Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
30 ส.ค. 2021 เวลา 01:24 • นิยาย เรื่องสั้น
6.1. ปฐมเหตุแห่งเภทภัย
โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน สามผู้นำช่วงมิคสัญญี
กวนลอย้อนความคิดกลับไปในวันที่มันตัดสินใจเดินหมากการเมืองปลุกเร้าไฟสงครามให้กับแผ่นดินฮั่นอันฟอนเฟะของกษัตริย์ฮวนเต้ครั้งนั้น ผู้ร่วมก่อการณ์เป็นพี่น้องร่วมสาบาน สมญานาม สี่วิญญูชนนครหลวง ซึ่งล้วนทำงานตำแหน่งสูงส่งอยู่ในราชสำนัก
คนทั้งสี่ ประกอบด้วย เล่าหัว เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงและขุนนางพิธีการ เป็นพี่ใหญ่ โด่งดังเรื่องการวาดภาพเขียนอักษร เตียวโถ หัวหน้าองครักษ์วังหลวง เป็นพี่รอง เชี่ยวชาญเรื่องการดนตรี จูกัดกุ๋ย เจ้ากรมราชทัณฑ์ เป็นพี่สาม เก่งกาจด้านหมากกระดาน และตัวมันเอง เขาเฉียว ในฐานะโหรหลวง เป็นน้องสี่ ชำนาญเรื่องการพยากรณ์
เหตุร้ายนั้นเกิดจากพี่สามจูกัดกุ๋ยที่บังเอิญไปค้นพบบันทึกพิสดารจากตัวนักพรตขี้เมาคนหนึ่ง แล้วนำมาเผยแพร่ในกลุ่ม ภายในคล้ายบอกเล่านวนิยายเรื่องหนึ่ง แต่ตัวละครกลับเป็นบุคคลมีชื่อเสียงหลายคนที่โลดแล่นฝ่าฟันในวงการการเมืองไปจนถึงจุดจบของชีวิต และคนหน้าใหม่ก้าวมาทดแทนอย่างน่าสนใจ
พอมันนำมาตีความในมุมมองของนักพยากรณ์ กลับคลับคล้ายเป็นคำทำนายอนาคตของราชวงศ์ฮั่นที่กำลังก้าวเข้าสู่หายนะทางการเมือง มันจึงปรึกษากับพี่น้องทั้งสาม เบื้องแรก ทั้งหมดตกลงให้ปิดเรื่องไว้เป็นความลับ หากแต่เหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มเป็นจริงเป็นจังขึ้นตามบันทึกนั้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการที่กษัตริย์ฮวนเต้รับตัวเล่าหลิงมาเป็นพระราชโอรสบุญธรรม และการค้นพบตัวตนจริงของคนในนิยาย เช่น อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด ซุนเกี๋ยน โจโฉ เล่าปี่ ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน ทำให้บันทึกนิยายกลายเป็นลิขิตพยากรณ์ที่น่าหวาดกลัวแทน
จนสุดท้าย เล่าหัวในฐานะเชื้อพระวงศ์ กังวลใจแทนบ้านเมืองและปวงประชา จึงนำความขึ้นกราบทูลต่อองค์ฮ่องเต้ หวังจะระงับความพินาศที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่กษัตริย์ฮวนเต้ซึ่งมีความชิงชังส่วนตัวต่อเล่าหัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับมองว่าเล่าหัวอิจฉาริษยาผู้อื่น มีความประสงค์ร้ายต่อบัลลังก์ ถึงกับลงทัณฑ์ตัดเอ็นมือเอ็นเท้า และเนรเทศให้ไปบวชเป็นหลวงจีนที่วัดม้าขาวตลอดชีวิต ใช้สมญาเภาก้วย (ผิดพลาด) เตียวโถที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ออกหน้าทักท้วง ก็ถูกจับตอนให้เป็นขันทีเฝ้าวังหลวงไปอีกคน
จูกัดกุ๋ยกับตัวมันโชคดีที่ติดภารกิจต่างเมือง มาทราบเรื่องในภายหลัง จึงไม่กล้าเอ่ยปากอันใด ได้แต่แอบช่วยเหลือจุนเจือพี่น้องทั้งสองอย่างลับๆ จนภายหลัง อาศัยจังหวะที่ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเป็นกษัตริย์เลนเต้แล้ว ค่อยหาข้ออ้างขอลาออกจากราชการไปทั้งคู่
จูกัดกุ๋ยสำนึกตัวว่า ตนเองเป็นต้นเหตุชักนำเภทภัยมาสู่พี่น้องด้วยกัน จึงอาสาวางแผนการณ์ระยะยาวให้สอดคล้องกับคำทำนายในบันทึกพิสดารนั้น ก่อตั้งกองกำลังลับชื่อขบวนการฟ้าดิน เพื่อแก้แค้นต่อราชวงศ์ฮั่นที่กำลังล่มสลาย ใช้อำนาจบารมี และสายสัมพันธ์ของเล่าหัวกับเตียวโถ เพาะบ่มขุมกำลังขึ้นภายในวงการศาสนา และราชสำนักเป็นการลับ ทั้งสามเชื้อพระวงศ์ เล่าเปียว-เล่าเจี้ยง-เล่าฉวน ทั้งสิบขันทีมีชื่อ ก็ล้วนเป็นฝีมือสร้างสรรค์เชื่อมโยงชักจูงของอดีตคนดังทั้งสอง
ส่วนตัวมันให้อาศัยวิชาพยากรณ์ตีความควบคู่กับบันทึกพิสดาร แปลงโฉมเปลี่ยนตัวตนจากเขาเฉียว โหรหลวงประจำราชสำนัก เป็นกวนลอ ซินแสโลกทิพย์จากต่างแดน ชักนำให้ ซุนเกี๋ยน ซุนฮกแห่งสำนักหุบเขาปีศาจ ขุมกำลังลับที่จูกัดกุ๋ยค้นพบ เข้าสู่วังวนแห่งอำนาจ อาศัยนักพรตปริศนาคนเดิมนั้นเป็นตัวเชื่อมโยงขุมกำลังลับอื่นๆ ก่อกวนแผ่นดินให้โกลาหลวุ่นวาย ซุนเกี๋ยนทั้งสองเชื่อถือโชคลางเป็นที่สุด เห็นว่า คำทำนายของมันแม่นยำราวปาฎิหาริย์ ถึงกับยินยอมเชื่อถือมาโดยตลอดอย่างงมงาย
ในขณะที่จูกัดกุ๋ยเอง ซ่อนเร้นร่องรอยเพื่อแอบเสริมสร้างกำลังคนขึ้นมาควบคู่กัน เตรียมก่อการยึดอำนาจกลับไปในจังหวะที่เหมาะสม จนบัดนี้ หุบเขามังกรซ่อนที่จูกัดกุ๋ยซ่อนกายอยู่นั้นมีกองกำลังที่เข้มแข็งมากพอ คนของตระกูลจูกัดเอง ก็ไม่เสียทีที่ได้รับการสนับสนุนในทางลับอย่างเต็มที่ คนรุ่นสองตั้งแต่จูกัดกิ๋น จูกัดเหลียง จูกัดจิ๋น และจูกัดเอี๋ยน ล้วนกระจายกันอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญในขุมกำลังต่างๆแล้ว แน่นอนว่าจูกัดทั้งสี่รับรู้ในใจถึงภารกิจแฝงเร้นที่จูกัดกุ๋ยแอบชักใยด้วยเช่นกัน
และทั้งหมดนี่เอง จึงเป็นสาเหตุที่มันไม่ได้รีบร้อนลงมือ แต่หลอกลวงให้ซุนเกี๋ยนแห่งสำนักหุบเขาปีศาจเพาะบ่มดินแดนกังตั๋งและสองนิกายแสงจรัส-เงาอสูรไปอย่างล้มลุกคลุกคลานมานานหลายสิบปี บางครั้งก็สูญเสียกำลังสำคัญไปอย่างเหลวไหล เพราะที่จริง ขุมกำลังสุดท้ายที่มันต้องการใช้งานคือ หุบเขามังกรซ่อน ตามชื่อฉายาที่ระบุไว้ตั้งแต่ต้น การตัดกิ่งริดใบออกจากต้นไม้เพื่อไม่ให้เติบโตผิดทิศทางนั้น ย่อมต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เปลือกนอกคล้ายสำนักหุบเขาปีศาจคือผู้ควบคุมสถานการณ์ แต่ที่จริงแล้ว กลับเป็นขบวนการฟ้าดินที่ชักใยบงการอยู่เบื้องหลังอีกทอดหนึ่ง
ทั้งนี้ เนื่องจากเล่าหัว เตียวโถ ต่างกลายเป็นคนพิกลพิการ อีกทั้ง สี่วิญญูชนล้วนเป็นชายที่ชมชอบชายด้วยกันมานาน จึงไม่มีทายาทสืบสกุล เว้นแต่พี่สามจูกัดกุ๋ย ที่ยอมรับได้ทั้งชายและหญิง จนสุดท้าย มีลูกน้อยไปถึงสามคน ดังนั้น พวกมันจึงตกลงใจสนับสนุนให้ชำระแค้นเปลี่ยนแผ่นดิน แล้วยกให้กับพี่สามไปครอบครอง
น่าเสียดายที่บันทึกพิสดารนั้นเริ่มมีความผิดเพี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ บางเรื่องดีขึ้นเกินคาด บางเรื่องกลับเลวร้ายสาหัส และข้อความมาจบลงเพียงแค่ความตายของแฮหัวเอี๋ยนที่ช่องแคบเขาเตงกุนสันเป็นประเด็นสำคัญ โดยทิ้งท้ายไว้ถึงสมรภูมิเมืองอ้วนเซีย ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนของแผ่นดินกลียุคที่ชื่อว่า ยุคสามก๊ก โดยที่ไม่ทันเฉลยว่า สามก๊กนั้น มีสกุลใดครอบครองอำนาจไว้ แต่พอเห็นอยู่ว่า สกุลโจ เล่า ซุน กำลังมีอำนาจวาสนาสูง พวกมันจึงหวังว่า หนึ่งในนั้น จะถูกแทนที่ด้วยสกุลจูกัดของจูกัดกุ๋ย และเป้าหมายหลักย่อมเป็นสำนักหุบเขาปีศาจของตระกูลซุนที่ถูกหลอกใช้มาตั้งแต่ต้น
…
บันทึกพิสดารที่ถูกกล่าวถึงนั้น สมควรจะเป็นบันทึกเตือนความทรงจำที่เฒ่ากระเรียน อันดับสองของหน่วยปักษาสวรรค์ จัดทำไว้ เพื่อช่วยผ่อนคลายความเงียบเหงาที่ต้องใช้ชีวิตผ่านกาลเวลาหลายสิบปี ถึงกับขีดเขียนเรื่องย่อจากความจำไว้เทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และใช้เวลาไปกับการท่องเที่ยวรับรู้เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจได้ถูกต้องทันเวลา
แต่ด้วยความเมามายเหลวแหลกในช่วงที่จิตใจเปราะบางเงียบเหงา ทำให้บันทึกสำคัญกลับไปตกอยู่ในมือของจูกัดกุ๋ยโดยบังเอิญ และสุดท้าย กลับลากโยงเภทภัยกลับมาถึงตัวเอง ทำให้ตกเป็นเป้าหมายแบบไม่รู้ตัว จนถูกซุนเกี๋ยน ซุนฮก มือดีจากสำนักหุบเขาปีศาจ สะกดจิตควบคุมไว้ให้กลายเป็นบังเต๊กกง ประมุขหุ่นเชิด ไปเสียเน่ินนาน
น่าสนใจไม่น้อยที่คนในอนาคตมุ่งหวังแก้ไขประวัติศาสตร์ที่ผิดเพี้ยน อุตส่าห์เตรียมการมาแฝงตัวนานหลายสิบปี แต่ที่จริงแล้ว ตนเองกลับทำให้คนในอดีตใช้งานเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ไปอีกรูปแบบหนึ่งตลอดมา
…
จูกัดกุ๋ยจากไปแล้ว ทิ้งบัวหิมะพันปีจากเทียนซาน ยาบำรุงร่างกายชั้นเยี่ยม และตำราเปลี่ยนเส้นเอ็นจากดินแดนชมพูทวีป เคล็ดวิชาที่น่าจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่หัวเข่าให้หายขาด ขงเบ้ง-จูกัดเหลียง รับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ของบิดาก็จริง แต่ตลอดมา เคยเข้าใจไปว่า บิดามุ่งมั่นแทรกซึมในโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ซับซ้อน และสะสมกำลังคนที่หุบเขามังกรซ่อน เพื่อช่วงชิงอำนาจ จนเคยนึกน้อยใจอยู่บ้าง
ครั้นพอทราบว่า บิดาผู้สูงวัยทุ่มเทเสี่ยงชีวิตไปเสาะหาของวิเศษนอกด่าน เพื่อรักษาอาการให้กับตนเอง จึงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก เมื่อครู่ก่อนจากไป ยังถ่ายทอดพลังภายในให้กับตนเพิ่มเติม เพื่อย่นย่อเวลาให้เข้าถึงเคล็ดเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นสูงได้เร็วขึ้นด้วย แม้ว่าจะทำให้ท่านสูญเสียพลังลมปราณมากมาย ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูกลับคืน
ฮองเย่อิง หญิงอัจฉริยะที่ไม่เป็นวิทยายุทธ์แม้แต่น้อย รบเร้าให้สามีลองแสดงพลังฝีมือให้ดู จูกัดเหลียงจึงบังคับเก้าอี้ล้อหมุนออกมายังลานกว้างด้านนอก เลียนแบบกระบวนท่าของฮองตง ขุนพลยิงตะวัน ลองใช้พลังดรรชนีจี้ใส่หินยกน้ำหนักในระยะสิบก้าว
เห็นควันฟุ้งเกิดขึ้นที่ก้อนหิน ฮองเย่อิงเดินเข้าไปสำรวจ พบรูลึกราวนิ้วเศษ แสดงว่า พลังดรรชนีเริ่มต้นของขงเบ้ง แทบเทียบเคียงกันกับขุนพลเฒ่าฮองตงไปแล้ว หากขงเบ้งได้กินบัวหิมะพันปีครบถ้วน และสำเร็จวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นเพิ่มเติม ไม่เพียงแต่เดินเหินเป็นปกติเท่านั้น แต่จะกลายเป็นจอมยุทธ์ที่มีกำลังภายในสูงส่งมากขึ้นทวีคูณไปอีก เมื่อผนวกกันกับเก้าอี้ล้อหมุนที่มีกลไกสุดพิสดาร คงจะหาคนต่อกรได้ยากแล้ว
เด็กวัยรุ่นจอมซนสี่คน อันได้่แก่ เล่าเสี้ยน กวนหิน เตียวเปา และจูกัดเจี๋ยม แอบมองอาจารย์ใหญ่กับอาจารย์หญิงของตนในระยะไกล พาลประสพกับการแสดงฝีมืออันสูงส่งของขงเบ้ง ทำให้เล่าเสี้ยนทั้งสามต้องหันมาตบหัวหยอกล้อจูกัดน้อยตามประสาเด็ก นึกอิจฉาที่มีบิดาเก่งกาจยิ่งนักแล้ว จูกัดน้อยได้แต่วิ่งหนี พลางนึกจะอ้อนให้บิดาถ่ายทอดสุดยอดวิชาดรรชนีให้กับตนบ้างในภายหลัง
ส่วนเตียวเปากลับขบคิดเลยเถิดขึ้นในใจ หากแม้นบิดาของพวกตนยังอยู่ใกล้ๆ ไม่แน่ว่าจะสามารถต่อสู้กับท่านอาจูกัดตรงๆได้หรือไม่ แล้วถ้าเกิดถูกลอบลงมือใช้พลังดรรชนีเช่นนี้เล่า เหตุการณ์จะลงเอยเช่นไร ยังไม่อาจคาดเดา
…
เตียวเลี้ยว พี่ใหญ่ในขุนพลห้าพยัคฆ์นำกองทัพเมืองหับป๋าสองหมื่นนายยกมาตั้งค่ายหน้าเมืองกังแฮ กดดันให้พวกเล่าฮอง ตันฮก เบ้งตัด อุยก๋วน ที่มีจำนวนทหารน้อยกว่ากึ่งหนึ่ง อกสั่นขวัญหายอยู่ไม่น้อย ขุนพลเบ้งตัดที่มีฝีมือรบพอตัว จึงขันอาสาออกไปสู้รบดูกำลังสักครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะเปิดประตูเมือง บนแม่น้ำไต้กัง กลับปรากฏกองเรือทหารจากกังตั๋งจำนวนมาก มุ่งหน้ามาทางสมรภูมิรบ ชูธง ลกซุน กำเหลง สองขุนพลสำคัญของแดนใต้ ทำให้เตียวเลี้ยวต้องลังเลใจว่า ศัตรูจากทางใต้จะมาไม้ไหนกันแน่
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย รถม้าลึกลับโผล่ขึ้นมาจากชายป่าอีกด้านหนึ่ง สารถีเป็นนักสู้สูงวัยผมขาวโพลน ใช้ผ้าปิดใบหน้าไว้ แต่ด้านบนหลังคากลับเป็นชายชราอีกคนในชุดเสื้อผ้าหรูหราที่ใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเช่นกัน นั่งขัดสมาธิดีดพิณกู่เจิ้งตามทำนองเพลงกว่างหลิงส่าน บทเพลงเดียวกันกับที่ขงเบ้งเคยใช้สยบกองทัพขบถตามคำร่ำลือ
เสียงดนตรีไพเราะเสนาะหู กังวานก้องทั่วทั้งบริเวณ แต่ไม่ได้ทำร้ายกองทัพเหมือนอย่างที่ขงเบ้งแสดงปาฎิหาริย์ในครั้งนั้น คงมีเพียงขุนพลเตียวเลี้ยวที่ออกอาการโงนเงนจนแทบพลัดตกจากหลังม้า ยังดีที่เตงงาย ลูกศิษย์ร่วมของกลุ่มห้าพยัคฆ์ที่ติดตามกองทัพมาด้วยในครั้งนี้ บังคับม้ามาประคองตัวเอาไว้ได้ทัน เห็นเตียวเลี้ยวมีสีหน้าบูดเบี้ยว นัยน์ตาเหลือกลาน คล้ายโดนคุณไสย หรือเพราะเสียงพิณสังหารที่ร่ำลือกัน จึงรีบสั่งการให้ทหารตีระฆังม้าล่อให้อื้ออึง พอกลบเสียงพิณให้ลดทอนอานุภาพลงไปได้บ้าง
ขุนพลรองเตงงายส่งสัญญาณให้ขุนพลรองอีกสามสี่คน ควบม้าหมายจู่โจมเข้าใส่เฒ่าปริศนาบนหลังคารถม้า หากแต่สารถีชรากลับลอยตัวขึ้นคร่อมบนหลังม้า ตัดสายบังเหียนออกจากขบวน และควบม้าออกมาขวางทางเอาไว้ พร้อมอาวุธตั้งรับ เป็นทวนใหญ่ทรงยาวแปลกตา มีด้ามกระชับมือคล้ายกระบี่ แตกต่างจากทวนยาวทั่วไป
เตงงาย แม้จะยังมีประสบการณ์สู้รบแบบสงครามไม่มาก ก็พอเดาได้ว่า ผู้มาเป็นยอดฝีมือในด้านทวนคนหนึ่ง จึงหยิบฉวยเอาทวนยาวขึ้นมาถือไว้ ตะโกนนัดแนะกับขุนพลรองคนอื่น ให้ดาหน้าพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้พร้อมกันในทันที
เสียงอาวุธปะทะกันถี่ยิบ สารถีชราคนเดียวถึงกับอาศัยความพิสดารของทวนรูปทรงประหลาด กวาดเกี่ยวร่างของขุนพลรองทั้งสี่คนจนตัวลอยตกจากหลังม้า ได้รับบาดเจ็บสาหัสกันถ้วนหน้า โชคดีที่เตงงายปราดเปรียวว่องไว ใช้ทวนปะทะทวน ตีลังกาตามแรงส่งลอยกลับไปทางด้านหลัง เพื่อลดแรงกระแทก และหลบหนีเข้าไปในกองทัพของฝ่ายตนเองได้อย่างปลอดภัย
เสียงตูมตูมดังมาแต่ไกล กองทัพเรือฝ่ายกังตั๋งเปิดฉากโจมตีเข้าใส่กองทัพของเตียวเลี้ยวด้วยเครื่องยิงก้อนหิน และภาชนะใส่เชื้อเพลิง พอดีเตียวเลี้ยวฟื้นคืนสติ จึงรีบสั่งการให้ถอยทัพโดยเร็ว เบ้งตัดเห็นได้โอกาส จึงนำกองทัพออกไล่ตามฆ่าฟันทหารฝ่ายรัฐบาลได้มากมาย นับเป็นการพ่ายแพ้ที่ย่อยยับครั้งหนึ่งของเตียวเลี้ยวผู้เกรียงไกร โดยมีเสียงพิณปริศนาเป็นสาเหตุก่อกวนเบื้องต้น
เล่าฮอง ตันฮกเปิดเมืองกังแฮต้อนรับกองทัพเรือของลกซุน กำเหลง เท่ากับเป็นการสยบยอมต่อฝ่ายกังตั๋งแล้วอย่างเปิดเผย ส่วนบุคคลปริศนากลับได้รับการต้อนรับยกย่องเหนือขึ้นไปอีก และได้รับการเรียกขานเป็น “เมธีพิณสังหาร” ชายสารถีได้รับการเรียกขานเป็น “นักรบทวนแกร่ง” และยังมีชายกลางคน ผิวดำกร้าน ที่ซ่อนตัวอยู่ในรถม้าอีกคน ฉายานาม “ซินแสโลกทิพย์” รวมเรียกว่า “สามเฒ่าเหนือโลก” ดูคล้ายเป็นขุมกำลังใต้ดินที่พวกพยัคฆ์หยกกังตั๋งเพาะสร้างมาอีกกลุ่มหนึ่งแล้ว
…
เช้าวันต่อมา ม้าต้ายแห่งเมืองเกงจิ๋วกำลังประชุมทางทหารภายในจวนเพื่อประเมินสถานการณ์ กลับปรากฏเสียงพิณเพลงกว่างหลิงส่านดังแว่วมาจากหลังคา ทุกผู้คนล้วนทราบถึงอานุภาพของเสียงพิณ พากันหวาดหวั่นสะท้านใจ แต่มีเพียงม้าต้ายเท่านั้น ที่ล้มลงไปกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น พยายามเอามือปิดหูไว้ แต่คล้ายไม่เป็นผล ส่วนกุนซือนายทหารคนอื่นกลับคล้ายถูกพิษ ทรุดตัวลงเช่นกันไปหมดสิ้น ไม่บอกก็พอเดาได้ว่าเป็นฝีมือใต้ดินของพวกตระกูลซุนที่แทรกซึมอยู่ในเมืองมายาวนาน
ด้านนอก ค่อยปรากฏทหารฝ่ายกังตั๋งทะยอยกันออกมาจากเรือขนส่งของสหพันธ์การค้าต่างๆจำนวนหนึ่ง เคลื่อนพลมาจากทางน้ำเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง ช่วยกันบุกเข้ายึดจุดสำคัญในเมืองไว้ได้อย่างง่ายดาย ต่อมา ขุนพลจากแดนใต้ทั้งหลาย อันได้แก่ ลิบอง พัวเจี้ยง ชีเซ่ง เตงฮอง จึงจับตัวม้าต้าย และนายทหารคนสำคัญไปคุมขังไว้ร่วมกันกับอิกิ๋ม เสือขาว ภายในคุก และให้การต้อนรับเมธีพิณสังหาร นักรบทวนแกร่ง และซินแสโลกทิพย์ เข้ามาพักอาศัยในจวนอย่างสมเกียรติ
…
ค่ำคืนเดียวกัน บิต๊ก บิฮองที่เมืองซงหยง เพิ่งได้รับทราบข่าวร้ายกระทันหัน ก็ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังลึกลับที่นำมาโดยซุนแจ้ง ซุนเกาพ่อลูก ฮกเหอ ฮกเสียวพ่อลูก บุกเข้าจวนอย่างกระทันหัน จับเอาครอบครัวเป็นตัวประกัน จึงยินยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีด้วยความเกรงกลัว และพวกซุนแจ้งก็ขยายผลยึดจุดสำคัญในเมืองทั้งหมดได้ก่อนฟ้าสาง
เวลาเพียงสองวัน เกงจิ๋ว กังแฮ ซงหยง ที่ฝ่ายเล่าปี่อุตส่าห์ทุ่มเทกำลัง ฝากให้กวนอูเฝ้าป้องกันรักษามาแทบเป็นแทบตายเสียหลายครั้ง ถึงกับเปลี่ยนมือไปสู่ฝ่ายกังตั๋งไปหมดสิ้นอย่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก พลิกสถานการณ์กดดันเข้าใส่ขุมกำลังเสฉวนทันที
…
ม้าเฉียว ม้าเลี้ยง อุยเอี๋ยนที่กำลังเดินทัพตามแนวขุนเขาก็ทราบข่าวสะเทือนแผ่นดินเช่นกัน คุณชายสกุลม้าทั้งสองเป็นห่วงความปลอดภัยของม้าต้าย ร้อนใจต้องการเปลี่ยนเส้นทาง เดินหน้าฝ่าเมืองซงหยง บุกเข้าเกงจิ๋ว ต่อสู้กับพวกลิบอง พัวเจี้ยงโดยตรง แต่อุยเอี๋ยนลังเลต่อแผนการดังกล่าว จึงเสนอให้พักทัพไว้ที่ด่านแฮบังก๋วนเสียก่อน รอฟังคำสั่งจากเล่าปี่ ขงเบ้ง ก่อน เพื่อมิให้เกิดความสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์
ม้าเฉียว ม้าเลี้ยงสบตากัน ซ่อนยิ้มไว้ในใบหน้า นึกยินดีที่ฝ่ายตรงข้ามไล่ตามแผนการของพวกตนเองไม่ทัน ด่านแฮบังก๋วนจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่พวกตนต้องการยึดครอง
…
ย้อนหลังกลับไปเมื่อหลายวันก่อนที่เมืองเกงจิ๋ว กลุ่มของเล่าปี่กำลังแยกทางกันเพื่อกลับไปนำกองทัพบุกขึ้นหัวเมืองทางเหนือตามแผนบุกสามประสานที่ขงเบ้งเป็นต้นคิด กวนอู เจ้าถิ่นผู้เพิ่งล้มเหลวในการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำ ได้จับมือโอบกอดร่ำลากับพี่ใหญ่และกุนซือขุนพลทั้งหลาย แต่เมื่อกวนอูพบกับม้าเฉียวตรงนั้น กลับแอบส่งสัญญาณลับให้รู้กันเฉพาะสองคน แสดงว่า กวนอูยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะเป็นใหญ่ดังเดิม
ม้าเฉียว ม้าเลี้ยงเองก็ตระหนักดีว่า เล่าปี่ ขงเบ้งไม่ได้มีความจริงใจต่อพวกตนมากนัก เห็นได้จากการที่เก็บตัวม้าเจ๊ก น้องเล็กให้แยกไปอยู่ในจวนขงเบ้งในฐานะลูกศิษย์ แต่ดูคล้ายเป็นการควบคุมตัวประกัน เฉกเช่นที่พวกสกุลซุนเคยกระทำต่อม้าหยุนลู่น้องสาว คุณชายม้าทั้งสองจึงได้แต่เก็บซ่อนความในใจเอาไว้ และเห็นว่า กวนอูที่ปราศจากกุนซือตันฮก กลับดูเปิดเผยจริงใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม หากพวกตนสนับสนุนพันธมิตรแห่งฟากฟ้าต่อไป อาจจะกลายเป็นหัวหน้าอันดับสาม ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับกวนอู เตียวเลี้ยว แทนที่โลซก พี่ใหญ่ที่ “ป่วยตาย” กระทันหันจนแผนการใหญ่สะดุดไป
แต่แล้ว ช่วงทำศึกฮันต๋ง เตียงอันนั่นเอง ในขณะที่ม้าเฉียว ม้าเลี้ยงยังคงอยู่ร่วมกันกับชนเผ่าตีบนเทือกเขาสูงใหญ่ใกล้เมืองเตียงอัน ชายชราลึกลับผู้หนึ่งกลับปรากฏกายขึ้นในกระโจมทหารอย่างเงียบงัน พร้อมกับข้อเสนอที่น่าเย้ายวนใจยิ่งขึ้นไปอีก “บิดาเจ้าเคยเป็นคนของเราสกุลจูกัดมาเนิ่นนานแล้ว เสียดายที่เกิดความผิดพลาดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราขาดตอนไปสักระยะหนึ่งแล้ว นึกแล้วน่าเสียดาย สี่คุณชายสกุลม้าไม่ควรจมปลักอยู่กับขุนศึกที่มีคนไม่กี่คน แต่สมควรจะเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญกับจ้าวแผ่นดินคนใหม่ ขุมกำลังของเราแฝงตัวอยู่ในตระกูลซุนมานานหลายสิบปี และกำลังจะเคลื่อนไหวครั้งสำคัญแล้ว เมื่องานใหญ่สำเร็จ ดินแดนตะวันตกไปจรดพื้นที่นอกด่านอันไกลโพ้นจะยกให้เป็นของพวกเจ้าสกุลม้าตลอดไป”
วิสัยทัศน์ของผู้มาใหม่ก้าวไกล สมกับเป็นผู้นำของตระกูลจูกัด ชายชราที่มีเค้าหน้าคล้ายคลึงกันกับขงเบ้งยิ่งนัก แสดงว่าคำร่ำลือเรื่องขงเบ้งคือจูกัดเหลียงเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน พันธมิตรเสเหลียงที่เคยสนับสนุนและแตกหักกับคนตระกูลซุน จนย้ายข้างมาร่วมหัวจมท้ายกับพันธมิตรแห่งฟากฟ้าของเจ้าพ่อกวนอู เริ่มจะหวั่นไหวใจไปกับข้อเสนอของประมุขเฒ่าแห่งสกุลจูกัดผู้มาใหม่แทน
“เจ้าจงเคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์รบเฉพาะหน้า เมื่อเกงจิ๋วเปลี่ยนมือไปแล้ว จงยึดครองด่านแฮบังก๋วนเอาไว้ เราจะอาศัยกองกำลังของเจ้าจากด้านนอกเป็นหน่วยสนับสนุนในการยึดครองดินแดนเสฉวนมาจากน้ำมือของคนแซ่เล่า” จูกัดกุ๋ยกล่าวทิ้งท้ายไว้ ก่อนจากไปยังใช้มือข้างเดียวจับทวนเหล็กที่ตั้งวางไว้บนชั้นวางอาวุธวูบหนึ่ง ทวนเหล็กถึงกับหักสะบั้น ร่วงกราวลงกับพื้น แสดงถึงพลังภายในที่สูงส่ง จนม้าเฉียวยังสะท้านใจ สำนึกว่าพลังฝีมือยังห่างชั้นกับคนผู้นี้อยู่อีกมาก
ดังนั้น ม้าเฉียว ม้าเลี้ยง จึงมิได้กังวลต่อความปลอดภัยของม้าต้ายอีกต่อไป เพราะตระหนักว่า พวกกังตั๋งยังต้องการพวกตนให้กลับไปเป็นฝ่ายเดียวกันอยู่ ย่อมไม่กล้าลงมือทำร้ายผู้คนอย่างเหลวไหล หากแต่ต้องตั้งสติยึดครองด่านแฮบังก๋วนตามคำสั่งที่ฝากไว้ หมากหลายชั้นของจูกัดกุ๋ยวางไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนการยึดเมืองฮันต๋ง แสดงถึงความเหนือชั้นอย่างที่สุด หัวหน้าใหญ่หลอกใช้สกุลซุน สกุลเล่า สกุลโจ แผ้วทางสร้างแผ่นดิน และเริ่มจะควบคุมสถานการณ์สุดท้ายไว้ในมือ พวกมันน่าจะอยู่ร่วมกับขุมกำลังที่ถูกต้อง และถูกเวลาที่สุดแล้ว
...
จูกัดเอี๋ยน หัวหน้าองครักษ์แห่งวังหลวง ยืนอยู่ด้านข้างกายของกษัตริย์เหี้ยนเต้ ฮ่องเต้ยังคงร่ำสุราชื่นชมการแสดงระบำดั่งเคย กลุ่มนางรำชุดนี้ได้รับฝึกสอนมาอย่างยาวนาน ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของเตียวโถ ขันทีชราร่างผอมซูบที่แต่เดิมเคยเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์มาก่อน โดยเฉพาะตัวเอกของระบำชุดนี้ คือ นางกุยฮวย บุตรีคนสวยของกุยเฮง ขุนนางผู้ใหญ่สายงานต่างแดน และยังเป็นศิษย์หญิงของเตียวโถด้วย
จูกัดเอี๋ยนเคยลองประมือกับนางกุยฮวยมาแล้วหลายครั้ง ความอ่อนช้อยงดงามของสาวงามถ่ายทอดวิทยายุทธ์ของเตียวโถได้อย่างดีเยี่ยม กระบวนท่ากลมกลืนกับอากัปกิริยาของการร่ายรำ ทำให้ “มีดบินร้อยแพรไหม” ดูเพลิดเพลินตา แต่แฝงอำนาจทำลายล้างอย่างสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อใช้ในการลอบสังหาร สมกับที่เป็นศิษย์น้องคนเล็กของมัน ใช่แล้ว มันก็เป็นลูกศิษย์ลำดับที่สองของเตียวโถนั่นเอง
ส่วนค่ายกลนางฟ้าปราบมารนั้น ก็นับเป็นสุดยอดวิชาที่เตียวโถค้นคิดขึ้นมาด้วยความยากเย็น การเคลื่อนไหวสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว พร้อมจะสังหารผู้คนได้นับสิบคนในคราวเดียว หากงานเลี้ยงสำคัญนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร ผู้คนคงจะล้มตายไม่น้อย บัดนี้ คนสังหารพร้อมแล้ว คนควบคุมสถานที่พร้อมแล้ว รอเพียงสัญญาณในการลงมือเท่านั้น
ขันทีเฝ้าประตูประกาศว่า กาเซี่ยง กุนซือใหญ่ ขออนุญาตนำหนังสือราชการเข้ามากราบทูลต่อองค์กษัตริย์ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวัน กษัตริย์เหี้ยนเต้แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ค่อยโบกมือขับไล่ให้นางรำให้ออกไปก่อน จนเหลือแต่ขันทีเตียวโถกับหัวหน้าองครักษ์จูกัดเอี๋ยนแล้ว เหี้ยนเต้ค่อยเปลี่ยนแปลงท่าทีไปจากเดิม คล้ายกับให้ความสำคัญต่อกาเซี่ยงไม่น้อยเลย “ท่านกุนซือ คงมีความคืบหน้าอันใดมาว่ากล่าวกับพวกเรากระมัง”
กาเซี่ยงวางกองหนังสือราชการลงบนโต๊ะอย่างไม่แยแส มองหน้าบุคคลทั้งสามพร้อมกล่าวอย่างหนักแน่น “ถึงเวลาอันสมควร พวกท่านเตรียมการขั้นต่อไปได้แล้ว”
การนำหนังสือราชการมากราบทูลประทับตราฮ่องเต้นั้นเป็นเพียงข้ออ้างบังหน้ามาโดยตลอด ที่แท้ ฮ่องเต้หนุ่มเหี้ยนเต้ และ กาเซี่ยง อันดับห้าแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ กลับมาร่วมมือกับขบวนการฟ้าดินไปด้วยแล้วหรือนี่ เห็นที ขุมกำลังลับกลุ่มนี้ก็ฝังรากหยั่งลึกพอตัวเลยทีเดียว
…
อองลอง อ้วนยู เคาก้าน อิ๋นฉาง สี่ปราชญ์เฒ่า นั่งรับฟังเรื่องราวที่ฮัวหิม ซุนต่ำนำมาบอกเล่าสถานการณ์เมืองเกงจิ๋วที่เปลี่ยนมือ ทำให้พวกมันเริ่มมีความหวังครั้งใหม่ คนสกุลซุนกำลังมาแรง อาจถึงขั้นล้มล้างอำนาจสกุลโจ เชิดชูบัลลังก์ฮั่นได้อีกคราหนึ่ง
“รบกวนท่านอิ๋นฉางไปแจ้งต่อซุนกวน พวกเราสำนักหอสมุดใต้หล้าพร้อมให้ความร่วมมือ ล้มล้างอิทธิพลทรราชย์แซ่โจด้วยอีกแรง” อองลองตัดสินใจเลือกข้างแล้ว
...
1 บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 6 - พญายมถล่มแดนดิน
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย