Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Main Stand
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
11 ส.ค. 2021 เวลา 11:15 • กีฬา
Breaking : ตัวแทนของวัฒนธรรมฮิปฮอปที่พร้อมทะยานเข้าสู่โอลิมปิก 2024 | Main Stand
เบรกแดนซ์ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ เบรกกิ้ง คืออีกหนึ่งกีฬาจากวัฒนธรรมสตรีท ที่กำลังจะมีการแข่งขันอย่างเป็นทางการในปารีสโอลิมปิก 2024 ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนในระดับใกล้เคียงกันกับตอนที่สเก็ตบอร์ดได้ถูกบรรจุเข้ามาเป็นกีฬาใหม่ในโตเกียวโอลิมปิก 2020
เบรกกิ้ง คือหนึ่งในองค์ประกอบหลักสำคัญของวัฒนธรรมฮิปฮอป เคียงคู่ไปกับการแรป, บีตบ็อกซ์, กราฟฟิตี และดีเจ มีรากฐานที่แข็งแรงมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970s จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่วัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มเช่นนี้ กำลังจะได้รับการยอมรับมากขึ้น และกำลังจะกลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในเวลาอันใกล้
กีฬาเบรกกิ้งมีที่มาอย่างไร ? บี-บอย เบรกแดนซ์ และ เบรกกิ้ง เหมือนหรือต่างกันไหม ? ทำไมถึงเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมสตรีท กลายเป็นสิ่งที่นักกีฬาเท้าไฟตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อในปารีสโอลิมปิก 2024 ?
Main Stand ขออาสาเล่าให้ฟัง
“B-boys, b-girls, are you ready ? keep on rock steady”
“เบรกกิ้ง” (Breaking) เป็นรูปแบบการเต้นชนิดหนึ่ง ที่มักจะเต้นประกอบกับดนตรีประเภท ฟังก์ โซล และ ฮิปฮอป ต้นกำเนิดของเบรกกิ้งเกิดขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมฮิปฮอปในช่วงต้นทศวรรษ 1970s ในย่านบรองซ์ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นลาตินอเมริกัน และแอฟริกัน-อเมริกัน
ย้อนกลับไปช่วงต้นทศวรรษ 1970s การเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมฮิปฮอปเริ่มต้นขึ้นมาจากการจัดปาร์ตี้ วัยรุ่นมักจะเปิดเพลงกันผ่านเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือเทิร์นเทเบิล โดยมี “ดีเจ” (DJ) หรือ "ดิสก์ จ็อคกี้” ทำหน้าที่เปิดเพลงและมักจะมีอีกคนที่ทำหน้าที่เหมือนพิธีกร เรียกว่า “เอ็มซี” (MC) คอยเรียกผู้คนให้เข้ามามีส่วนร่วมกับปาร์ตี้
หนึ่งในบุคคลสำคัญของการเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมฮิปฮอป คือ “ดีเจคูลเฮิร์ค” (DJ Kool Herc) หรือชื่อจริงว่า “ไคล์ฟ แคมป์เบล” ดีเจชาวจาเมกาผู้ถูกยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งฮิปฮอป” โดดเด่นด้วยสไตล์การเปิดเพลงแบบผสมกัน ด้วยการวางแผ่นเสียงสองแผ่นบนเทิร์นเทเบิลและสลับกันเปิดไปเรื่อย ๆ ทำให้เขากลายมาเป็นผู้บุกเบิกแนวทางการเปิดเพลงแบบใหม่ ที่เชื่อมโยงกับการเต้นเบรกกิ้งโดยตรง
ปกติแล้วในเพลงจะมีท่อนที่เรียกว่า เดอะ เบรก (The Break) ซึ่งเป็นท่อนที่มีแต่เสียงดนตรีหรือเครื่องประกอบจังหวะ โดยทั่วไป นี่จะเป็นช่วงที่คูลเฮิร์คจะสลับเปลี่ยนจากเพลงหนึ่งไปสู่อีกเพลงหนึ่ง แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เลือกที่จะเปิดลูปท่อนเพลงที่มีแต่ดนตรีวนไปเรื่อย ๆ เหมือนกับม้าหมุน จนกลายเป็นศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า “เมอร์รี่ โก ราวด์” (Merry Go Round)
“บี-บอย บี-เกิร์ล พร้อมหรือยัง ? อย่าเพิ่งหยุดกัน เต้นให้มันต่อไปเลย”
ตัวอักษร บี ย่อมาจากคำว่า “เบรกกิ้ง” เป็นที่รู้จักในฐานะคำแสลงที่มีความหมายว่า “บ้าคลั่ง” เพราะทุก ๆ ครั้งที่คูลเฮิร์คเปิดเพลงถึงท่อน เดอะ เบรก สิ่งที่เขามักจะทำอยู่เสมอคือการเรียกให้ผู้คนออกมาเต้นบนฟลอร์ คำว่า บี-บอย หรือ บี-เกิร์ล จึงหมายถึง นักเต้นเบรกกิ้ง อย่าง “เบรกบอยส์" และ “เบรกเกิร์ลส์” ที่เป็นคนหนุ่มสาวที่กำลังสนุกกับปาร์ตี้อย่างบ้าคลั่งนั่นเอง ต่อมาเริ่มมีการโชว์ท่าเต้นกันเองว่าของใครเจ๋งกว่า จนกลายเป็นการ “แบตเทิล” กันในเวลาต่อมา
สาเหตุที่ทำให้การแบตเทิลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ เนื่องจากการเต้นเพื่อความสนุกได้กลายมาเป็นการแข่งขัน ว่ากันว่าในยุค 70s ที่มีสงครามระหว่างแก๊งในย่านบรองซ์ เนื่องจากความต้องครองความเป็นใหญ่ในพื้นที่ บี-บอย ได้กลายมาเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาแทนการใช้ความรุนแรง เด็กวัยรุ่นที่เคยฆ่าแกงกัน เปลี่ยนเป็นความพยายามเอาชนะกันด้วยการเต้นแบตเทิล โดยมีเกณฑ์การตัดสินคือ หากใครที่คิดท่าได้ซับซ้อนและมีความสร้างสรรค์มากกว่า ผู้นั้นถือเป็นผู้ชนะ ซึ่งก็นับว่าสร้างสรรค์พอจนทำให้สงครามระหว่างแก๊งจบลงได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความพยามที่จะลบภาพจำที่ไม่ดีออกไป แต่สำหรับบางคนก็ยังมองว่าวัฒนธรรมแก๊งแบบนี้ดูรุนแรง สาเหตุหลักที่นักเต้นมักจะโดนเหมารวมไปด้วย เป็นเพราะแฟชั่นการแต่งตัวที่ดูแหกขนบ พวกเขาแต่งตัวเหมือนกันเพราะพวกเขาคือแก๊งเดียวกัน เป็นวัฒนธรรมกระแสรองที่ได้รับการยอมรับกันเฉพาะกลุ่ม และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นคนก้าวร้าวแต่อย่างใด
Photo : ekfuworld.tumblr.com
หนึ่งในแก๊งที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่วางรากฐานของ บี-บอย ให้เติบโตคือแก๊ง “เดอะ ไมท์ตี้ ซูลู คิงส์” (The Mighty Zulu Kings) พวกเขาเป็นกลุ่ม บี-บอย ที่ริเริ่มสร้างค่านิยมและภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่วัฒนธรรมแก๊งด้วยการเต้นแทนการใช้ความรุนแรง พวกเขาเคารพกันที่ความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีสิ่งอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาส่งต่อการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมนี้ให้แก่คนรุ่นต่อไปด้วยการเต้นเท่านั้น
ในปลายทศวรรษ 1970s-1980s เป็นยุคที่โลกได้รู้จักกับ บี-บอย ในวัฒนธรรมกระแสหลัก ภายใต้ชื่อใหม่ที่ถูกเรียกโดยสื่อว่า “เบรกแดนซ์” หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือ “ร็อก สเตดี้ ครูว์” (Rock Steady Crew) กลุ่มนักเต้นที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวลาตินอเมริกัน มีสมาชิกที่สำคัญได้แก่ ริชาร์ด โคลอน หรือ เครซี่ เลกส์ พวกเขาได้พา บี-บอย ออกไปนอกบรองซ์ให้โลกได้รู้จัก ผ่านการทำเพลงอย่างจริงจัง โดยมีเพลงฮิตที่ชื่อว่า “(เฮ้ ยู) เดอะ ร็อก สเตดี้ ครูว์” ((Hey You) Rock Steady Crew) ออกมาในปี 1983 ที่ดังไกลไปถึงสหราชอาณาจักร พร้อมเปิดตัวแรงด้วยการไต่ขึ้นอันดับ 6 บนชาร์ตเพลงของอังกฤษและติดท็อป 10 เพลงยอดฮิตในประเทศยุโรปหลายประเทศ
อีกหนึ่งความสำเร็จของ ร็อก สเตดี้ ครูว์ คือ การทลายกำแพงของความไม่เท่าเทียมของผู้หญิงในวงการ บี-บอย ด้วยความโดดเด่นของสมาชิกผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวของกลุ่ม ร็อก สเตดี้ ครูว์ อย่าง “เบบี้ เลิฟ” หรือ “เดย์ซี่ คาสโตร คุตุฆาร์” ที่เดิมทีตั้งแต่มีกระแสการแข่งขันเต้น ผู้หญิงในวงการนี้มักจะไม่ได้การยอมรับอย่างเท่าเทียม เนื่องจากถูกมองว่าเป็นคนกลุ่มน้อย แต่ เบบี้ เลิฟ ก็ได้กลายมาเป็นไอคอนของ บี-เกิร์ล และได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ในวงการเต้น บี-บอย ก็มีพื้นที่ให้ผู้หญิงเช่นกัน
Photo : ekfuworld.tumblr.com
เบรกกิ้ง กลายมาเป็นสิ่งที่ใครก็เข้าถึงได้ และเพราะความดังแบบฟ้าผ่านี้เอง ทำให้สื่อประเคนชื่อใหม่ให้แก่การเต้น บี-บอย ว่า “เบรกแดนซ์” เสมือนเป็นชื่อทางการที่ใช้เรียกกัน ซึ่งมีทั้งคนที่ไม่เห็นด้วยและไม่ได้รู้สึกติดใจอะไร อย่างสมาชิกอีกคนหนึ่งของ ร็อก สเตดี้ ครูว์ อย่าง “ซานติอาโก้ ‘โจโจ้’ ตอร์เรส” ก็ได้แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ไว้ว่า
“จริง ๆ แล้วมันก็คือ บี-บอย นี่แหละ แต่สื่อให้ชื่อที่เป็นทางการเฉย ๆ ถึงยังไงมันก็ยังคงเป็น บี-บอย และใครก็ตามที่เอาจริงเอาจังกับมัน ก็จะยังคงเรียกมันว่า บี-บอย เสมอไป”
ส่วน เครซี่ เลกส์ เอง ที่บอกว่ามักจะได้ยินคำว่า เบรกแดนซ์ อยู่บ่อย ๆ แต่ก็ปล่อยผ่านไปเฉย ๆ เล่าว่า
“ตอนผมเริ่มเต้นครั้งแรกในปี 77 ตอนนั้นทุกคนยังเรียกว่า บี-บอย กันอยู่ พอเรื่องพวกนี้ได้รับความสนใจจากสื่อในช่วงปี 81, 82 จนตอนหลังผมเองยังเผลอเรียกมันว่า เบรกแดนซ์ ไปด้วยเลย”
แม้ว่าจะมีความผิดพลาดในการเรียกโดยสื่อ แต่หลายคนที่เต้นก็สบายใจที่จะเรียกมันว่า บี-บอย มากกว่า หรือไม่ก็อาจจะเรียกมันว่า “เบรกกิ้ง” แทน เพราะการเรียกด้วยคำนี้ ยังเป็นการให้ความเคารพแก่วัฒนธรรมของฮิปฮอปต้นฉบับอีกด้วย
แต่เดิมที่เคยเป็นวัฒนธรรมกระแสรอง ตอนนี้ บี-บอย ได้โจนทะยานเข้าสู่วัฒนธรรมกระแสหลักไปแล้วเรียบร้อย และ เบรกกิ้ง ยังคงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลัก ที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมฮิปฮอปสืบเนื่องมานับแต่นั้น
จากความนิยมเฉพาะกลุ่มของผู้คนในบรองซ์ ต่อมาถึงปัจจุบัน เบรกกิ้ง กำลังจะกลายเป็นการแข่งขันระดับโลก ในปารีสโอลิมปิก 2024
ประชันกันที่ความคิดสร้างสรรค์
จากโตเกียวโอลิมปิก 2020 ที่เพิ่งจบไป จะสังเกตได้ว่าคณะกรรมการโอลิมปิกมีความพยายามที่จะนำกีฬาที่เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันมากขึ้น ที่เห็นกันไปแล้วก็เช่น สเก็ตบอร์ด, เซิร์ฟบอร์ด, และ ปีนเขา เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ และความจริงแล้วเบรกกิ้งก็เคยเป็นกีฬาเยาวชนของโอลิมปิกมาแล้ว ในปี 2018 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า
การที่ เบรกกิ้ง เข้าร่วมเป็นหนึ่งในกีฬาอย่างเป็นทางการในปารีสโอลิมปิก 2024 ได้รับการสนับสนุนจาก “สหพันธ์กีฬาลีลาศโลก” (The World DanceSport Federation : WDSF)
“นี่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่สำหรับนักเต้น บี-บอย หรือ บี-เกิร์ล เท่านั้น แต่สำหรับนักเต้นทั่วโลก”
“ทางสหพันธ์ไม่สามารถภูมิใจไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ที่เบรกกิ้งจะได้เข้าร่วมใน ปารีสโอลิมปิก 2024 เราขอขอบคุณทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการโอลิมปิก ทีมงานของสหพันธ์ และที่สำคัญที่สุด ผู้คนที่นิยมในการเต้นเบรกกิ้ง”
“ชอว์น เทย์” ประธานสหพันธ์ กล่าวถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อการประกาศอย่างเป็นทางการครั้งนี้
เบรกกิ้ง ที่มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมกระแสรอง กำลังจะถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในกีฬาของโอลิมปิกอย่างเป็นทางการในการแข่งขัน ปารีสโอลิมปิก 2024 นำมาสู่ความตื่นเต้นครั้งใหม่ให้แก่ผู้เข้าแข่งขันและผู้ชม เพราะใจความสำคัญของการแข่งเต้นเบรกกิ้งคือ
การใช้ความคิดสร้างสรรค์ในขณะที่ร่างกายก็ต้องขยับตลอดเวลา
การแข่งขันเบรกกิ้งใน ปารีสโอลิมปิก 2024 จะมีทั้งประเภทชายและหญิง โดยแบ่งเป็นทีมละ 16 คน โดยการแข่งแต่ละครั้งจะให้ส่งตัวแทนออกมาเต้นแบตเทิลกัน 1 ต่อ 1
แม้จะยังไม่มีเกณฑ์การวัดคะแนนของโอลิมปิกออกมาอย่างเป็นทางการ แต่การแข่งขันเบรกกิ้งที่ผ่านมา สามารถทำความเข้าใจได้แบบคร่าว ๆ จากรายการแข่งขันอื่นที่ผ่านมา เช่นการอ้างอิงจากการแข่งขัน “เรดบูล บีซี วัน” (Red Bull BC One)
ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นการเต้นแบบฟรีสไตล์ แต่เบรกกิ้งก็มีหลักการในตัว มีเทคนิคที่เรียกว่า ท็อปร็อก โกดาวน์ ฟุตเวิร์ก พาวเวอร์ มูฟและ ฟรีซ ซึ่งแต่ละเทคนิคจะมีความสัมพันธ์กัน และการเคลื่อนไหวในแต่ละท่าก็สามารถเป็นคะแนนได้ทั้งหมด การจะทำความเข้าใจกฎและกติกาการแข่งขันเบรกกิ้งได้ เราจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจหลักการเต้นพื้นฐานเสียก่อน
ท็อปร็อก คือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการเต้นเบรคกิ้ง การเต้นท็อปร็อกคือการโยกตัวตามจังหวะเพลงไปเรื่อย ๆ ส่วนมากจะนับจังหวะห้องดนตรีอยู่ที่ 2 ห้อง หรือ 8 ห้อง ก่อนที่จะลงไปเล่นท่า ที่สำคัญที่สุดคือการออกท่าทางด้วยแขนและขาอย่างสัมพันธ์กัน เมื่อพร้อมแล้วจะสามารถ โกดาวน์ ต่อได้ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวตรงตัวตามชื่อคือ ลงไปที่พื้น แต่ความท้าทายคือ ผู้เต้นจะต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาตามเพลงโดยที่ไม่หยุด เทคนิคนี้จะสัมพันธ์กันกับท็อปร็อก เพราะเหมือนเป็นการเล่นท่าติดต่อกัน
ฟุตเวิร์ก คือการใช้มือเข้ามาช่วยพยุงตัว ในขณะที่กำลังเต้นโดยใช้เท้าเป็นหลักอยู่ ผู้เต้นอาจจะทำ พาวเวอร์ มูฟ หรือท่าหมุนตัวไปรอบ ๆ คล้ายกับการควงสว่าน โดยใช้ทั้งมือ แขน ขา ไหล่ พยุงไม่ให้ล้ม ก่อนที่จะ ฟรีซ หรือหยุดค้างที่ท่าใดท่าหนึ่งไว้เพื่อเป็นการจบการเต้นอย่างสวยงาม
เมื่อเข้าใจวิธีการแล้ว วิธีการตัดสินจึงอาจจะไม่ได้ซับซ้อนมากจนเกินไป เดิมทีการแข่งขันเบรกกิ้งมีเกณฑ์การให้คะแนนที่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ความแข็งแรง ความชำนาญในการเล่นท่าพื้นฐาน บุคลิก หรือสไตล์การเต้น
คณะกรรมการในการตัดสินก็คือคนที่มีประสบการณ์ในการเต้นเบรกกิ้ง ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เช่น “บี-บอย อัสลาน” นักเต้นจากมอสโก ประเทศรัสเซีย อดีตแชมป์เรดบูล บีซี วัน, “บี-เกิร์ล เอที” แชมป์ บี-เกิร์ล หญิงจากประเทศฟินแลนด์ หนึ่งในนักเต้นหญิงที่เต็มไปด้วยความรู้และประสบการณ์การแข่งขันจำนวนมาก หรือแม้กระทั่ง เครซี่ เลกส์ ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า ก็จะมาเป็นกรรมการตัดสินด้วยเช่นกัน
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่โอลิมปิกนำการแข่งเต้น เบรกกิ้ง เข้ามาแข่งขันอย่างเป็นทางการ แต่เช่นเดียวกันกับกีฬาเอ็กซ์ตรีมอื่นที่ถูกบรรจุในโตเกียวโอลิมปิกที่ผ่านมาอย่าง สเก็ตบอร์ด หรือ เซิร์ฟบอร์ด ที่กีฬาเฉพาะกลุ่มเหล่านี้เป็นที่นิยมมานานแล้ว
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าโอลิมปิกพยายามที่จะเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นให้มากขึ้น ด้วยการนำกีฬาที่มีความน่าตื่นเต้นและความหลากหลายเข้ามาสู่การแข่งขัน
แต่พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อการฉกฉวยทางวัฒนธรรมหรือไม่ ?
น่าตื่นเต้น หรือ น่ากังวล?
แม้ เบรคกิ้ง จะได้เข้าร่วมในโอลิมปิกอย่างเป็นทางการและมีหลายคนที่ยินดี แต่สำหรับบางคนกลับกลัวว่าการจัดแข่งกีฬาที่มีประวัติและวัฒนธรรมยาวนาน หากถูกนำเสนอโดยคนกลุ่มอื่นบนเวทีระดับสากลเช่นนี้ อาจจะเป็นการลดทอนคุณค่าของการเต้นเบรกกิ้งลง เหมือนกับเป็นดาบสองคมหรือไม่
“ผู้คนไม่รู้ว่า บี-บอย ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร มันคือไลฟ์สไตล์ มันคือศิลปะ ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่มองว่ามันก็แค่การแข่งเต้นกัน แต่จริง ๆ แล้วมันมีมากกว่านั้น มันคือการแสดงออกของตัวตน”
“วิคเตอร์ ‘วิเชียส’ มอนทัลโว” นักเต้นเบรกกิ้งวัย 26 ปี จากออร์แลนโด้ เชื้อสายเม็กซิกัน อดีตแชมป์ เรดบูล บีซี วัน ประจำปี 2015 แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ค่อนข้างกังวลกับภาพลักษณ์ที่โอลิมปิกจะนำเสนอออกไป
วิคเตอร์ ไม่ใช่แค่คนเดียวที่กังวลกับเรื่องดังกล่าว แม้กระทั้งผู้เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์สอนเต้นเบรกกิ้งที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน อย่าง “ราฟาเอล ซาเวียร์” ก็เป็นอีกคนที่ทั้งยินดีและกังวลในเวลาเดียวกันจากบทสัมภาษณ์ของ NPR
“ผมว่ามันน่าสนใจทีเดียวนะ มันอาจจะมีทั้งเรื่องแย่และเรื่องดีก็ได้ เอาเป็นว่าผมจะเลือกมองด้านที่ดีก็แล้วกัน นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ สำหรับคนรุ่นหลัง อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถตั้งเป้าหมายได้ รู้ไหม ไม่เหมือนกับพวกคนแก่หรือนักกีฬาในอดีต พวกเราไม่มีเป้าหมายเหมือนพวกเขา เราได้แต่เต้นแบตเทิลกันเฉย ๆ แค่นั้นเอง”
“ตอนที่ผมเริ่มเต้น มันเหมือนกับที่ผมบอกไป เมื่อก่อนคุณได้แค่เต้นเพื่อเอาชนะคู่แข่งเท่านั้น คุณฝึกร่างกายแบบเข้มงวดแทบสะบั้น สุดท้ายก็เพื่อเครดิตบนถนน แต่ตอนนี้เมื่อมีชื่อของโอลิมปิกมาเกี่ยวด้วย คุณอาจจะยอมทำทุกอย่างให้เก่งที่สุดได้เลยแหละ ”
ราฟาเอลแบ่งรับแบ่งสู้กับเรื่องนี้พอสมควรเพราะเขาเป็นคนดำที่รับวัฒนธรรมนี้มาแบบเต็ม ๆ เขายอมรับตามตรงว่ากังวลว่าอาจจะถูกพรากวัฒนธรรมเหล่านี้ไป ผ่านการนำเสนอที่เขาเองก็ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร
“ผมมองว่ามันเป็นไปได้นะ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับบุคคลว่ามองการเต้นเป็นประโยชน์กับวัฒนธรรมอย่างไร กลุ่มคนดำและคนลาตินจะได้รับผลต่อเรื่องนี้ เวลาที่ประเทศอื่น ๆ นำเรื่องราวนี้ไปนำเสนอ ไอเดียหรือความคิดเบื้องหลังก็อาจจะหายไปด้วย”
“พวกเขาอาจจะได้รับความเคารพ แต่คนที่ไม่เห็นคุณค่าก็คงจะมองว่ามันเป็นแค่การเต้นอย่างเดียว”
การนำเสนอกีฬา เบรกกิ้ง ใน ปารีสโอลิมปิก 2024 เป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่าจะออกมาในรูปแบบใด ในเวลาหลังจากนี้อีก 4 ปี แต่กว่าจะถึงตอนนั้น นักเต้นทั่วโลกคงจะต้องทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างหนัก โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่การได้เหรียญทอง
“ถ้าอเมริกาเข้ารอบ ผมก็จะไปดูถึงที่เลย ผมรักในการเต้น ผมคงไม่มาอยู่ตรงนี้ถ้าไม่ใช่เพราะการเต้นหรอก ผมจะไปนั่งแถวหน้าสุดเลยถ้าทำได้” ราฟาเอล ทิ้งท้าย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เบรกกิ้งไปได้ไกลถึงโอลิมปิกนั้นก็น่าภูมิใจมากแล้ว ในฐานะวัฒนธรรมกระแสรองที่ได้รับการยอมรับระดับสากล ไม่ใช่สำหรับใครคนใดคนหนึ่ง แต่สำหรับนักเต้นทั่วโลก
คงจะดีไม่น้อยหากทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันหรือใครก็ตามที่รับชม สามารถทำความเข้าใจที่มาและต้นกำเนิดของกีฬาประเภทนี้ได้ในเชิงลึก เพราะนอกจากจะทำให้ดูกีฬาสนุกขึ้นแล้ว อาจจะทำให้เราเข้าใจคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้มากยิ่งขึ้นด้วย
แหล่งอ้างอิง :
https://dailyrapfacts.com/5683/dj-kool-herc-coined-the-terms-b-boys-and-b-girls/
https://edition.cnn.com/2020/12/07/sport/breakdancing-olympics-paris-2024-spt-intl/index.html
https://www.forbes.com/sites/michellebruton/2020/12/07/all-about-breakdancing-breaking-the-new-sport-debuting-at-the-2024-paris-olympics-and-which-stars-to-know/?sh=450539342384
https://historyofthehiphop.wordpress.com/hip-hop-cultures/break-dancingdance/
https://i-d.vice.com/en_uk/article/ev3v4z/exploring-the-birth-of-the-b-boy-in-70s-new-york
https://www.npr.org/2020/12/20/948315555/olympic-breakdancing
https://www.redbull.com/us-en/history-of-breakdancing
https://www.redbull.com/int-en/is-it-breakdance-or-breaking
https://www.redbull.com/int-en/understand-the-basic-elements-of-breaking
https://teachrock.org/people/dj-kool-herc/
บันทึก
4
1
4
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย