอยู่เสมอ
เหวียน ฮืว ถิ หลาน สาวนักเรียนนอกที่หมายปองของหนุ่ม ๆ เวียดนาม (Source: Pinterest)
และหนึ่งในงานเลี้ยงนั้นถูกจัดขึ้นในปี 1932 โดยผู้สำเร็จราชการประจำอินโดจีนที่โรงแรมพาเลซ โรงแรมที่ดีที่สุดของเมืองดาลัต สถานที่โปรดปรานของของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย และแน่นอนงานในครั้งนี้พระองค์ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากปารีสก็ได้รับเชิญมาเป็นแขกกิตติมศักดิ์ด้วย
1
แขกคนสำคัญอีกคนที่ได้รับเชิญมาคือ เหวียน ฮืว ถิ หลาน สาวสวยลูกหลานของตระกูลเศรษฐีประจำเขตโคชินไชน่าที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากกรุงปารีส ว่ากันว่าตอนแรกเธอจะไม่ไปงานนี้แล้วด้วยซ้ำ แต่ลุงของเธอคะยั้นคะยอจนสุดท้ายเธอต้องยอมไป
3
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ยในวัยหนุ่ม (Source: journeyonair.com)
เมืองดาลัต ช่วงปลายปีมีอากาศเย็นสบาย บรรยากาศสุดแสนโรแมนติค ค่ำคืนนั้นเมื่อเธอเดินทางมาถึงสถานที่จัดงาน เธอได้รับการแนะนำให้รู้จักกับจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เธอเดินเข้ามาในห้องที่พระองค์นั่งพักอยู่ด้วยความมั่นใจ และถอนสายบัวอย่างงดงามตามมารยาทที่เธอร่ำเรียนมาจากโรงเรียนคอนแวนต์ องค์จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เมื่อแรกเห็นเธอนั้นก็หลงเสน่ห์เธอทันที พระองค์กล่าวว่า "เธอมีความนุ่มนวลเหมือนสาวจากทางภาคใต้ พร้อมกับความเป็นตะวันตกเล็กน้อย นี่คือสิ่งที่ทำให้เราตกหลุมรักเธอ"
2
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่แยกจากกันอีกเลย องค์จักรพรรดิหลงเสน่ห์หญิงสาวแสนสวย รูปร่างผอมบาง ผู้ที่สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว แถมยังรู้มารยาทของชาวตะวันตกเป็นอย่างดีเหมือนกับพระองค์ ทั้งสองพูดคุย และเต้นรำกันอย่างมีความสุข และเมื่อค่ำคืนนั้นจบลง ทั้งสองก็รู้แล้วว่าในอนาคต พวกเขาจะต้องเจอกันอีกครั้งให้ได้
1
เหวียน ฮืว ถิ หลาน ผู้กุมหัวใจของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย (Source: Vietnamnet)
อุปสรรคขวางกั้น
และก็เหมือนกับความรักของราชวงศ์ทั่วโลก ความรักย่อมมีอุปสรรคเสมอ และอุปสรรคในครั้งนี้ก็ช่างใหญ่หลวงนัก
อย่างแรกเลยคือจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีอำนาจสูงสุดในเวียดนาม สาว ๆ ทั่วประเทศแทบจะถวายตัวมาเป็นมเหสีของพระองค์ เพราะนั่นหมายถึงชีวิตที่จะสบายไปชั่วชีวิต อุปสรรคนี้อาจจะฟันฝ่าได้ไม่ยากนัก เพราะ เหวียน ฮืว ถิ หลาน มีรูปร่างหน้าตาสะสวย และเติบโตมาในสังคมตะวันตกเหมือนพระองค์
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ชายผู้มีอำนาจสูงสุดในเวียดนาม (Source: Pinterest)
อย่างที่สองคือ มารดาของพระองค์กับทางราชสำนักได้คัดเลือกสตรีที่เหมาะสมไว้ให้กับพระองค์อยู่แล้ว โดยส่วนมากตัวเลือกก็จะเป็นลูกสาวของเหล่าบรรดาขุนนางคนสำคัญ
สำหรับข้อนี้มารดาของพระองค์ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ทันทีเมื่อพระองค์เดินทางกลับมาถึงเวียดนาม ซึ่งพระองค์ก็ทำให้ทั้งราชสำนักแทบช็อค เพราะพระองค์บอกว่า “เราจะเลือกคู่แต่งงานของเราเอง” สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดการปกครองของราชวงศ์ เพราะในสมัยก่อนองค์จักรพรรดิจะต้องแต่งงานกับคนที่ราชสำนักเลือกมาให้เท่านั้น
2
ฮองไทเฮาตือ กุง มารดาของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ผู้เคร่งครัดในกฎของราชสำนัก (Source: blogspot)
อย่างที่สามคือกฎอันซับซ้อนของราชวงศ์ ที่ระบุไว้ว่า ในขณะที่จักรพรรดิ (ฮ่องเต้) ยังมีชีวิตอยู่ ภรรยาของพระองค์จะไม่ได้รับตำแหน่งจักรพรรดินี (ฮองเฮา) แต่จะได้รับตำแหน่งอัครมเหสีแทน ซึ่งหน้าที่สำคัญของเธอคือ ให้ประสูติกาลพระโอรสเพื่อสืบทอดราชวงศ์ และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธที่มีอยู่ตลอดเวลาแทบทุกวัน
1
พระราชพิธีในพระราชวังหลวงที่เมืองฮเว้ ที่มักจะมีอยู่ตลอดเวลา (Source: Wikipedia)
ข้อที่สามนี่เองคืออุปสรรคที่สำคัญที่สุดเพราะ เหวียน ฮืว ถิ หลาน เป็นสาวสมัยใหม่ที่นับถือศาสนาคริสต์อย่างเคร่งครัด ดังนั้นเธอและครอบครัวจึงยื่นข้อเสนอให้กับทางราชสำนักว่า ถ้าจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย จะแต่งงานกับเธอ เธอจะต้องได้รับตำแหน่งจักรพรรดินีหรือฮองเฮาทันที และเธอจะต้องได้รับอนุญาตให้นับถือศาสนาคริสต์ต่อไป และลูก ๆ ทุกคนจะต้องนับถือศาสนาคริสต์ตามเธอด้วย
4
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ราชสำนักจะยอมไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะองค์ฮองไทเฮา หว่าง ถิ กุ๊ก (Hoàng Thị Cúc) มารดาของจักรพรรดิบ๋าว ดัั่ย ที่รู้สึกไม่ชอบหน้าเธอขึ้นมาทันที เพราะการกระทำแบบนี้คือการหยามหน้าราชวงศ์อย่างชัดเจน ส่วนบรรดาข้าราชสำนักต่างก็มองว่าพระองค์ไม่ควรลดตัวลงไปยอมรับเงื่อนไขที่ตั้งโดยสามัญชน
5
แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ไม่มีใครสามารถห้ามความรักของทั้งสองได้ จนในที่สุดทั้งสองก็ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกัน
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ยในวัย 20 ปี (Source: Pinterest)
ครองคู่ชู้ชื่น
วันที่ 9 มีนาคม 1934 มีการประกาศต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการถึงการแต่งงานระหว่าง เหวียน ฮืว ถิ หลาน วัย 20 ปี ลูกสาวจากตระกูลเศรษฐีผู้มั่งคั่ง และจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ในวัย 21 ปี ซึ่งในข้อความนั้นพระองค์กล่าวอย่างชัดเจนว่า “มเหสีของเรา เติบโตมาในประเทศฝรั่งเศสเหมือนกับเรา มีความสง่างามตามแบบผู้หญิงตะวันตก และมีเสน่ห์ตามแบบผู้หญิงตะวันออก เราได้มีโอกาสพบเธอหลายครั้ง และเราเชื่อมั่นว่าเธอสามารถเป็นคู่คิดและมีความสามารถเท่าเทียมกับเรา เรามั่นใจว่า ด้วยอุปนิสัยของเธอ เธอควรจะได้รับตำแหน่งสตรีหมายเลขหนึ่งของอาณาจักร”
1
เจ้าสาวถูกนำตัวเข้ามายังพระราชวังหลวง (Source: ohman.vn)
งานแต่งงานของทั้งสองถูกจัดขึ้นในวันที่ 20 มีนาคม 1934 ณ พระราชวังหลวงที่เมืองฮเว้ โดยทั้งหมดเป็นการแต่งงานตามพระราชพิธีดั้งเดิม ส่วนในวันที่สี่ มีการจัดงานแต่งงานแบบตะวันตก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของราชสำนัก โดยมีแขกเข้ามาร่วมงานมากถึง 700 คน
2
บรรยากาศงานอภิเษกสมรส ในภาพจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยกำลังเดินเข้างาน (Source: ohman.vn)
และพระองค์ก็ทำเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดคือจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ได้ประกาศสถาปนา เหวียน ฮืว ถิ หลาน ขึ้นมาเป็นจักรพรรดินีหรือองค์ฮองเฮา ทำให้เธอเป็นมเหสีคนแรกของราชวงศ์งเหวียนที่ได้ตำแหน่งนี้ตอนที่พระสวามียังมีชีวิตอยู่ พร้อมมอบชื่อใหม่ให้กับเธอว่า “นาม เฟือง” ซึ่งแปลว่า "ความหอมแห่งภาคใต้"
4
พระองค์ยังประกาศอีกว่าพระองค์จะดำเนินตามขนบตะวันตกด้วยการยึดค่านิยมผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งนำความตกตะลึงอีกครั้งมาสู่ราชสำนัก เพราะตามประเพณีแล้ว องค์จักรพรรดิสามารถมีนางสนมได้หลายองค์ และสมควรจะต้องมีด้วยเพื่อเป็นการทำให้แน่ใจได้ว่า พระองค์จะมีโอรสไว้สืบสกุลต่อไป
2
จักรพรรดินีนาม เฟือง ในชุดแต่งงานของราชสำนักเวียดนาม (Source: Pinterest)
ฟันฝ่าอุปสรรค
ในตอนแรกมีกระแสต่อต้านจักรพรรดินีค่อนข้างมากจากพสกนิกรทั่วไป หลายคนมองว่าเธอหัวแข็ง และการที่เธอไม่ยอมเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาพุทธ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร และไม่เป็นมงคลต่อราชวงศ์อย่างยิ่ง นิตยสาร New York Times รายงานว่าประชาชนโดยส่วนใหญ่ รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับการแต่งงานในครั้งนี้ และพสกนิกรหลายคนจะเรียกพระองค์ว่า “ผู้หญิงฝรั่งเศสคนนั้น”
บรรยากาศงานอภิเษกสมรส สังเกตว่าจักรพรรดินีนาม เฟืองเดินนำหน้าจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย พระสวามีของพระองค์ด้วยความมั่นใจ ซึ่งทำให้หลายคนไม่พอใจ (Source ohman.tv)
อย่างไรก็ตาม ถึงเวลาที่พระองค์จะต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ยอมรับของเหล่าบรรดาพสกนิกร ซึ่งเป็นโชคดีของพระองค์ที่จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ต้องการให้พระองค์ออกมาทำงานเคียงคู่กับพระองค์ ดั่งที่สตรีหมายเลขหนึ่งในต่างประเทศพึงกระทำ
1
พระองค์สร้างโรงเรียนหลายแห่ง แวะไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยตามโรงพยาบาล และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บริจาคเงินมากมายเพื่อการกุศล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีผู้หญิงจากราชสำนักคนไหนทำมาก่อน สิ่งเหล่านี้ทำให้เหล่าบรรดาพสกนิกรของพระองค์เริ่มที่จะมีความคิดบวกกับพระองค์มากขึ้น
2
จักรพรรดินีนาม เฟืองมักจะออกเยี่ยมพสกนิกรเสมอ บทบาทที่สตรีในวังไม่เคยทำมาก่อน (Source: ohman.vn)
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับสตรีในสมัยนั้นคือการออกรับแขกบ้านแขกเมืองคู่กับองค์จักรพรรดิในฐานะที่เท่าเทียมกัน พระองค์มีโอกาสพบกับผู้นำมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ประทับใจในความงาม และความเฉลียวฉลาดของพระองค์ นอกจากนี้จากบันทึกของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย พระองค์คือบุคคลที่เขามักจะปรึกษาเสมอ เวลาพระองค์มีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเวลาตัดสินใจนโยบายต่าง ๆ
2
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย และจักรพรรดินีนาม เฟือง มักจะออกงานเคียงคู่กันเสมอในช่วงแรก ๆ (Source: Pinterest)
แต่การที่พสกนิกรยอมรับ ไม่ได้หมายความว่าคนของราชสำนักจะยอมรับตามไปด้วย อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าหน้าที่ของมเหสีขององค์จักรพรรดิคือ การทำพิธีต่าง ๆ ตามหลักของพุทธศาสนา ซึ่งตามหลักของศาสนาคริสต์ในตอนนั้น ไม่อนุญาตให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์เข้าไปในสถานที่ทางศาสนาของศาสนาอื่นได้ (ปัจจุบันข้อห้ามนี้ไม่มีแล้ว) ทำให้พระองค์ถูกมองว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ครบถ้วน มิหนำซ้ำพระองค์ยังไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ตามคริสตศาสนิกชนที่ดีอีก
1
ลูกคนแรก และสามีออกลาย
1
หลังจากแต่งงานกันได้ 1 ปี จักรพรรดินีนาม เฟืองก็ตั้งครรภ์ขึ้น โดยพระองค์ได้ให้กำเนิดลูกคนแรก เป็นพระโอรสนามว่าองค์ชาย งเหวียน ฟุก บ๋าว ล็อง (Nguyễn Phúc Bảo Long) ซึ่งได้รับตำแหน่งมกุฎราชกุมาร จากนั้นธิดาองค์ที่สองนามว่า องค์หญิงเฟือง มาย (Phương Mai) ก็ตามมาในปี 1937 และในปี 1938 พระองค์ก็ให้กำเนิดธิดาองค์ที่สามคือ องค์หญิงเฟือง เหลียน (Phương Liên)
2
จักรพรรดินีนาม เฟือง ฮองไทเฮาตือ กุง และจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย พร้อมองค์ชายงเหวียน ฟุก บ๋าว ล็อง และองค์หญิงเฟือง มาย (Source: Pinterest)
พระองค์สอนลูกทุกคนตามแบบตะวันตก มีการจ้างครูพี่เลี้ยงชาวสวิสและชาวฝรั่งเศสมาสอนหนังสือในพระราชวัง ลูกทุกคนไปทำพิธีในโบสถ์ร่วมกับพระองค์ เรื่องที่น่าสนใจคือ แม่สามีของพระองค์พยายามส่งเหล่าบรรดาขัณฑีมาสืบหาข่าวต่าง ๆ ว่าองค์จักรพรรดินีเลี้ยงดูสั่งสอนลูกอย่างไร แต่พระองค์กลับพูดคุยกับลูก ๆ เป็นภาษาฝรั่งเศส ทำให้เหล่าบรรดาขัณฑีไม่สามารถนำข่าวอะไรไปให้กับแม่สามีของพระองค์ได้เลย
6
และในช่วงที่จักรพรรดินีนาม เฟืองกำลังตั้งครรภ์อยู่นั่นเอง สามีของพระองค์เริ่มที่จะออกลาย จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย มักเดินทางไปยังเมืองดาลัต และใช้ชีวิตเหมือนกับ “เพลย์บอย” พระองค์มักจะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เล่นการพนัน ออกล่าสัตว์ และที่ขาดไม่ได้คือการที่พระองค์มักจะมีผู้หญิงอยู่ข้างกายเสมอ คำสัญญาเรื่องผัวเดียวเมียเดียวหายวับไปในอากาศ
4
การล่าสัตว์ กินกรรมโปรดของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย (Source: blogspot.com)
แน่นอนว่าเรื่องนี้เดินทางมาถึงหูของจักรพรรดินีนาม เฟือง แต่แทนที่พระองค์จะตีโพยตีพาย บุกไปจัดการกับผู้หญิงเหล่านั้น พระองค์กลับนิ่งเฉย และไม่โต้ตอบ ซึ่งถือเป็นการจัดการของผู้หญิงที่ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี เพราะพระองค์แสดงให้เห็นว่าพระองค์อยู่เหนือกว่าผู้หญิงเหล่านั้น
2
จักรพรรดินีนาม เฟือง ผู้สง่างาม (Source: Pinterest)
สะเทือนวาติกัน
ในที่สุดโอกาสที่จะแสดงถึงอำนาจ และความเหนือกว่าของพระองค์ก็มาถึง ต้องขอท้าวความก่อนว่าตอนที่พระองค์แต่งงานกับจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยนั้น พระองค์ไม่ได้รับอนุญาตจากพระสันตะปาปาปีอุสที่ 11 ให้แต่งงาน เพราะตามกฎของคริสตจักรในตอนนั้น ถ้ามีการแต่งงานนอกศาสนา คู่แต่งงานจะต้องเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งในกรณีของพระองค์นั้นไม่มีทางที่จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย จะทำตามนั้นอย่างแน่นอน
สมเด็จพระสันตะปาปาปีอุสที่ 11 ผู้เคร่งครัด (Source: Wikipedia)
ตอนที่พระองค์แต่งงาน พระองค์เลยโดนตัดขาดจากคริสตจักร ซึ่งนั่นหมายความว่าบาปของพระองค์จะไม่ได้รับการให้อภัย และเมื่อเสียชีวิตพระองค์จะต้องตกนรก ซึ่งนี่ถือเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากสำหรับคริสตศาสนิกชนที่เคร่งครัดอย่างพระองค์ แม้จะมีการส่งจดหมายขอร้องแล้วก็ตาม ทั้งจากครอบครัวของพระองค์เอง หรือจากรัฐบาลฝรั่งเศส องค์พระสันตะปาปาก็ไม่ยอมผ่อนปรน
2
แต่ในปี 1937 พระสันตะปาปาปีอุสที่ 11 เสียชีวิต และพระสันตะปาปาปีอุสที่ 12 ขึ้นรับตำแหน่งแทน ซึ่งพระองค์เป็นคนที่ผ่อนปรนมากกว่า และอนุญาตให้จักรพรรดินีนาม เฟือง สามารถอยู่ในคริสตจักรต่อไปได้ เรื่องนี้นำความยินดีมาให้พระองค์เป็นอย่างมาก จนสุดท้ายองค์จักรพรรดิ และองค์จักรพรรดินีตัดสินใจเดินทางไปเยือนวาติกันในปี 1939 เพื่อแสดงความขอบคุณด้วยตัวเอง
3
สมเด็จพระสันตะปาปาปีอุสที่ 12 ผู้ที่ยอมผ่อนปรนให้จักรพรรดินีนาม เฟือง สามารถเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรต่อไปได้ แม้จะแต่งงานกับคนนอกศาสนาก็ตาม (Source: bbc.com)
ความงดงามของจักรพรรดินีนาม เฟือง ตราตรึงชาวยุโรปเป็นอย่างมาก หนังสือพิมพ์ล้วนกล่าวสรรเสริญถึงความงามสง่า และความรอบรู้ของพระองค์ พร้อมทั้งกล่าวชมเชยถึงมารยาทที่ได้รับการขัดเกลามาอย่างดี แต่สิ่งที่ทำให้ชาวยุโรปตะลึงคือชุดที่พระองค์เลือกที่จะสวมใส่เข้าพบองค์พระสันตะปาปา
จักรพรรดินีนาม เฟือง และจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ตอนเสด็จเยือนยุโรปในปี 1939
ตามกฎของวาติกัน แขกสตรีจะต้องสวมชุดสีดำแขนยาว พร้อมหมวกคลุมผมเมื่อเข้าพบกับพระสันตะปาปา แต่พระองค์เลือกที่จะสวมชุดอ๊าวส่าย ชุดประจำชาติของเวียดนาม โดยพระองค์สวมเสื้อแขนยาวสีเหลืองที่ผ่าข้างยาวมาถึงข้อเท้า ปักลวดลายสวยงาม ซึ่งสีเหลืองเป็นสีที่อนุญาตให้จักรพรรดิสวมใส่เท่านั้น การที่จักรพรรดินีสวมใส่สีเหลือง เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระองค์มีอำนาจเทียบเท่ากับองค์พระจักรพรรดิ นอกจากนั้นเธอยังสวมกางเกงขายาวอีก เรียกได้ว่าขัดกับกฎทุกกฎของวาติกันเลยทีเดียว
5
จักรพรรดินีนาม เฟือง สวมใส่ชุดอ๋าว ส่าย เข้าพบพระสันตะปาปาปีอุสที่ 12 (Source: http://baovanhoa.vn)
ภาพของพระองค์ในชุดสีเหลืองที่ถ่ายกับพระสันตะปาปาและคณะ ได้รับการตีพิมพ์ไปทั่วโลก ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ราชวงศ์งเหวียนได้เป็นอย่างดี และเป็นการประกาศว่าพระองค์คือผู้หญิงที่มีอำนาจสูงสุดในเวียดนาม แถมยังเป็นอำนาจที่เทียบเท่ากับองค์จักรพรรดิอีกต่างหาก
ในขณะที่ภาพลักษณ์ของพระองค์กำลังพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ภาพลักษณ์ของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระองค์ยังคงใช้ชีวิตเสเพล ไม่สนใจเหตุบ้านการเมือง และหลับนอนกับผู้หญิงไปทั่ว ชาวต่างชาติหลายคนถึงกับบอกว่าพระองค์เป็นคนที่ขี้เกียจ เหยาะแหยะ และไม่เอาไหน และเรื่องนี้พสกนิกรของพระองค์ก็เห็นด้วยเช่นกัน
2
ภาพของจักรพรรดินีนาม เฟืองกับคณะพระคาร์ดินัลของวาติกัน ภาพที่สร้างชื่อเสียงและนำความภาคภูมิใจมาให้กับพสกนิกรเวียดนาม (Source: Flickr)
สงครามโลกครั้งที่ 2
เหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี พระองค์มีลูกสามคนให้เลี้ยงดู และได้รับการยอมรับจากคริสตจักร แม้สามีของพระองค์จะมีผู้หญิงอื่นบ้าง พระองค์ก็ถือคติไม่สนใจ แต่สุดท้ายภัยสงครามก็มาเยือนชีวิตของพระองค์ และราชวงศ์งเหวียนจนได้
2
จักรพรรดินีนาม เฟือง และจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย พร้อมลูกทั้งสองคน ที่กรุงปารีส ปี 1939 (Source: https://www.imago-images.com)
ในช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองเวียดนามอยู่นั้น ใช่ว่าจะไม่มีชาวเวียดนามที่พยายามต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศ แต่ไม่มีใครที่สามารถจะเอาชนะกองทัพฝรั่งเศสได้ จนในที่สุดมีการรวมกลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดินเข้าด้วย พร้อมกับตั้งเป็นพรรคขึ้นมา และพรรคที่ทรงอิทธิพลที่สุดก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่นำโดย โฮ จิ มินห์ ผู้ที่กลายมาเป็นผู้นำและฮีโร่ของชาวเวียดนามในเวลาต่อมานั่นเอง เขาตั้งกองกำลังปลดแอกเวียดนามชื่อ "เวียดมิญ" ขึ้น และใช้กลยุทธ์การต่อสู้แบบกองโจรอันโด่งดังในการรับมือกับกองทัพฝรั่งเศส
2
กองกำลังเวียดมิญ (Source: Wikipedia)
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ดำเนินไปเรื่อย ๆ ญี่ปุ่นเริ่มขยายอำนาจเข้าสู่คาบสมุทรอินโดจีน ฝรั่งเศสซึ่งตอนนี้โดนนาซีเยอรมันเข้ายึดได้แล้วกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอ กองกำลังฝรั่งเศสในเวียดนามก็ไม่สามารถต้านทานกองทัพญี่ปุ่นได้ พรรคคอมมิวนิสต์จึงใช้โอกาสนี้ในการในการพยายามปลดปล่อยประเทศเวียดนามให้เป็นอิสระ จนสุดท้ายสภาพบ้านเมืองก็มีแต่ความวุ่นวาย คนเวียดนามมากมายเสียชีวิต บ้านเรือนมากมายถูกเผา เศรษฐกิจพังพินาศ
2
โฮ จิ มินห์ ผู้นำกองทัพปลดแอกเวียดนามตอนอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส (Source: https://en.dangcongsan.vn/)
จนสุดท้ายฝรั่งเศสก็พ่ายแพ้ ญี่ปุ่นเข้ายึดครองอินโดจีน จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ยังคงดำรงตำแหน่งจักรพรรดิต่อไป แต่พระองค์ก็ยังคงเป็นเพียงจักรพรรดิหุ่นเชิด เพียงแต่เปลี่ยนจากหุ่นเชิดของฝรั่งเศส มาเป็นหุ่นเชิดของญี่ปุ่นแทน
3
แต่ญี่ปุ่นก็ยึดครองดินแดนแถบนี้ได้ไม่นาน เพราะห้าเดือนถัดมาระเบิดนิวเคลียร์ก็ถูกหย่อนลงที่ฮิโรชิมา ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม และถอนกำลังออกจากเวียดนามทั้งหมด โอกาสของพรรรคอมมิวนิสต์เวียดนามมาถึงแล้ว เพราะตอนนี้เวียดนามอยู่ในภาวะสุญญากาศ และแน่นอนว่าจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยก็อ่อนแอเกินไปที่จะทำอะไรได้
1
และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ “ปฏิวัติสิงหาคม” ขึ้น เวียดมิญค่อยๆ เข้ายึดเมืองต่าง ๆ ในเวียดนามได้อย่างง่ายดาย จนมาถึงเมืองฮเว้ เมืองหลวงของประเทศ สถานที่ที่ราชวงศ์งเหวียนประทับอยู่ เกิดการประท้วง และเข้ายึดสถานที่ราชการหลายแห่ง และเมื่อกองกำลังเวียดมิญยึดเมืองฮเว้ได้สำเร็จ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ได้ส่งโทรเลขเข้าไปในพระราชวังหลวง ที่มีข้อความที่บอกว่าให้องค์จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย "สละราชสมบัติ" ซะ
2
การปฏิวัติสิงหาคม ที่ทำให้กองกำลังปลดแอกเวียดนามนำโดย โฮ จิ มินห์ ขึ้นมามีอำนาจ ตึกที่เห็นคือ Hanoi Opera House ที่สร้างโดยชาวฝรั่งเศส (Source: https://vietnamtimes.org.vn)
วันที่ 30 สิงหาคม 1945 วันแห่งประวัติศาสตร์ชาติเวียดนาม ที่พระราชวังหลวง ธงขององค์พระจักรพรรดิถูกเชิญลงจากยอดเสา ตราลัญจกรประจำราชวงศ์ และพระแสงขรรค์ ตัวแทนของความเป็นจักรพรรดิ ถูกส่งมอบให้กับตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์ และถูกแทนที่ด้วยธงชาติของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม สิ้นสุดการปกครอง 143 ปีของราชวงศ์เงหวียน และสมาชิกราชวงศ์ทุกคนก็กลายมาเป็นสามัญชนธรรมดาในวันนั้น พร้อมกับคราบน้ำตาของจักรพรรดินีนาม เฟือง
แบบจำลองตอนที่จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย สละราชสมบัติ ขั้นตอนสำคัญคือการมอบตราลัญจกร และพระแสงขรรค์ที่ประดับด้วยอัญมณี สองสิ่งที่เป็นตัวแทนของความเป็นองค์จักรพรรดิ ให้กับตัวแทนของพรระคคิมมิวนิสต์  (Source: reddit)
แยกทางจากกัน
1
หลังจากยึดประเทศได้แล้ว พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามต้องการให้เกียรติองค์จักรพรรดิอยู่ พระองค์จึงได้รับเชิญให้ไปรับตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ที่กรุงฮานอย ซึ่งเหตุผลแฝงก็คือพระองค์จะได้อยู่ในสายตาของพรรคคอมมิวนิสต์ตลอดเวลานั่นเอง
1
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย (ซ้าย) กับโฮ จิ มินห์ (กลาง) ผู้ที่กำหนดให้องค์จักรพรรดิได้รับตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (Source: https://www.quora.com)
แต่ตำแหน่งนี้ก็เป็นตำแหน่งเพียงในนาม ไม่มีงานจริงจังให้พระองค์ทำ มาถึงตอนนี้พระองค์ก็กลับมาใช้ชีวิตเสเพล เล่นการพนัน ไปไนท์คลับทุกคืน และหลับนอนกับหญิงไม่ซ้ำหน้า จนกระทั่งพระองค์ได้พบกับ หลี่ เล ฮา (Lý Lệ Hà) หญิงสาวชาวบ้านหน้าตาสะสวย ที่ทำอาชีพเป็นพาร์ตเนอร์ชื่อดังในย่านคาวโลกีย์ของฮานอย ทั้งสองคบกันอย่างออกหน้า และไปมาหาสู่ตามสถานที่พักของตนเอง ซึ่งยิ่งทำให้ประชาชนเวียดนามเกลียดชังพระองค์มากขึ้นไปอีก นอกจากนี้พระองค์ยังใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนกระทั่งเงินที่รัฐบาลมอบให้พระองค์ไม่เพียงพอ และต้องเขียนจดหมายมาขอยืมเงินจากมเหสีของพระองค์
4
หลี่ เล ฮา พาร์ตเนอร์ชื่อดังของฮานอย ที่กลายมาเป็นสนม ของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย (Source: https://eva.vn)
ในขณะที่พระสวามีของพระองค์ใช้ชีวิตเสเพลที่ฮานอย จักรพรรดินีนาม เฟืองกับครอบครัวย้ายเข้าไปอยู่ในวังเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และใช้ชีวิตแบบสมถะ เธอไม่เคยเรียกร้องเงินเพิ่มเติมจากรัฐบาล ผู้คนในเมืองต่างบรรยายว่าองค์จักรพรรดินีทำทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป พระองค์ออกไปซื้อของตอนเช้ากับคนรับใช้ที่ตลาด จากนั้นกลับมาเลี้ยงดูลูก ๆ ซึ่งตอนนี้พระองค์มีลูก 5 คน แล้ว โดยคนที่ 4 เป็นธิดานามว่าองค์หญิงเฟือง ซุง (Phương Dung) และคนที่ 5 เป็นโอรสนามว่าองค์ชายบ๋าว ทั้ง (Bảo Thắng) พระองค์และครอบครัวสามารถปรับตัวกับชีวิตสามัญชนได้เป็นอย่างดี
3
แต่เรื่องของหลี่ เล ฮวา ก็เข้าหูของพระองค์จนได้ แม้พระองค์จะเจ็บช้ำน้ำใจซักเพียงไหน แต่พระองค์ก็ยังเหมือนเดิมคือ วางตัวเงียบ ไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับชีวิตของพระสวามี
จักรพรรดินีนาม เฟือง กับองค์หญิงทั้งสาม และโอรสองค์เล็กที่สุด องค์ชายบ๋าว ทั้ง (Source: quora.com)
มีเรื่องเล่ากันว่าตอนที่เลขาของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยนำจดหมายขอเงินมาให้พระองค์นั้น พระองค์บอกเขาตรง ๆ ว่า ให้พูดความจริงเกี่ยวกับหลี่ เล ฮวา แต่เขาก็พยายามบ่ายเบี่ยงจนสุดท้าย พระองค์ก็เปรยกับเขาว่า "ท่านเลขาคงรู้ความจริงแต่ไม่กล้าบอกเรา ดังนั้นเราคงจะต้องยอมทนทุกข์คนเดียว เพื่อที่คนอื่นจะได้มีความสุข" พระองค์มอบเงินและจดหมายให้กับเลขาท่านนั้น และจากคำบอกเล่าของเขา เมื่อองค์จักรพรรดิบ๋าว ดั่ยอ่านจดหมายจบลง หน้าของพระองค์ถึงกับซีดเผือดไปเลยทีเดียว จนปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่ทราบว่าเนื้อความในจดหมายนั้นเขียนถึงอะไรบ้าง
4
แม้ โฮ จิ มินห์ จะส่งโทรเลขเพื่อมาเชิญพระองค์และลูก ๆ ไปอยู่ที่ฮานอย พระองค์ก็ให้การปฏิเสธโดยบอกว่า ถ้าพระองค์และครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ฮานอย จะเป็นการเพิ่มภาระต่าง ๆ ให้กับรัฐบาลเวียดนามเปล่า ๆ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าลึก ๆ แล้วพระองค์คงไม่อยากเห็นภาพบาดตาที่พระสวามีของพระองค์มีเมียน้อยไปทั่ว
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ยังคงใช้ชีวิตเสเพลไปเรื่อย ๆ ในกรุงฮานอย (Source: 9gag.com)
สัปดาห์ทอง
การปกครองของโฮ จิ มินห์ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด กองทัพฝรั่งเศสที่ตอนนี้เริ่มกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ต้องการที่จะมาทวงคืนดินแดนอินโดจีน ในขณะที่ทางตอนเหนือ กองทัพจีน ภายใต้การนำของเจียง ไค เช็ก ก็กำลังบุกเข้ามา และทั้งสองมหาอำนาจก็เกลียดชังลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นอย่างมาก
ภาพกองกำลังเวียดมิญ ที่ต้องรับศึกหนักทั้งจากทางเหนือและทางใต้ (Source:  nationalww2museum.com)
ในขณะที่ต้องเผชิญศึกทั้งด้านใต้และด้านเหนือนั้น รัฐบาลเวียดนามอยู่ในภาวะถังแตก ไม่มีเงินซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย ไม่มีเงินจ่ายค่าเสบียงให้กับเหล่าทหาร ธนาคารอินโดจีนของฝรั่งเศส หยุดจ่ายเงินให้กับรัฐบาลเวียดนาม รัฐบาลจึงออกแคมเปญเรี่ยไรความช่วยเหลือจากประชาชน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลต้องการคือทองและโลหะมีค่าต่าง ๆ ที่จะเอามาใช้แทนเงินได้
5
มีการจัดแคมเปญนี้ทั่วเวียดนาม รวมถึงเมืองฮเว้ที่จักรพรรดินีนาม เฟืองอาศัยอยู่ พระองค์เดินทางมาร่วมงานด้วยชุดจักรพรรดินีเต็มยศ พร้อมสร้อยทอง แหวนทอง และเครื่องประดับทองมากมาย
1
ตอนแรกหลายคนไม่พอใจ แต่แล้วทุกคนก็ได้เห็นเหตุผลของการแต่งตัวในครั้งนี้ เพราะเมื่อถึงตาของพระองค์ พระองค์เดินออกมาด้านหน้า พร้อมกับค่อย ๆ ปลดเครื่องประดับ แก้ว แหวน เงิน ทอง ออกทั้งหมดเพื่อบริจาค การกระทำของพระองค์ทำให้เหล่าบรรดาเศรษฐีล้วนทำตาม จนกระทั่งการเรี่ยไรจากเมืองฮเว้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
7
จักรพรรดินีนาม เฟือง ผู้ที่ทำให้การเรี่ยไรเงินบริจาคช่วยเหลือกองกำลังปลดแอกเวียดนามประสบความสำเร็จอย่างงดงามที่เมืองฮเว้ (Source: Pinterest)
เคยมีนักข่าวถามพระองค์ว่า พระองค์อยากจะทำหน้าที่อะไรในรัฐบาล พระองค์ตอบทันทีว่าพระองค์ยินดีที่จะทำทุกอย่างที่รัฐบาลต้องการให้พระองค์ทำ และบรรดาเหล่าสตรีเวียดนามก็ควรจะทำทุกทางเพื่อช่วยสนับสนุนกองกำลังปลดแอกเวียดนามด้วย นี่คือคำพูดของคนที่เคยถูกเรียกว่า “หญิงฝรั่งเศสคนนั้น” พระองค์แสดงให้ทุกคนเห็นว่าแม้พระองค์จะได้รับการศึกษาและขัดเกลาแบบฝรั่งเศส นับถือศาสนาแบบคนฝรั่งเศส แต่จิตวิญญาณและเนื้อแท้ของเธอคือ ชาวเวียดนาม เต็มตัว
2
ในช่วงเวลาเดียวกัน พระองค์ได้มีการเขียนจดหมายเปิดผนึกส่งไปยังผู้นำ และผู้ทรงอิทธิพลทั่วโลกที่พระองค์รู้จัก บอกให้ทุกคนช่วยเหลือเวียดนาม โดยการเข้ามาแทรกแซงการคุกคามของฝรั่งเศส ที่ทำให้ประชาชนชาวเวียดนามได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส และกำลังทำให้เวียดนามต้องเสียเอกราชของตนเองไป
2
จักรพรรดินีนาม เฟือง กับลูก ๆ ทั้ง 5 คนของพระองค์ (Source: South China Morning Post)
บ้านเมืองระส่ำ
แต่แล้วเงินเรี่ยไรต่าง ๆ ก็ไม่เพียงพอ แม้จะมีการเซ็นสัญญาสงบศึกในเดือนมีนาคม 1946 แต่การต่อสู้ก็ยังดำเนินไปอย่างไม่สิ้นสุดจนเกิดเป็นสงครามอินโดนจีนครั้งที่ 1 ในเดือนมิถุนายน 1946 กองทัพฝรั่งเศสบุกเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงเมืองฮเว้ ตอนนี้ชีวิตของพระองค์และลูก ๆ ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พระองค์จึงตัดสินใจพาครอบครัวไปพำนักอยู่ในโบสถ์คริสต์ของชาวแคนาดา เพราะประเทศแคนาดาวางตัวเป็นกลาง และโบสถ์น่าจะเป็นสถานที่ที่กองทัพฝรั่งเศสไม่น่าบุกเข้ามาทำลาย
1
จักรพรรดินีนาม เฟือง (Source: Pinterest)
พระองค์ต้องลาจากความสะดวกสบาย มากินอยู่ร่วมกับประชาชนเมืองฮเว้ ซึ่งพระองค์ก็สามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี พระองค์ทานอาหารง่าย ๆ ร่วมกันทำอาหารกับชาวบ้าน ซักผ้า ใช้ห้องน้ำร่วมกับชาวบ้าน ส่วนเด็ก ๆ ก็มีโอกาสได้วิ่งเล่นกับลูกชาวบ้านที่อยู่ในวัยเดียวกัน
3
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่าง ๆ กลับเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เสียงปืน เสียงระเบิดที่ดังต่อเนื่องทั้งกลางวันกลางคืน ส่งผลต่อสุขภาพจิตของทุกคนเป็นอย่างมาก จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งมีระเบิดหล่นลงมาที่รั้วข้างโบสถ์ สร้างความเสียหายบางส่วนให้กับตัวโบสถ์ ระเบิดครั้งนี้เป็นเหมือนสารบอกว่า พระองค์และครอบครัวจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะถ้าพระองค์ยังคงอยู่ที่นี่ ชาวบ้านคนอื่นอาจจะต้องเดือดร้อนไปด้วย เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการตัวพระองค์ ฝรั่งเศสเพื่อใช้พระองค์เป็นหมากในการเข้ามาครอบครองเวียดนาม ส่วนรัฐบาลของโฮ จิ มินห์ก็ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น
3
ทหารของเวียดมิญ บุกเข้ามาถึงเมืองฮเว้ (Source: Pinterest)
พระองค์บอกลา ขอบคุณเหล่าบรรดาชาวบ้าน และด้วยความช่วยเหลือของฝรั่งเศส พระองค์และครอบครัวก็เดินทางไปยังเมืองดาลัต ทางภาคใต้ของเวียดนาม บริเวณที่ฝรั่งเศสเข้ายึดครองได้ และยังไม่มีการต่อสู้มากนัก
ในตอนนี้สุขภาพของพระองค์ทรุดโทรมลงเป็นอย่างมาก แม้ภายนอกพระองค์จะเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง และมีรอยยิ้มตลอดเวลา แต่ภัยสงครามและข่าวคราวเรื่องการคบชู้และเสเพลของสามี ส่งผลต่อจิตใจของพระองค์อย่างมาก การได้ยินของพระองค์ถดถอยลงอย่างมาก หลายครั้งที่พระองค์มักจะมีไข้สูง และหายใจลำบาก ซึ่งภายหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเกิดจากอาหารหัวใจอ่อนแอ
1
จักรพรรดินีนาม เฟือง (Source: Pinterest)
ภารกิจกำจัดจักรพรรดิ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วในระหว่างที่มเหสีของพระองค์กำลังเผชิญกับภัยสงครามในเวียดนาม จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทำอะไรอยู่ คำตอบคือในปี 1946 โฮ จิ มินห์ให้พระองค์เป็นผู้นำคณะเดินทางไปยังประเทศจีน เพื่อเจรจาขอความช่วยเหลือจากเจียง ไค เช็ก ในการสู้รบกับกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งการเจรจาในครั้งนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ซึ่งในภายหลังมีการเปิดเผยว่าจริง ๆ แล้วเจียง ไค เช็ก เป็นคนที่เชื่อในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นการเจรจากับพรรคคอมมิวนิสต์ไม่เคยอยู่ในหัวของเขาอยู่แล้ว
1
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ตัวแทนของคณะรัฐบาลเวียดนามเพื่อไปเจรจากับเจียง ไค เช็ก (Source: quora)
แต่แทนที่จะกลับเวียดนาม มีสารมาจากโฮ จิ มินห์ว่าให้พระองค์เดินทางต่อไปยังฮ่องกง เพื่อความปลอดภัยของพระองค์เอง แต่เหตุผลจริง ๆ ก็คือ การกระทำเช่นนี้จะทำให้ฝรั่งเศสได้ตัวองค์จักรพรรดิยากขึ้นนั่นเอง
1
และพระองค์ก็ใช้ชีวิตเพลย์บอย เสเพลเหมือนเดิม โดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าประชาชนเวียดนามกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ชาวบ้านไม่มีอาหารกิน เด็ก ๆ ในประเทศผอมโซ และสภาพบ้านเมืองอยู่ในภาวะระส่ำระสายถึงขีดสุด
ภาพการ์ตูนล้อเลียนของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย กับการใช้ชีวิตเสเพลในฮ่องกง (Source: South China Morning Post)
เงินที่รัฐบาลส่งมาให้พระองค์ไม่เคยพอ พระองค์ขายสมบัติส่วนตัวหลายชิ้น ว่ากันว่ารัฐบาลเวียดนามเคยส่งทองคำแท่งไปให้พระองค์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งน่าจะทำให้คนทั่วไปสามารถมีชีวิตอยู่ได้สบาย ๆ เป็นเวลา 1-2 ปี แต่พระองค์กลับบอกว่าทองคำแค่นี้น่าจะพอให้พระองค์ใช้ชีวิตอยู่ได้แค่ 1-2 เดือนเท่านั้น
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย กับชีวิตเพลย์บอยที่ฮ่องกง (Source: Flickr)
ส่วนเรื่องของผู้หญิง พระองค์ก็ไม่เคยขาด พระองค์พาหลี่ เล ฮา สนมของพระองค์ที่ฮานอยไปฮ่องกงด้วย และที่ฮ่องกงพระองค์ก็ได้คบกับนักเต้นรำคนหนึ่งอย่างจริงจังชื่อว่า ฮวง เซี่ยว หลาน และเธอก็ตกเป็นสนมอีกคนหนึ่งของพระองค์ในที่สุด
2
ในส่วนของจักรพรรดินีนาม เฟืองนั้น พระองค์เขียนจดหมายถึงหลี่ เล ฮา ที่มีใจความเป็นภาษาเวียดนามเพียง 66 คำ แต่ข้อความในนั้นนักประวัติศาสตร์หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในการโต้ตอบชู้ที่มีคลาสมากที่สุด และเป็นที่กล่าวขานในเวียดนามมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเนื้อความในจดหมายสรุปใจความได้ว่า
2
"ถึงน้องหลี่ เล ฮา ตอนนี้เราอยู่ห่างจากอดีตองค์พระจักรพรรดิเป็นระยะทางหลายพันไมล์ แต่เรารู้ว่าน้องกำลังดูแลองค์พระจักรพรรดิอย่างดีที่สุด เราหวังว่าประวัติศาสตร์จะไม่ทอดทิ้งพระองค์ เพื่อที่เราจะได้พบกันท่านอีก ระหว่างนี้เราและแม่สามีจะไม่ลืมบุญคุณของน้องเลย"
4
จดหมายที่พระองค์เขียนถึง หลี่ เล ฮา (ภาพจากภาพยนตร์เวียดนาม) (Source: docbao.vn)
เห็นได้ชัดว่าจดหมายฉบับนี้ต้องการสื่อให้หลี่ เล ฮา รู้ตำแหน่งตนเองว่าเป็นได้แค่เมียน้อย และพระองค์คือตัวจริง พระองค์ก็แค่ "ฝาก" เธอดูแลองค์พระจักรพรรดิจนกว่าเขาจะกลับมาหาเธอ นับว่าเป็น 66 คำที่เต็มไปด้วยความเฉียบคมที่แฝงไปด้วยการดูหมิ่นอยู่ในที
4
แต่หลังจากใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาในฮ่องกงไปเรื่อย ๆ สุดท้ายรัฐบาลเวียดนามที่อยู่ในภาวะขัดสนอย่างหนักก็หยุดส่งเงินมาให้พระองค์ สมบัติที่พระองค์มีติดตัวก็ขายไปจนหมด พระองค์อยู่ในภาวะถังแตก ชีวิตที่สุขสบายมาโดยตลอดกำลังจะเดินทางมาถึงจุดจบ และเป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้ลิ้มรสถึงความยากลำบาก
2
ความยากลำบากของชาวเวียดนามช่วงสงคราม (Source: gettyimage)
สู่การลี้ภัย
1
หลังจากพักอยู่ที่ดาลัตได้ระยะหนึ่ง ฝรั่งเศสเริ่มต้านทานกองกำลังเวียดมิญไม่ไหว ตอนนี้ไม่มีที่ไหนของเวียดนามที่ปลอดภัยอีกต่อไป จักรพรรดินีนาม เฟือง จึงทำการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง การตัดสินใจที่จะเป็นตราบาปติดตัวพระองค์ไปชั่วชีวิต สิ่งนั้นก็คือการพาลูก ๆ ลี้ภัยสงครามไปยังประเทศที่พระองค์เติบโตมาในวัยเด็ก ซึ่งก็คือประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง
จักรพรรดินีนาม เฟือง และลูก ๆ ของพระองค์ตอนลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส (Source: http://www.noblesseetroyautes.com)
การตัดสินใจของพระองค์ในครั้งนี้สร้างความผิดหวังให้กับชาวเวียดนามเป็นอย่างมาก พระองค์โดนกล่าวหาว่าทิ้งชาวเวียดนามให้ต้องเผชิญอันตรายต่าง ๆ ไม่อยู่เคียงข้างสหายของพระองค์ มิหนำซ้ำพระองค์ยังลี้ภัยไปยังประเทศศัตรูอีกต่างหาก
แต่ในฐานะแม่ของลูก ๆ ทั้ง 5 คน ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของพวกเขา โดยเฉพาะมกุฎราชกุมาร งเหวียน ฟุก บ๋าว ล็อง ที่สำคัญไปกว่านั้น ตระกูลเศรษฐีเก่าของพระองค์มีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในประเทศฝรั่งเศสหลายแห่ง รวมถึงเงินฝากมากมาย ดังนั้นทุกอย่างพร้อมที่จะให้พระองค์และลูก ๆ เดินทางไปได้ในทันที
2
จักรพรรดินีนาม เฟือง และลูก ๆ ทั้ง 5 ของพระองค์ ที่เมืองคานส์ ในประเทศฝรั่งเศส (Source: Pinterest)
เมื่อเดินทางถึงฝรั่งเศสในปี 1947 พระองค์จัดการให้ลูก ๆ เข้าเรียนในโรงเรียนชั้นนำต่าง ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโรงเรียนประจำ ส่วนตัวพระองค์ก็ย้ายไปพักอยู่ที่ชาโต้แห่งหนึ่งที่ปารีส ชีวิตประจำวันพระองค์หมดไปกับการอ่านหนังสือ วาดภาพ และคอยติดตามข่าวสารบ้านเมืองของเวียดนามตลอดเวลา โดยแทบไม่ออกไปไหนเลย พระองค์ใช้เงินของตระกูลเก่าของพระองค์เองในการจับจ่ายใช้สอย ในช่วงเวลาปิดเทอมลูก ๆ ก็จะมาเยี่ยมพระองค์เสมอ
5
เวียดนามเหนือใต้
สุดท้ายกองทัพฝรั่งเศสก็สามารถเข้ายึดพื้นที่ทางใต้ และทางเหนือบางส่วนของประเทศได้ และประกาศให้เวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสจะมีสิทธิ์ขาดในการปกครองภาคใต้ ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามจะปกครองทางภาคเหนือ และฝรั่งเศสก็เชิญจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย กลับมาจากฮ่องกง เพื่อที่จะมาเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดของฝรั่งเศสอีกครั้ง
2
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เดินทางกลับมายังเวียดนาม ตามคำเชิญของฝรั่งเศส (Source: http://www.endofempire.asia)
แต่คราวนี้พระองค์จะมีหน้าที่เป็นเพียงประมุขของประเทศ ฝรั่งเศสจะดำเนินนโยบายทุกอย่างผ่านนายกรัฐมนตรีที่องค์จักรพรรดิเลือกและฝรั่งเศสยอมรับเท่านั้น ซึ่งบุคคลผู้นั้นคือนายกรัฐมนตรี โง ดิ่ญ เสี่ยม โดยองค์จักรพรรดิจะได้รับเงินเดือน 4 ล้านดอลล่าร์ต่อปี ซึ่งเทียบเท่าได้กับ 43 ล้านดอลล่าร์ในปัจจุบัน หรือประมาณ 1500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก ในการดูแลคนเพียงคนเดียว
5
แล้วก็เหมือนเดิมคือพระองค์ทำตัวสำมะเลเทเมา ไม่เป็นโล้เป็นพาย แถมยังมีสนมมากขึ้นอีกหลายคน พระองค์ซื้อตำหนักให้กับ หลี่ เล ฮวา พาร์ตเนอร์ของพระองค์ และบรรดาสนมที่พระองค์ไปได้มาอีกหลายหลัง
2
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ยังคงทำตัวเสเพลเหมือนเดิม หลังจากกลับมาจากการลี้ภัยที่ฮ่องกง (Source: https://therake.com/stories/the-keeper-of-greatness-bao-dai)
อย่างไรก็ตาม การ “เคลม” ของฝรั่งเศสในครั้งนี้ก็เกิดขึ้นได้ไม่นาน กองทัพเวียดมิญได้ทำสงครามแบบกองโจรต่อไปเรื่อย ๆ จนทำให้ฝรั่งเศสไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป โดยเฉพาะสงครามเดียนเบียนฟูในปี 1954 สงครามที่ผลักกองทัพฝรั่งเศสถอยร่นลงออกมาจากเมืองดานัง และสร้างความตกตะลึงให้กับกองทัพทั่วโลก เพราะไม่มีใครเชื่อว่ากองกำลังเวียดมิญที่ไร้ซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย จะสามารถเอาชนะหนึ่งในกองทัพที่เคยเกรียงไกรที่สุดในโลกได้
สงครามเดียน เปียน ฟู ที่ดำเนินไประหว่างเดือนมีนาคม ถึงเดือนพฤษภาคม 1954 กองกำลังเวียดมิญ สามารถเอาชนพกองกำลังของฝรั่งเศสไปได้ (Source: Wikipedia)
ผู้ที่จะยอมให้พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมามีอำนาจเหนือดินแดนแถบอินโดจีนไม่ได้เด็ดขาดก็คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต อเมริกาเลยเข้ามาแทรกแซงจนเกิดเป็นสมรภูมิสงครามเวียดนาม หนึ่งในสงครามของสองมหาอำนาจที่มีผู้สูญเสียคือชาวเวียดนามนั่นเอง
2
สิ่งที่รัฐบาลของอเมริกาวางแผนไว้คือ เวียดนามใต้จะใช้ระบอบการปกครองเหมือนอเมริกา ที่มีประธานาธิบดี เป็นทั้งผู้นำและประมุขของประเทศเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้เวียดนามใต้มีทั้งประมุขเป็นจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย และผู้นำประเทศเป็นนายกรัฐมนตรี โง ดิ่ญ เสี่ยม ดังนั้นต้องมีการตัดสินใจว่าใครจะอยู่ใครจะไป
1
นายกรัฐมนตรี โง ดิ่ญ เสี่ยม แห่งเวียดนามใต้ (Source: youtube)
เพื่อความเป็น "ประชาธิปไตย" สิ่งที่ใช้ในการตัดสินคือ การลงประชามติ ในเดือนตุลาคม 1955 และอเมริกาหนุนหลังนายกรัฐมนตรี โง ดิ่ญ เสี่ยมเต็มที่ การหาเสียงของโง ดิ่ญ เสี่ยม ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมาก ในขณะที่ผู้สนับสนุนจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ต้องประสบกับอุปสรรคมากมายในการหาเสียง เพราะในตอนนั้น พระองค์เดินทางไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ไม่ได้อยู่ที่เวียดนาม แม้กระทั่งบัตรเลือกตั้งของพระองค์ยังถูกกำหนดให้เป็นสีเขียว สีแห่งความเคราะห์ร้ายตามความเชื่อของชาวเวียดนาม ในขณะที่ของคู่แข่งเป็นสีแดง สีแห่งโชคลาภ
1
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย และองค์หญิงเฟือง นาม ชมการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน ที่ประเทศอิตาลีในปี 1955 ในช่วงที่มีการหาเสียงเพื่อลงประชามติ (Source: blogspot)
สุดท้าย ต้องยอมรับว่าในตอนนั้นเวียดนามอยู่ในภาวะสงครามมาเป็นเวลานานเกือบ 10 ปี ประชาชนหมดอาลัยตายอยาก และต้องการทำให้ตนเองมีชีวิตรอดไปในแต่ละวัน ดังนั้นใครบอกให้พวกเขาเลือกอะไร พวกเขาก็จะทำตามโดยง่าย และผลการลงประชามติคือ นายกรัฐมนตรี โง ดิ่ญ เสี่ยม ชนะไปด้วยคะแนนกว่า 98%
4
การเลือกตั้งในครั้งนี้ได้รับการประนามไปทั่วเวียดนามและทั่วโลกว่า เป็นหนึ่งในการเลือกตั้งที่โกงได้หน้าด้านที่สุดในโลก เอาง่าย ๆ ว่า มีการนับจำนวนผู้มาลงคะแนนเลือกตั้งในไซ่ง่อนได้ทั้งหมด 605,000 คน แต่ในตอนนั้นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในไซ่ง่อน มีประมาณ 450,000 คนเท่านั้น มีการรายงานว่าหลายคนที่ต้องการสนับสนุนจักรพรรดิโดนบังคับให้ฉีกบัตรเลือกตั้งสีเขียวทิ้งต่อหน้ากล่องหย่อนบัตรเลยด้วยซ้ำ
1
นายกรัฐมนตรี โง ดิ่ญ เสี่ยม ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนกว่า 98% (Source: http://americaatwarvietnam.weebly.com)
เพื่อเป็นการลดแรงกดดัน นายกรัฐมนตรี โง ดิ่ญ เสี่ยม ได้เชิญจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยกลับมาเป็นที่ปรึกษาของคณะรัฐบาล และสัญญาว่าเมื่อองค์ชายงเหวียน ฟุก บ๋าว ล็องพร้อม ก็จะสถาปนาพระองค์ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
2
แต่จักรพรรดิบ๋าว ดั่ยทราบดีว่าคำสัญญาเหล่านี้เป็นเพียงลมปาก พระองค์โดนทรยศจากคนที่พระองค์ไว้ใจมาแล้ว 1 ครั้ง (เพราะพระองค์ไว้ใจโง ดิ่ญ เสี่ยมมาก และเป็นผู้เลือกเขามาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง) พระองค์ย่อมไม่ยอมที่จะตกเป็นเหยื่ออีก พระองค์จึงให้การปฏิเสธไป ซึ่งนั่นทำให้รัฐบาลเวียดนามใต้ ทำการตัดหางปล่อยวัดราชวงศ์งเหวียน ตอนนี้ทุกคนจะไม่ได้ตำแหน่ง และไม่ได้รับเงินสนับสนุนใดใดจากรัฐบาลอีก ซึ่งจักรพรรดินีนาม เฟืองกับลูก ๆ แทบจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรอยู่แล้ว เพราะสมบัติของตระกูลเศรษฐีเก่าของพระองค์มีอยู่มากมาย
3
จักรพรรดินีนาม เฟือง และจักรพรรดบ๋าว ดั่ย ถ่ายที่กรุงปารีสปี 1955 (Source: https://hinhanhvietnam.com)
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เสียใจมาก แต่แทนที่จะมานั่งจมเจ่าอยู่กับความเศร้า พระองค์กลับเดินทางไปยังมอนติคาร์โล และไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งที่เป็นของรัฐบาลเวียดนามใต้ พระองค์เล่นการพนัน ล่องเรือยอทช์ ควงสาวไม่ซ้ำหน้า สรุปก็คือ พระองค์ก็ทำตัวเหลวแหลกเหมือนเดิม และขายสมบัติที่พระองค์มีติดตัวไปเรื่อย ๆ
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ยังคงใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาในฝรั่งเศส (Source: https://jazlebontemps.com)
ชีวิตบั้นปลาย
จักรพรรดินีนาม เฟือง ติดตามข่าวสารของประเทศเวียดนามตลอดเวลา พระองค์เสียใจมาก ที่สุดท้ายแล้วองค์จักรพรรดิไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของเวียดนามใต้ ซ้ำร้ายราชวงศ์งเหวียนก็มาถึงจุดสิ้นสุด เพราะตอนนี้โอรสคนโตของพระองค์ไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นครองราชย์อีกต่อไป
1
จักรพรรดินีนาม เฟือง ในช่วงบั้นปลาย (Source: https://hinhanhvietnam.com)
ความเสียใจของพระองค์ ยังถูกซ้ำเติมด้วยนิสัยเหลวแหลกของพระสวามีอีก ประกอบกับมีอยู่ช่วงหนึ่งที่องค์มกุฎราชกุมารต้องโดนแยกตัวไปอาศัยอยู่ที่อารามหลวงในเทือกเขาพีเรนนีสอันห่างไกล เนื่องจากคำขู่ของการลักพาตัว ทำให้สุขภาพจิต และสุขภาพกายของพระองค์ทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ และในตอนนี้ลูก ๆ ของพระองค์ก็มีงานมีการทำหมดแล้ว พระองค์จึงตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้านชาบีญักอันห่างไกล เพื่อไปใช้ชีวิตเงียบ ๆ
มกุฎราชกุมาร งเหวียน ฟุก บ๋าว ล็อง (Source: Pinterest)
ที่หมู่บ้านแห่งนี้ พระองค์ได้ใช้เงินของตระกูลตนเอง ต่อเติมคฤหาสน์ และซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อทำเป็นฟาร์ม พระองค์ใช้ชีวิตเรียบง่ายดังเดิม ลูก ๆ ก็จะแวะเวียนมาเยี่ยมพระองค์บ้างตามสมควร แต่บุคคลหนึ่งที่แทบจะไม่เคยมาหาพระองค์เลยคือพระสวามีของพระองค์ ผู้เคยสัญญาว่าจะรักเธอ และถือค่านิยมผัวเดียวเมียเดียวเพื่อเธอ จักรพรรดิบ๋าว ดั่ยจะมาเยี่ยมพระองค์ช่วงปีใหม่เท่านั้น และทุกครั้งก็จะอยู่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
1
บ้านของจักรพรรดินีนาม เฟืองที่หมู่บ้านชาบีญัก (Source: https://homedecorplus.vn)
วันที่ 15 กันยายน 1963 จักรพรรดินีนามเฟืองมีอาการไม่สู้ดีนัก พระองค์หายใจลำบาก มีไข้สูง และกว่าแพทย์จะเดินทางมาถึงก็สายไปเสียแล้ว พระองค์เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในวัยเพียง 49 ปี
1
ร่างของพระองค์ถูกฝังที่หมู่บ้านชาบีญัก สถานที่ที่พระองค์ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างมีความสุข งานศพถูกจัดอย่างง่าย ๆ โดยมีเพียงสมาชิกของครอบครัวเท่านั้นที่มาร่วมงาน และร่างของเธอก็ยังอยู่ที่หมู่บ้านอันแสนสงบแห่งนั้น มาจนถึงทุกวันนี้ ภายใต้แผ่นป้ายหลุมศพธรรมดา ๆ ตามการใช้ชีวิตที่พระองค์ยึดถือมาโดยตลอด
1
หลุมศพของจักรพรรดินีนามเฟือง ที่หมู่บ้านชาบีญัก ในประเทศฝรั่งเศส (Source: https://tinhhoaxuhue.com)
เกิดอะไรขึ้นกับคนอื่น
หลังจากการเสียชีวิตของจักรพรรดินีนาม เฟือง พระองค์ได้แบ่งสมบัติเพื่อมอบให้กับพระสวามี และลูก ๆ ทั้ง 5
จักรพรรดินีนาม เฟือง และลูกทั้ง 5 ของพระองค์ (Source: https://eurohistoryjournal.blogspot.com)
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ยก็ยังคงใช้ชีวิตแบบหนุ่มเพลย์บอยต่อไป พระองค์ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน และสำราญไปกับหญิงไม่ซ้ำหน้า และการพนัน จนต้องขายทรัพย์สินของพระองค์และของที่ได้รับมาจากพระมเหสีจนหมด เมื่อใช้ทรัพย์สินทุกอย่างจนหมด พระองค์ก็เขียนจดหมายไปขอยืมเงินจากมารดาของพระองค์ในเวียดนาม และเหล่าบรรดาเศรษฐีเวียดนามในฝรั่งเศสที่ยังศรัทธาในตัวพระองค์อยู่
3
นิสัยไม่เป้นโล้เป็นพายของพระองค์ ทำให้พระองค์ทะเลาะกับบรรดาลูก ๆ โดยเฉพาะโอรสองค์โต ทุกคนไม่เห็นด้วยกับการที่พระองค์จะเอาสมบัติของมารดาของพวกเขาไปขาย และฟางเส้นสุดท้ายคือการแต่งงานกับเจ้าสาวชาวฝรั่งเศส เพราะสมบัติของมารดาของพวกเขาจะต้องตกไปอยู่ในมือของผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจากไหนก็ไม่รู้
2
จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย กับพระมเหสีองค์สุดท้ายมินิก โบโด ซึ่งได้รับการพระราชทานนามนามว่า องค์หญิงหวิญ ถวิ (Source: Pinterest)
ในบั้นปลายชีวิต พระองค์ย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ทเมนท์ห้องเล็ก ๆ กับภรรยาชาวฝรั่งเศส และเสียชีวิตในวัย 84 ปี พระองค์จากไปโดยที่ไม่มีหลานไว้สืบสกุล เพราะโอรสทั้งสองของพระองค์ต่างก็ครองตัวเป็นโสด และชื่อของพระองค์ก็ถูกจดจำว่าเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม จักรพรรดิหุ่นเชิดเพลย์บอย ที่ใช้ชีวิตหรูหรา ผิดคำสัญญากับมเหสีของตนเอง และไม่เคยเหลียวแลชาวเวียดนาม
5
ลูก ๆ ทั้ง 5 ของพระองค์ล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จในชีวิต มกุฎราชกุมาร งเหวียน ฟุก บ๋าว ล็อง ทำงานในกองทัพฝรั่งเศสและได้เหรียญกล้าหาญมากมาย ก่อนจะเข้าทำงานเป็นนายธนาคาร พระองค์ครองตัวเป็นโสดจนถึงวันที่พระองค์เสียชีวิต
1
มกุฎราชกุมาร งเหวียน ฟุก บ๋าว ล็อง ในช่วงบั้นปลายของชีวิต (Source: http://www.gactholoc.com)
องค์หญิงทั้งสามต่างก็แต่งงานกับคนร่ำรวย และมีฐานะดี ทำให้ชีวิตของพวกเธอไม่ลำบาก และสุขสบายตามสมควร ส่วนโอรสองค์เล็กผู้รักในการวาดภาพ และเสียงดนตรี ก็ไม่เคยแต่งงานและเสียชีวิตในวัยเพียง 37 ปี ในปัจจุบันเหลือเพียงองค์หญิงเฟือง เหลียน และองค์หญิงเฟืองซุง เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
2
องค์หญิงเฟือง มาย (ถือพัด) ถ่ายในปี 1955 (Source: https://vietnamtimes.org.vn)
บทสรุป
ชีวิตของจักพรรดินีนาม เฟืองกับประวัติศาสตร์ของเวียดนามนั้น เกี่ยวข้องกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ เวียดนามที่สะบักสะบอมจากการถูกล่าอาณานิคม สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเวียดนาม ทำให้ชีวิตของพระองค์เต็มไปด้วยเรื่องเศร้า และความโชคร้าย
จักรพรรดินีนาม เฟือง ในชุดแบบตะวันตก (Source: Pinterest)
แต่สิ่งที่พระองค์ทิ้งไว้คือ เรื่องราวของสตรีคนหนึ่ง ที่กล้าที่จะต่อกรกับราชวงศ์ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ พระองค์ไม่ยอมที่จะเป็นเพียงสตรีที่ให้กำเนิดบุตร และทำพิธีต่าง ๆ ที่แสนน่าเบื่อในวัง และพระองค์ก็ทำสำเร็จ พระองค์คือสตรีคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ราชวงศงเหวียนที่ได้ตำแหน่งจักรพรรดินี ในขณะที่องค์จักรพรรดิยังมีชีวิตอยู่ พระองค์ทำให้จักรพรรดิถึงกับประกาศต่อหน้าทุกคนว่าจะมีผัวเดียวเมียเดียว (แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะทำไม่ได้ก็ตาม) และพระองค์ก็ยังสามารถนับถือศาสนาคริสต์ต่อไป และทำให้พระสันตาปาปาและชาวโลกชื่นชมในตัวพระองค์
1
ถ้าคิดดูดีดีแล้วชีวิตของพระองค์ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของคำพูดสุดฮิตที่บอกว่า "ตำแหน่งจะอยู่ไม่นาน แต่ตำนานจะอยู่จะตลอดไป" ตำแหน่งจักรพรรดินีของพระองค์เริ่มตั้งแต่ปี 1934 และสิ้นสุดลงในปี 1945 แต่พระองค์กลับได้รับการขนานนามว่าเป็นสตรีเวียดนามที่เป็นตัวแทนของสตรียุคใหม่ ที่เพียบพร้อมไปทั้งความสวย ความฉลาด ความมุ่งมั่น และ "คลาส" ความเมตตาที่พระองค์มีต่อพสกนิกร ความรักชาติ และความทุ่มเทของพระองค์ในการเป็นแม่ ยังคงเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ ถือเป็นการจากไปของจักรพรรดินีองค์สุดท้ายได้อย่างสวยงาม ไม่เหมือนกับราชวงศ์อื่น ๆ ในขณะที่จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย พระสวามีของพระองค์กลับถูกจดจำในอีกรูปแบบหนึ่งแทน
7
ความงาม และความเมตตาของพระองค์ ยังคงเป็นที่พูดถึงในเวียดนามมาจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงบนตราไปรษณียากรของเวียดนามด้วย (Source: http://english.vietnamnet.vn)
จบไปแล้วนะครับกับเรื่องราวของจักรพรรดินีนาม เฟือง จริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจจะเขียนยาวขนาดนี้ แต่ยิ่งเขียนก็เลยยิ่งลงรายละเอียดไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าไม่เข้าใจสภาพบ้านเมืองของเวียดนามตอนนั้น เราอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ต้องเผชิญ และนั่นก็คงไม่ยุติธรรมกับพระองค์ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ
4
ครั้งหน้า Kang's Journal จะพาไปท่องโลกประวัติศาสตร์ผ่านทางชีวิตของบุคคลสำคัญคนใด หรือเหตุการณืไหนอีก ฝากติดตามกันด้วยนะครับ :)
1
หนังสือ:
- ฮองเฮาแห่งอานนาม โดย วราวุธ สำนักพิมพ์สันสกฤต (ถ้าใครอยากรู้เรื่องราวของพระองค์โดยละเอียด สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้เลยนะครับ แนะนำมาก ๆ)
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา