14 ส.ค. 2021 เวลา 20:30 • ความคิดเห็น
นักจิตบำบัด/จิตวิทยา (ที่ฉันได้พบเจอ) คือผู้เยียวยาจิตใจที่ดีที่สุดในโลก
ความจริงเราไม่รู้นะว่า นักจิตวิทยา/จิตบำบัด เหมือนหรือต่างกันยังไง รู้แค่เวลาไปพบจิตแพทย์ แพทย์จะเขียนใบนัดให้ว่า ‘พบนักจิตก่อนพบแพทย์’
https://www.chatelaine.com/living/what-to-say-to-someone-grieving/
เขาเยียวยาจิตใจยังไงน่ะหรอ
เริ่มจากการพบกันครั้งแรก เราไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ เขาต้อนรับเราด้วยรอยยิ้ม ยังไม่มีคำใด ๆ เอ่ยออกมาในทันที แล้วเริ่มคำถามแรกด้วย ‘วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ อยากเล่าให้ฟังมั้ย’
เราเองก็ยังไม่มีคำใด ๆ เอ่ยออกมาในทันทีเหมือนกัน นั่งนึกอยู่นานมาก *วันนี้เราเป็นยังไงบ้างวะ* เลยตอบไปแค่ว่า ดีค่ะ *ยิ้มแห้ง*
เอาแค่2ประโยคนี้ก่อน การเริ่มต้นคุยกับคนแปลกหน้าเกี่ยวกับเรื่องปัญหาสุขภาพจิตนี่มัน awkward ระดับนึงเลยนะ สำหรับเราคือไม่รู้เลยว่า เราควรพูดด้วยภาษาระดับไหน เรียกแทนตัวเองว่าอะไร เรียกพี่นักจิตว่าอะไร เล่ารายละเอียดที่ลึกซึ้งได้เท่าไหน หรือแม้แต่ จะเอามือไปวางไว้ตรงไหนดี ?
ความพิเศษของพี่นักจิตที่เราพบคือ เขาสามารถดึงทุกอย่างที่เราเก็บกดเอาไว้ เรียกว่าเป็นระดับ subconscious ได้เลย พอได้เริ่มปลดปล่อยความทรงจำส่วนนั้นแล้ว หลังจากนั้นทุกอย่างพรั่งพรูออกมาเป็นคำพูด เป็นความโกรธ ความเสียใจ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด ฯลฯ
เหมือนพี่เขาเอาเข็มจิ้มลูกโป่งที่ใส่น้ำอยู่ แล้วน้ำก็เริ่มไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกทุกอย่างถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงและน้ำตา (น้ำมูกด้วย) ของเรา
สิทธิพิเศษที่เราจะได้โดยไม่ต้องร้องขอเลยคือ แพ็คกระดาษทิชชู่ ใช้ได้ไม่อั้น น้ำตาเริ่มไหลเมื่อไรทั้งหมอและพี่นักจิตจะหยิบทิชชู่แบบแพ็คมาวางตรงหน้าเราทันที ประทับใจ
สิ่งที่เรารับรู้ได้อย่างนึงคือ เราสามารถเล่า ‘ทุกอย่าง’ ที่อยู่ในหัวเรา ณ ขณะนั้น ให้นักจิตฟัง แม้เราจะพูดไม่รู้เรื่อง พูดพร้อมน้ำตา พูดไปสั่งน้ำมูกไป แต่พี่นักจิตจะอยู่ตรงนั้นและคอยรับฟังทุกอย่างที่เราสื่อสารออกไป แม้แต่อิริยาบถท่าทางของเรา
ใช่ค่ะ นักจิตไม่ได้แค่รับรู้รับฟังและเข้าใจสิ่งที่เราพูด แต่เขาเข้าใจการกระทำของเราด้วย เรานั่งงอตัวไถลก้นไปไว้ที่ปลายเก้าอี้ด้วยท่าทางคล้าย ๆ จะเอนนอนบนเก้าอี้สำหรับนั่ง เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พี่เขาฟังพร้อมกำทิชชู่ที่ซับน้ำมูกน้ำตาเราไว้ ร้องไห้จนเหนื่อย ปวดหัว
พี่นักจิตบอกว่า ตอนนี้หนูเหมือนคนหมดแรงที่พร้อมจะลงไปนอนกองที่พื้นแล้วกอดตัวเองร้องไห้อยู่ตลอดเวลา อยากพักก่อนไหมคะ ?
เราพึ่งรู้ตัวว่าสภาพเราเป็นแบบนั้นจริง ๆ และน่าแปลกตรงที่เรากล้าเปิดเผยท่าทางแบบนั้นให้นักจิตได้เห็น เขาทำให้เราเชื่อมั่นได้จริง ๆ ว่าเราจะสื่อสารอะไรออกไปก็ได้ ไม่ว่าจะเป็รการพูดจาหรือท่าทาง เขารับรู้และเข้าใจลึกซึ้งมาก
จากปกติ topic ที่พูดคุยจะเป็นเรื่องเรียน เครียดจากฝึกงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ฉันเริ่มเล่าเรื่องครอบครัว…
เริ่มจากเรื่องที่ 1
แล้วพี่นักจิตก็ถามต่อ
ฉันเล่าเรื่องที่ 2
พี่นักจิตถามว่าเพราะอะไร
ฉันจึงเล่าเรื่องที่ 3
พี่นักจิตถามว่าเกิดขึ้นเมื่อไร
ฉันเล่าเรื่องที่ 4
พี่นักจิตถามว่าตอนนั้นเรารู้สึกยังไง
ฉันเล่าเรื่องต่อ ๆ ไปโดยไม่รู้เลยว่าจุดจบเรื่องครอบครัวอยู่ตรงไหน
พี่นักจิตค่อย ๆ ถามเราเรื่อย ๆ ว่าแต่ละเหตุการณ์เรารู้สึกยังไง
และตอนนี้เรารู้สึกยังไงกับเหตุการณ์เหล่านั้นที่ผ่านมานานแล้ว
สิ่งที่ตอบไปคือ ฉันรู้สึกโกรธ และรักเขา(ครอบครัว)มากในเวลาเดียวกัน หลังจากนั้นก็ร้องไห้หนักมาก ๆ
พี่เขาปลอบฉันและบอกว่าพี่เข้าใจ
ไม่มีคำตัดสินใด ๆ ไม่มีการบอกว่ามันถูกหรือผิด ไม่มีคำแนะนำว่าเราควรต้องรู้สึกยังไง พี่นักจิตแค่บอกว่าพี่เข้าใจ ด้วยสีหน้าที่เข้าใจและเห็นใจจริง ๆ
สิ่งหนึ่งที่ชั้นบอกได้เต็มปากคือ ไม่ว่าคุณจะเจอเหตุการณ์อะไรหรือทำอะไรมา แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม นักจิตจะช่วยให้คุณได้ค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงของคุณต่อเหตุการณ์นั้น ๆ โดยที่คุณหรือใครก็ตามในเหตุการณ์จะไม่มีทางถูกตัดสินอย่างแน่นอน
ให้เปรียบเทียบง่าย ๆ พี่นักจิตคือกระจกพูดได้
เขาส่องให้เราได้เห็นตัวเองชัด ๆ และพูดไกด์นำให้เรากล้ามองเห็นตัวเราเองในกระจก อย่ามัวแต่ก้มหน้าก้มตามองเท้าของคุณ
ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่มีทางได้ค้นพบต้นตอที่แท้จริงเลยว่าทำไมคุณถึงเป็นคุณในวันนี้
กว่าจะทราบต้นตอที่แท้จริงของปัญหาสุขภาพจิตที่ฉันเป็น มันใช้เวลานานเกือบปี (ขึ้นอยู่กับว่าคุณพบหมอและนักจิตบ่อยแค่ไหนด้วย)
ต่อไปคือขั้นตอนที่ฉันต้องรับมือกับความจริงเหล่านั้น
น่าจะมีคนเคยได้ยินขั้นตอนการรับมือกับความสูญเสีย 5 stages of grief
ฉันผ่านมาทุกขั้นตอนแล้ว และตอนนี้ฉันพูดได้เต็มปากว่าฉันรับมือได้แล้ว
ถ้าจะต้องขอบคุณใครหรืออะไร ก็ต้องเป็นจิตแพทย์ นักจิตฯ และยาอีกเป็นกำ ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ไม่ยากจนเกินไป
โฆษณา