13 ส.ค. 2021 เวลา 08:52 • ปรัชญา
การสร้างบุญสร้างกุศล ต้องใช้ตัวขันติต้องใช้ความพยายามเหมือนกัน ไม่ใช่มาประพฤติปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ก็คือทำบุญให้ทาน ต้องใช้ความขันติความพยาม และใฝ่ใจในบุญนั้นๆ กายของเราก็จะเป็นกายที่มีบุญเกิดขึ้น จิตของเราก็อยู่ในสังขารที่มีบุญ เมื่อมีบุญเกิดขึ้น เราก็สามารถจะเอาสิ่งเหล่านี้ มาสร้างเป็นกิริยาของธรรม เพื่อให้หนีกรรม ได้นั้นเอง
การทำบุญทำทานด้วยความบริสุทธิ์ ผู้ที่กระทำได้ คือ ผู้ที่มีความพยายาม ใฝ่บุญให้แก่จิต แต่สิ่งที่ทำให้จิตเป็นทุกข์ ก็เพราะ การทำบุญทำทาน ไม่มีความบริสุทธิ์ในบุญทานนั้น ก็เลยเสียเวลาทำ เมื่อเสียเวลาทำ ก็เกิดมีกรรม เกิดขึ้นกับจิตเหมือนกัน เหมือนเป็นดีและชั่ว อยู่ร่วมกัน ถ้าใฝ่ดี เราก็ขอให้จิตมีธรรมเกิดขึ้น หรือ กายมีบุญเกิดขึ้น นั้นคือ สิ่งที่ทุกคนปรารถนา
แต่มาอยู่ในโลกนี้ ปรารถนาในเรื่องราวของกรรม เพราะทำบุญทีไร ก็ปรารถนาเช่นนั้น เพื่ออยากให้มีความสุข ปรารถนาในทรัพย์สินทองนั้นๆ
เพราะเราไม่รู้จริง ก็เลยปรารถนาให้มั่งมีศรีสุขเหมือนกับเค้า แต่ถ้ารู้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ คือ กรรม ที่เกิดจาก โลภโกรธหลง มีความยึดในเรื่องราวต่างๆเหล่านั้น เค้าเรียกว่า ยึดในเรื่อง สิ่งที่เป็นมายา สิ่งที่ไม่เป็นของจริง แต่ว่าอุปโลกน์ให้มันเป็นของจริงขึ้นมา ก็เลยทำให้จิตของเราต้องไป เฝ้า ไปถนุถนอมในสิ่งที่ไม่เป็นจริง
ไอ้สิ่งที่เป็นจริง ที่เกิดจากจิต คือ การทำบุญให้ เกิดเป็นอานิสงส์ ให้แก่จิตได้รู้จัก การสร้างบุญ สร้างกุศล เพื่อจะนำพาสิ่งที่ นิสัยที่สร้างกรรม ก็จะคลายในสิ่งนั้น ให้บรรลุธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าสิ่งทั้งหลาย คือ สิ่งสมมุติ สิ่งเกิดมายา ไม่ใช่ของจริง ทำให้เรามีทุกข์ สิ่งที่ของจริง เราต้องทุกขเวทนา ในการแก้ไข นิสัยตัวเอง นิสัยกายวาจาใจ ให้มาเป็นธรรม เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ ทุกข์วันนี้ พรุ่งนี้ก็ทุกข์ มะรืนนี้ก็ทุกข์ ทุกข์กันทุกวัน แต่ไม่รู้จักการคลายทุกข์ ก็เลยทุกข์ไปตลอดชีวิต ที่มาอาศัยสังขาร สถานที่นั้นอยู่ ก็ยังไปมีทุกข์ ในกาลข้างหน้าอีกมากมายก่ายกอง ที่เราไม่รู้ สิ่งเราทำนั้น คือ สิ่งที่ไม่รู้ เหมือนกับ จิตที่ไม่รู้ดี รู้ชั่วจึงเกิดเป็นกรรม ให้แก่จืตของตัวเอง
คราวนี้ การทำบุญ ทำบุญก็ต้องมีความพยายามที่จะกระทำ คือ พยายามที่จะหนีความเกียจคร้าน ความไม่เห็นดีต่างๆ ออกไป ให้เหลือแต่ความดี โดยการ สร้างบุญ สร้างกุศล กาลนั้นๆให้มีสติเกิดขึ้น ถ้าเราระลึกได้ เอาแค่ระลึกได้นิดๆหน่อยๆ พอแล้ว เช่น เราอยากให้กายมีบุญ กายที่ไม่มีทุกข์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้จิตเรา อยู่ในเรือนกายที่มีความสุข เหมือนกับเราไปอยู่ในสถานที่ที่แออัด มีแต่ความวุ่นวายแห่งกรรม จิตของเรากายของเราก็ไปอยู่ตรงนั้น กายที่เป็นทุกข์เกิดขึ้น
คราวนี้กายที่มีบุญก็ไปอยู่ที่โลง ที่มีความสงบ แม้แต่ไปอยู่บ้านช่อง ตรงไหนๆ จะย้ายที่อยู่ ที่อาศัย ให้สังขารอยู่ ก็มีแต่ความสงบ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความทะเลาะเบาะแว้งอะไร เพราะกายมันมีบุญ
กายมีบุญก็คือกายไม่มีทุกข์ จิตของเราก็ไม่มีทุกข์ด้วย คราวนี้ถ้ากายมีกรรมมากขึ้น อารมณ์กรรมก็ปรุงแต่งขึ้น จิตเราก็อยู่ในเรือนกายที่มีกรรม
เพราะฉะนั้น การสร้างบุญ สร้างกุศลหรือ สร้างทาน สร้างบารมี หนีเวรกรรม ก็เพื่อจะอยาก หนีจากทุกข์นั้นเอง ถ้ามีปัญญามากขึ้นๆ ก็ไม่อยากเกิดมาอีก เกิดมาแล้ว มาตายเกิดมาทำไม เมื่อเกิดมาตาย เราก็ไม่อยากเกิด
คราวนี้ ไม่อยากเกิด มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเรายังไม่ ตรวจสอบว่า อะไรทำให้เกิด เราก็รู้ว่า มันไหลมาแต่อารมณ์ แต่เราก็ยับยั้งอารมณ์นั่นไม่ได้ เราก็เลยต้องทำ เหมือนกับ เมื่อวานทำอย่างไร วันนี้ก็ทำอย่างนั่น
ฉะนั้น เราก็มาแก้ไข โดยความขันติ และ มีความพยายาม ที่จะหนี จากโลก มาสู่ธรรม โดยการสร้างบุญบ้าง ปฏิบัติธรรมบ้าง เพื่อล้างเวรล้างกรรม ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่อยากมีทุกข์อีก และให้ปรารถนา ให้รู้แจ้ง ในเรื่องของปัจจัยตัง ที่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้นแก่จิตของเรา เพื่อจะได้แก้ไขนิสัย กรรมของตัวเอง เกิดมาทุกชาติขอให้ได้กายครบสามสิบสอง แล้วให้จิตที่ไขว่คว้าหาเรื่องราวที่ เป็นธรรมเกิดขึ้น ให้แก่จิตของเรา ให้เรได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ได้สร้างบุญสร้างทานทุกชาติไปถ้าชาติไหน มันขาดบุญขาดทาน ชาติต่อไป จิตล่วงลับแล้ว ก็ไปสู่สิ่งที่ลำบากเกิดขึ้น เกิดมาใหม่ก็ลำบาก อาจจะได้เปลี่ยนสังขาร เป็นง่อยเปลี้ยเสียขา พิกลพิการเกิดขึ้น หรือ เกิดไปเป็นสัตว์ต่างๆ ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ เราก็ไม่อยากมีทุกข์ กมาสร้างบสร้างกุศลแก่จิตของเรา ละสิ่งต่างๆที่ทำให้ทุกข์ออกมา สร้างสุขให้แก่จิต
ถึงแม้ว่าที่บ้านของเรา เรายังเก็บกวาดไม่สะอาดสะอ้านพอ แต่ถึงเวลา เราจะต้องให้กายเป็นบุญ จิตมีปัญญาในธรรม ก็ต้องวางสิ่งนั่นไว้ก่อน แล้วก็ต้องตัดขาดจากกันชั่วขณะหนึ่ง จิตที่ไขว่คว้าเอาแต่บุญ เอาแต่ทาน เอาแต่การประพฤติปฏิบัติธรรม หนีกรรม เพราะการกวาดบ้าน ถูบ้านอะไรต่างๆ มันก็เป็นกรรมเกิดขึ้น
คราวนี้ ทำให้ไม่มีกรรม เป็นบุญบารมี เราก็นึกถึง กายของเราทำความสะอาด เพื่อจะ นั่งนอนได้สะบาย จิตของเรา ไม่เคยสะบายเลย เพราะเราไม่ได้สร้าง สร้างความสงบให้แก่จิต เราก็นำกายวาจาใจของเราเนี่ย มาสร้างเป็นบุญเป็นบารมีให้เกิดขึ้น จิตเราก็อยู่ในเรือนกายที่เป็นบุญบารมีอย่างนี้ เป็นต้น
นี่การสร้างบุญสร้างกุศล ต้องใช้ตัวขันติต้องใช้ความพยายามเหมือนกัน ไม่ใช่มาประพฤติปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ก็คือทำบุญให้ทาน ต้องใช้ความขันติความพยาม และใฝ่ใจในบุญนั้นๆ กายของเราก็จะเป็นกายที่มีบุญเกิดขึ้น จิตของเราก็อยู่ในสังขารที่มีบุญ เมื่อมีบุญเกิดขึ้น เราก็สามารถจะเอาสิ่งเหล่านี้ มาสร้างเป็นกิริยาของธรรม เพื่อให้หนีกรรม ได้นั้นเอง สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา