Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
30 ส.ค. 2021 เวลา 23:44 • นิยาย เรื่องสั้น
6.2. เงาราหูคลุมนภา
ซุนของ โจหยิน ลูกเขยพ่อตากลางศึก - เคาทู นรลักษณ์ผลาญตระกูล
ยามค่ำคืน ทหารสายข่าวเข้ามารายงานความพ่ายแพ้ของเตียวเลี้ยว และการสูญเสียเมืองเกงจิ๋วทั้งสามภายในสองวันให้กับกวนอูที่กำลังนั่งนิ่งให้หมอฮัวโต๋ที่รับอาสาเข้ามาตรวจดูบาดแผลเรื้อรังที่ไหล่ซ้ายอยู่ภายในกระโจมแม่ทัพ สร้างความกังวลใจอย่างหนักต่อขุนพลกวนอู จนต้องรีบตวาดกำชับให้ปกปิดข่าวร้ายเอาไว้ อย่าให้แพร่งพรายถึงหูเหล่าทหารไปก่อน เตียวเฟิงที่ปลอมแปลงตนอยู่ในฐานะเป็นกวนอินผิง บุตรีบุญธรรม ยืนอยู่ด้านข้าง รีบเอ่ยปากปลอบโยนเบาๆด้วยความเป็นห่วง
นกฮูก-หมอฮัวโต๋สำทับขึ้นอีกครั้ง พลางตักเตือนให้กวนอูลดละความว้าวุ่นใจอันอาจจะทำให้พิษร้ายกำเริบซ้ำได้อีก “แม้ว่าข้าน้อยจะกรีดเลือดดูดพิษออกไปแล้วหลายครั้ง แต่ร่างกายท่านก็ยังคงมีพิษร้ายหลงเหลืออยู่ ซึ่งต้องปล่อยให้ร่างกายรักษาตนเองอีกสักระยะหนึ่ง ทางที่ดี ท่านควรถอยทัพกลับไปตั้งหลักก่อน ไม่ควรหักโหมทำศึกอีกต่อไป”
กวนอูถอนใจกล่าว “น่าเสียดายนัก เมืองอ้วนเซียในตอนนี้ กำลังเปราะบางยิ่งนัก มีเพียงโจหยิน สามเทพบุตรกับกองทัพหมื่นกว่าคนเฝ้าระวังอยู่เท่านั้น หากกระหน่ำตีต่อเนื่องอีกเพียงวันสองวัน ก็สมควรจะสำเร็จได้โดยง่าย แต่หากปล่อยไว้เนิ่นนาน กองทัพโจผี ซิหลง เตียวคับ ก็จะมาเสริมเติมได้ใหม่ จังหวะการศึกก็จะเปลี่ยนแปลงไป”
“ที่จริง ท่านแม่ทัพไม่น่าต้องเป็นกังวลใจไป ปล่อยให้ข้ากับจิวฉองออกไปจัดการกับโจหยิน ก็น่าจะมีทางสำเร็จได้อยู่ เพียงท่านออกไปกำกับทัพเป็นขวัญกำลังใจในระยะห่างก็เพียงพอแล้ว” กวนเป๋ง ลูกบุญธรรม ต้องการทำดีล้างผิด รีบขันอาสา
กวนอูประเมินสถานการณ์โดยรวม พันธมิตรแห่งฟากฟ้าคงยากจะสำเร็จ เพราะความพ่ายแพ้ของเตียวเลี้ยวที่เกิดขึ้น จึงทำให้มันยังต้องอาศัยพึ่งพาขุมกำลังเสฉวนต่อไปก่อน แต่หากทอดเวลาออกไปในยามนี้ ทหารเกงจิ๋วทั้งหลายรับรู้ข่าวร้ายย่อมคำนึงถึงครอบครัว และสูญเสียกำลังใจต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากจะรุกคืบชิงอ้วนเซีย ต้องรีบกระทำการในทันทีก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
“สั่งการให้ทั้งหมดเตรียมทัพให้พร้อมทั้งสามทิศทาง เราจะบุกยึดเมืองอ้วนเซียให้ได้ในวันพรุ่งนี้” กวนอูตัดสินใจชิงเมืองอ้วนเซีย เชื่อมเส้นทางให้กับขุมกำลังเสฉวนไว้ก่อน
กวนเป๋ง จิวฉองน้อมรับคำสั่ง ในขณะที่ เตียวเฟิง ฮัวโต๋ กลับครุ่นคิดถึงหมากก้าวที่สมควรจะเดินต่อไป หากเจ้าพ่อบ้าเลือด กวนอู ได้ชัยหรือพ่ายแพ้ต่อศึกครั้งนี้ สองคนสองความคิดจากขุมกำลังลับที่แตกต่างกัน กลับประสานสายตากันโดยบังเอิญ แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ล่วงรู้ความคิดภายในใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างแน่ชัด
…
ค่ำคืนวันเดียวกัน โจหยิน เทพเสริมส่ง หนึ่งในสี่เทวะ นั่งอยู่ในห้องหนังสือตามลำพัง พร้อมจอกสุราที่ร่ำดื่มมาตั้งแต่ยามบ่าย ตัวมันถือยศเจ้าพระยาปราบทักษิณ อีกทั้งเพิ่งได้รับตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการเพิ่มเติม เปลือกนอก ดูเหมือนตำแหน่งหน้าที่กำลังรุ่งเรืองกว่าแต่ก่อน แต่ชีวิตกรำศึกของมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมสักเท่าไรนัก
ที่จริง เมืองอ้วนเซียนั้นถือว่าล่มสลายไปแล้ว เพราะยังไม่ทันฟื้นตัวจากการถล่มเมืองของพวกตระกูลซุนในคราวก่อน ก็ถูกศึกสงครามกระหน่ำซ้ำเติม ทหารสองหมื่นก็เหลือจริงเพียงไม่กี่พันคน เพราะหลบหนีกันไปทุกวัน หากกองทัพกวนอูตั้งใจกระหน่ำตีเพียงไม่ถึงครึ่งวัน เมืองนี้ก็คงแตกสลาย มันจึงได้แต่รีบส่งตัวสามเทพบุตรให้หลบหนีภัยสงครามไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว และเฝ้าภาวนาให้ทัพเสริมมาถึงก่อนที่กวนอูจะจู่โจม
อย่างไรก็ตาม ตัวมันในฐานะผู้นำทัพยังมีไม้ตายที่พอจะช่วยบรรเทาภัยพิบัติครั้งนี้ได้อยู่ หากแต่สามเทพบุตรก็ไม่สมควรจะรับรู้ เพราะมันเป็นเรื่องการเมืองที่สุ่มเสี่ยงเกินไป
“นักโทษมาถึงแล้วขอรับ” ทหารองครักษ์ประกาศ พร้อมลากตัวนักโทษชาย ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนด้วยเลือด เข้ามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
โจหยินทำท่าเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวจากความเมามาย รีบตรงเข้าประคองตัว พลางกล่าว “คุณชายซุน ลำบากท่านมากแล้ว หากเราตรวจสอบทะเบียนเชลยศึกรวดเร็วกว่านี้ คงช่วยเหลือท่านออกมาจากที่คุมขังตั้งนานแล้ว เราต้องขออภัยต่อท่านด้วย”
นักโทษชายยังมีท่าทีหวาดหวั่น หากแต่โจหยินยังสั่งการให้สาวใช้มาทำความสะอาดร่างกาย พร้อมกับนำเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนให้ จึงค่อยลดความตึงเครียดลงบ้าง พร้อมเอ่ยปากขอบคุณขุนพลสูงวัยที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไว้ศักดิ์ศรี “ข้าน้อย ซุนของ ทายาทรุ่นที่สองแห่งกังตั๋ง ขอคารวะขอบคุณท่านขุนพลอิกิ๋มแล้ว”
ที่แท้ ซุนของ น้องชายซุนกวน ที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ศึกเมืองหับป๋า ยังคงรอดชีวิตอยู่ แต่ลอยตามกระแสน้ำ พลัดหลงทิศทางมาแบบยาจกเร่ร่อน จนถูกคุมขังอยู่ในคุกเมืองอ้วนเซียนี่เอง อิกิ๋มอาจจะไม่ทันสังเกตพบ หากแต่โจหยินเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน และซึบซับข้อมูลข่าวกรองมามาก เพียงเข้ามาตรวจสอบก็พบเห็นความผิดปกติของนักโทษลึกลับในที่คุมขัง ส่วนซุนของถูกจับกุมตัว ไม่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงภายนอก กลับนึกว่า อิกิ๋มยังคงปกครองเมืองอ้วนเซียอยู่เช่นเดิม จึงทักทายไปผิดตัว
“กล่าวโดยไม่ต้องอ้อมค้อม เราคือโจหยิน ลำดับสามแห่งสี่เทวะ มิใช่อิกิ๋มแต่อย่างใด เราพบเห็นคุณชายซุนแล้วรู้สึกถูกชะตา อยากได้ตัวท่านมาเป็นเขยขวัญ เพื่อจะฝากชีิวิตวัยชรา และครอบครัวให้ตระกูลซุนช่วยดูแลให้พ้นจากภัยสงครามด้วย ตัวเราพร้อมที่จะยกเมืองอ้วนเซียนี้ให้แก่ท่านไปผนวกเข้ากับดินแดนกังตั๋ง” พูดเสร็จ โจหยินกลับเป็นฝ่ายประสานมือคุกเข่า ยอมสวามิภักดิ์ให้กับทายาทตระกูลซุนเสียแล้ว
เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ ซุนของถึงกับมือไม้ปั่นป่วน แม้ว่าจะมีประสบการณ์การเมืองมาบ้าง แต่ย่อมไม่เคยได้รับของกำนัลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เมืองอ้วนเซียเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่อาจจะเหนือกว่าเมืองเกงจิ๋วเสียด้วยซ้ำ เพราะเป็นเมืองหน้าด่านขึ้นเหนือ หากตัวมันเป็นผู้จัดการเรื่องราวในครั้งนี้ ความชอบที่มีต่อตระกูลซุนย่อมจะลบล้างความพ่ายแพ้ในสงครามเมืองหับป๋าได้อย่างงดงาม ซุนของจึงหายใจหนักหน่วง พลางสอบถามประโยคสำคัญ “ท่านโจหยิน ต้องการให้ข้าช่วยอะไร โปรดบอกกล่าวมาเถิด”
…
แสงพลุไฟสีเขียวรูปเสือสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้ายามเช้ามืด เป็นซุนของไปเสาะหาพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือในจุดซุกซ่อนภายในตัวเมือง เพื่อระดมทัพกังตั๋งเข้ามาช่วยเหลือคนสำคัญ และรับมอบเมืองอ้วนเซียจากขุนพลผู้แปรพักตร์ โจหยิน พลุไฟพยัคฆ์หยกนั้น แสดงถึงตัวตนของบุคคลสำคัญที่เป็นเครือญาติตระกูลซุน
ซุนของ และโจหยิน มองเห็นแสงพลุส่งต่อเป็นทอดๆไปทางทิศใต้ แสดงถึงการตอบรับสัญญาณ อีกไม่นาน กองกำลังเร่งด่วนจะเคลื่อนที่เข้ามาแล้ว
…
เมื่อเกิดเป็นข่าวย่อมยากจะปกปิด กองทหารเกงจิ๋วรับรู้ข่าวร้ายจากเมืองเกิดได้อย่างไรไม่ทราบ ถึงกับแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว จนรับรู้ได้ถึงความปั่นป่วนวุ่นวาย แต่กองทัพกำลังจะออกศึก มิอาจเลื่อนออก และมิอาจรอช้าได้อีกต่อไป
แน่นอน กวนอูที่อยู่หน้าเมืองอ้วนเซีย ย่อมมองเห็นสัญญาณพลุนั้นเช่นกัน ไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่า เป็นการขอความช่วยเหลือไปทางแดนใต้ พวกพยัคฆ์หยกแดนใต้อาจจะกำลังเคลื่อนทัพมาทางด้านนี้ มันยิ่งเหลือเวลาไม่มากแล้ว ดังนั้น จึงสั่งการให้กองทัพทั้งสามทิศทางบุกเข้าโจมตีเมืองอ้วนเซียก่อนกำหนดเวลาในทันที
การบุกฝ่ากำแพงเมืองไม่มีการตั้งรับมากมายอย่างที่คาดการณ์ไว้ กองทัพกวนอูที่อ่อนแอด้านกำลังใจ ยังสามารถทลายประตูเมืองซ้าย-ขวาเข้าไปได้ทั้งสองแห่งพร้อมเพรียงกัน ทำให้กองทัพเกงจิ๋วไหลบ่าเข้าสังหารทหารฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ภายในเมืองได้อย่างรวดเร็ว และตรงเข้าเปิดประตูเมืองใหญ่ รับกองทัพหลวงเข้าเมืองได้โดยง่าย
ทหารสายข่าวส่งสัญญาณว่า โจหยินกำลังหลบหนีออกประตูเมืองทางทิศตะวันออก คงอาศัยเส้นทางทุ่งเตียงปัน หมายจะหลบหนีกลับแดนเหนือ กวนอู ส่งสัญญาณเรียกกององครักษ์ส่วนตัว ให้มุ่งตรงไปยังทิศทางดังกล่าว เพื่อสกัดจับตัวผู้นำทัพ ตอกย้ำความเกรียงไกรให้กับขุมกำลังเสฉวนอีกครั้ง
ไม่นานมานี้ ฮองตง ขุนพลยิงตะวัน สังหารแฮหัวเอี๋ยน ยึดครองเมืองฮันต๋ง เป็นความชอบยิ่งใหญ่เหนือขุนพลสวรรค์คนอื่นๆ กวนอูในฐานะที่เป็นมือหนึ่งของเล่าปี่มาโดยตลอด จึงแอบอิจฉาอยู่ในใจ บัดนี้ หากตนเองสามารถสังหารโจหยิน ยึดครองเมืองอ้วนเซีย ก็จะเป็นความชอบที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย และน่าจะทำให้ควบคุมขวัญกำลังใจของทหารได้ง่ายขึ้น นี่อาจจะเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของมันแล้ว
แม้ว่าม้าเซ็กเทามีอายุมากแล้ว แต่ยังคงมีประสิทธิภาพสูงส่ง นำพากวนอูหลุดเดี่ยวไปจากกองทหารองครักษ์ฝ่ายตนเอง เข้าใกล้กองทหารชุดองครักษ์กลุ่มเล็กๆกลางเส้นทางหลวงที่น่าจะใช่เป้าหมายสำคัญ ถึงจังหวะนี้แล้ว กวนอูลืมเลือนคำตักเตือนของหมอฮัวโต๋ ปล่อยใจไปกับสัญชาตญาณนักรบ กวาดง้าวสังหารองครักษ์ที่ขวางทางไปหลายคนจนเข้าถึงตัวของผู้นำในชุดขุนพลสีแดงฉานที่โจหยินชอบใช้เป็นประจำ
…
ซุนของนึกย้อนไปถึงยามเช้าหลังจากที่เพิ่งได้นอนหลับสบายครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา มันถูกหญิงงามข้างกายที่อ้างตัวว่าเป็นลูกสาวของโจหยินปลุกให้ลุกขึ้นเปลี่ยนชุดอย่างร้อนรน ฟังว่า เมืองอ้วนเซียกำลังถูกข้าศึกบุกจู่โจมกระทันหัน โจหยินหวั่นเกรงความปลอดภัยของคุณชายซุน จึงส่งชุดขุนพลฝ่ายรัฐบาลมาให้ เพื่อหลบหนีเภทภัยออกไปทางทุ่งเตียงปันก่อน โดยมีเหล่าองครักษ์ชั้นดีอารักขาออกไป
ซุนของคาดคิดไม่ถึงว่า ชุดขุนพลสีสันสะดุดตานี่แหละคือเภทภัยที่แท้จริง และเป็นว่าที่พ่อตาโจหยินจัดการส่งมอบมาให้อย่างเลือดเย็นที่สุด
…
“โจหยิน ถึงจุดจบของเจ้าแล้ว” กวนอูตวาดก้อง พร้อมเหวี่ยงง้าวฟันคอขุนพลที่กำลังหนีตายในทันทีึ ที่จริง กระบวนท่านี้ไม่ได้หวังผลมากนัก กวนอูเคยคลุกคลีอยู่กับพวกโจโฉร่วมปี ทำให้รับรู้ว่า ฝีมือการต่อสู้ของโจหยินเก่งกาจเป็นลำดับสามในกลุ่มสี่เทวะ การรับมือกับกระบวนท่าเช่นนี้ไม่น่าจะยากเย็นกระไรนัก
แต่ขุนพลเสื้อแดงกลับคล้ายอ่อนด้อยประสบการณ์ต่อสู้บนหลังม้า แม้ว่าชักกระบี่ออกมาตั้งรับอาวุธได้ก็จริง แต่ไม่น่าจะต้านทานแรงเหวี่ยงได้ จึงเห็นง้าวมังกรเขียวกวาดผ่านตัวคนจากหัวไหล่ไปติดคาอยู่กับสายโซ่รั้งเกราะกลางลำตัว ตัวคนผู้ใส่ชุดเกราะนั้นย่อมขาดใจตายทันที แต่ความคิดยังคงคลั่งแค้นใจที่โดนหลอกลวงจนตาย เพียงเพื่อให้เป็นกับดักรั้งอาวุธฝ่ายตรงข้าม
กวนอูเห็นใบหน้าผู้ตายไม่ใช่โจหยิน ก็เดาได้ว่าเป็นอุบาย ขณะที่จะดึงง้าวกลับคืน เหล่าองครักษ์สิบกว่าคนที่่่รายล้อมขุนพลนั้นกลับเปลี่ยนท่าทีจากหลบหนีมาเป็นรุมล้อมพร้อมทิ่มแทงอาวุธเข้าใส่เหมือนเสี่ยงชีวิตกันแล้ว มันจึงไม่นำพาเรื่องชักอาวุธกลับ กวาดง้าวที่ยังติดคาซากร่างขุนพลเสื้อแดงเหวี่ยงกวาดเข้าใส่กลุ่มองครักษ์แทน
สำนวนจีนกล่าวไว้ว่า “สองหมัดยากจะต้านสี่มือ” แม้ซากร่างขุนพลจะรับเอาอาวุธส่วนใหญ่ของเหล่าองครักษ์ไปได้ แต่ก็มีอาวุธบางส่วนหลุดรอดเข้ามากรีดผ่านร่างกายและแขนขาของขุนพลกวนอู ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูคล้ายดั่งไม่ทะนุถนอมม้าชั้นดี ถึงกับทิ่มแทงเข้าใส่ม้าเซ็กเทาจนสาหัสไปด้วย เพียงชั่วพริบตา ม้าคู่ใจก็ฟุบกายลงพร้อมกับขาหลังข้างซ้ายที่ถูกฟันขาดออกจากร่างไป ทำให้กวนอูเสียหลัก ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
การตัดขาม้าเซ็กเทาทิ้งเป็นสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของกวนอู ตัวมันได้รับบาดเจ็บเองยังไม่เจ็บปวดเท่ากับการเห็นพาหนะสุดที่รักพิการ จึงโมโหสุดขีด กระชากง้าวขึ้นเข่นฆ่าองครักษ์ที่เหลืออย่างบ้าคลั่ง
แต่แล้ว ขณะที่ไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามก้าวผ่านซากศพขององครักษ์ที่ล้มตายไปก่อนหน้านั้น กลับมีดาบหนึ่งฟันเข้าใส่ขาซ้ายของกวนอูได้อย่างถนัดถนี่ หากมิใช่กวนอูกำลังเปลี่ยนจังหวะก้าวกระทันหันเพื่อวิ่งไล่ศัตรูข้างหน้า ดาบนี้คงตัดขาซ้ายออกจากร่างของกวนอู เหมือนกับม้าเซ็กเทาไปแล้ว
กวนอูหันกลับมามองฝ่ายตรงข้าม ที่แท้เป็น โจหยิน เทพเสริมส่ง ที่ยอมโกนหนวดเครา ปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามขุนพลเสื้อแดงออกมานี่เอง ศัตรูเก่าตั้งแต่วัยเยาว์ ถึงกับทั้งหลอกล่อขุดหลุมพราง ทั้งเสี่ยงชีวิตแสร้งตายปลอมปนอยู่กับซากศพผู้อื่น สมกับที่เป็นหนึ่งในสี่เทวะที่ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าความคิดมากอุบายที่สุด
คราวนี้ กวนอูจึงไม่ออมมือ รีบใช้กระบวนท่าชั้นสูงของกระบวนท่าสยบมังกร หมายสังหารโจหยินให้ได้เป็นการแก้มือให้กับตนเอง แต่โจหยินนั้นเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมไว้แล้ว และยังมีองครักษ์หลายคนย้อนกลับมาคอยช่วยเสริม จึงตั้งรับได้อย่างสูสีก้ำกึ่ง ซ้ำโจหยินยังโยนพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นท้องฟ้าบ้างแล้ว
…
ฝั่งฟากสะพานเตียงปัน กองทัพม้าบอกสังกัดกังตั๋งร่วมร้อยคน ควบตะบึงเข้ามาใกล้ เป็นเหล่าขุนพลกังตั๋งจากเมืองเกงจิ๋วและเมืองซงหยง ลิบอง พัวเจี้ยง ซุนแจ้ง ซุนเกา พ่อลูก ที่ต่างรีบเร่งนำกองทัพขนาดย่อยมาตามพลุสัญญาณพยัคฆ์หยก เพื่อให้ความช่วยเหลือคนสำคัญของตระกูลซุน ซึ่งเบื้องต้นก็ไม่ทราบว่า คือใครเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อครู่ ซุนแจ้ง ซุนเกา จึงดูออกว่า เป็นคุณชายซุนของ ที่หายสาบสูญไปนาน กำลังหลบหนีเอาตัวรอด และเพิ่งถูกกวนอูใช้ง้าวฆ่าทิ้งไปต่อหน้าต่อตา
ในเมื่อมาช่วยคนไม่ทันเวลา อย่างน้อย ก็สมควรจับตัวคนผิดกลับไปลงโทษ เหล่าขุนพลที่มา บางคนก็เก็บกดอดกลั้นมานาน และบางคนก็มีความแค้นเคืองกับกวนอูแอบแฝงอยู่ด้วย จึงลงมติเอกฉันท์ที่จะเดินหน้าจับตัวกวนอู โจหยินให้ได้
อีกฟากฝั่งหนึ่ง ทหารองครักษ์ของกวนอูก็ติดตามมาทัน ทหารทั้งสองฝ่ายจึงตรงเข้าปะทะกัน จนสับสนวุ่นวาย องครักษ์บางคนรู้จักประเมินสถานการณ์ รีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แสดงว่า อีกไม่นาน กวนเป๋ง จิวฉองที่อยู่ในเมืองอ้วนเซีย คงนำกำลังเสริมมาช่วยทางด้านนี้ พวกนักรบกังตั๋งจึงไม่อยากเสียเวลา รีบตรงเข้าไปร่วมวงต่อสู้ระหว่างกวนอูกับโจหยิน กลายเป็น ภาพของ ลิบอง พัวเจี้ยง ต่อสู้กับกวนอู ศัตรูตัวฉกาจ ซุนแจ้ง ซุนเกา รับมือกับโจหยินในชุดองครักษ์ แทน
กองทหารของกวนเป๋ง จิวฉอง ตามมาถึงแล้วก็จริง แทนที่จะเป็นกองกำลังเสริมที่ดูสดชื่น น่าเกรงขาม แต่กลายเป็นกองทัพเดนตายที่คล้ายหลบหนีออกมา กวนเป๋ง จิวฉองก็ล้วนมีบาดแผลเต็มร่างกาย จิวฉองกับขุนพลระดับรองตรงเข้าแก้ไขให้กวนอูได้พักหายใจ และรับฟังรายงานการศึกจากกวนเป๋ง ผู้เป็นบุตรบุญธรรม
“กองทัพเกลียวคลื่นและม้าเหล็กร่วมสามหมื่นนาย นำมาโดยโจผี ซิหลง เตียวคับ และสามเทพบุตร บุกเข้าตีเมืองอ้วนเซียทางด้านเหนือ จังหวะเดียวกันกับกองทัพเรือเร็วของกังตั๋ง นำมาโดยชีเซ่ง เตงฮอง กระหน่ำยิงเครื่องยิงลูกไฟมาจากแม่น้ำไต้กัง ทำลายฐานที่มั่นและกองเสบียงของฝ่ายเราจนยับเยิน พวกทหารสูญเสียกำลังใจหมดสิ้น และไม่อาจตั้งมั่นภายในเมืองได้ทัน จึงต้องรีบเร่งหลบหนีออกมาทางด้านนี้ หวังจะรับตัวท่านหลบหนีข้ามสะพานเตียงปันไปก่อน” กวนเป๋งสรุปสั้นๆ ครอบคลุมเรื่องราวที่กวนอูสมควรรับรู้ก่อนตัดสินใจขั้นต่อไป
ยังไม่ทันได้สอบถามเพิ่มเติม กองทหารซิหลง ก็ปรากฏขึ้นบนทางหลวงฝั่งทิศเหนือ และกองทหารสามเทพบุตร ไล่ตามหลังทหารฝ่ายกวนอูออกมาจากประตูเมืองตะวันออก หากเป็นเช่นนี้ กลับเป็นฝ่ายโจโฉที่มีกำลังพลมากกว่าอีกสองฝ่าย สามารถควบคุมสถานการณ์รบครั้งนี้ไว้ได้แล้ว กองทัพหลวงของโจผี เตียวคับ สมควรรับมือกับกองกำลังกวนอูที่หลงเหลือในเมือง และกองทัพเรือของชีเซ่ง เตงฮองได้ไม่ยาก
สุดท้าย เมืองอ้วนเซีย ก็ยังคงกลับไปเป็นของฝ่ายรัฐบาลเช่นเดิม นับว่า กวนอู ขุนพลจันทร์พิฆาต พ่ายศึกครั้งนี้เสียแล้ว กองทัพเกงจิ๋วที่เคยเกรียงไกร ถูกข่าวร้ายโหมกระหน่ำ ทำลายขวัญกำลังใจตั้งแต่เช้า ซ้ำยังโดนตีกระหนาบสองด้าน สุดท้าย จึงจบสิ้นไปด้วยน้ำมือของกองทัพฝ่ายโจโฉและซุนกวนแล้ว
…
โจหยินได้รับบาดเจ็บทั่วทั้งร่างกาย แทบจะหมดสิ้นพละกำลังอยู่แล้วตั้งแต่ต่อสู้เสี่ยงชีวิตอยู่กับกวนอู หลายครั้งยังได้องครักษ์ที่สละชีวิตต่อเวลาให้ แต่พอเป็นซุนแจ้ง ซุนเกาเปลี่ยนหน้าเข้ามารับมือแทน จำนวนคนเพิ่มเป็นสองคนก็จริง แต่กลับค่อยผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้บ้างด้วยว่า พ่อลูกตระกูลซุนรวมกันยังอ่อนด้อยกว่ากวนอูหลายเท่านัก พอต่อสู้ยืดเยื้อมาจนกองทัพซิหลง และสามเทพบุตรปรากฏมาช่วยเหลือ โจหยินก็ยิ่งมีกำลังใจเพิ่มขึ้น สุดท้าย ซิหลงผู้มาใหม่ ถึงกับใช้ขวานฟันซุนแจ้งแขนขาดเสมอข้อศอก ล้มลงให้ทหารฝ่ายตนเองจับกุมตัวไปได้
แต่สามเทพบุตร อันมี แฮหัวป๋า โจจิ๋น โจฮิว ตรงเข้ามารับมือซุนเกา สถานการณ์ก็กลับตาลปัตรไปอีกครั้ง ซุนเกาคนเดียวกลับพลิกแพลงคร่ากุมตัวโจฮิวที่มีฝีมืออ่อนด้อยที่สุดเป็นตัวประกัน หลบหนีเข้าสู่กองทหารฝ่ายกังตั๋งไปได้เช่นกัน
ทางด้านจิวฉองที่รับมือกับลิบอง พัวเจี้ยงแทนกวนอู ก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน ลำพังต่อสู้กันตัวต่อตัวอาจจะพอรับมือไหว แต่พอนานไป ขุนพลระดับรองลดน้อยลง จนกลายเป็นถูกรุมกระหนาบจากทั้งสองคน จิวฉองจึงพลาดท่าเสียที ถูกสองยอดฝีมือแดนใต้ฟันมือขาดกระเด็น ยังดีที่เลียวฮัว ลูกน้องคนสนิทนำทหารเลวเข้ามาแก้ไขช่วยเหลือได้ทัน
ลิบองประเมินสถานการณ์คับขันยิ่งนัก จึงสั่งการให้ฝ่ายกังตั๋งรีบขึ้นม้าล่าถอยข้ามสะพานเตียงปันอย่างรวดเร็ว ฝ่ายโจหยิน ซิหลงหวั่นเกรงจะทำร้ายถูกตัวประกันโจฮิว ไม่กล้าใช้อาวุธไกลโจมตี จึงได้แต่ไล่ล่าสังหารไปเท่าที่จะทำได้ และหันมาบดขยี้กองทัพฝ่ายกวนอูซึ่งเป็นศัตรูเฉพาะหน้าที่สำคัญกว่าเสียก่อน
…
ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พลันปรากฏรถม้าลึกลับวิ่งโผล่พ้นชายป่าออกมา สารถีชราร่างสูงใหญ่ มีผ้าปิดบังใบหน้า วางทวนไว้ด้านข้างสะดุดตา ด้านบนหลังคารถยังมีชายชราปิดหน้าร่างเล็กชูพิณกู่เจิ้งให้เห็นคล้ายส่งสัญญาณข่มขู่ พวกโจหยิน กวนอูนึกถึงเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับเมธีพิณสังหาร และนักรบทวนแกร่ง ที่่เพิ่่งสยบเตียวเลี้ยว และม้าต้ายมาหมาดๆในทันที หรือว่า นี่คือสองเฒ่าลึกลับนั่นเอง คำร่ำลือถึงอานุภาพเสียงพิณช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
รถม้าวิ่งแทรกเข้ามาในกองทัพสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กัน ไม่ว่าวิ่งไปทิศทางใด เหล่าทหารทั้งสองฝ่ายคล้ายโดนคุณไสย ลอยกระเด็นไปบ้าง ทรุดตัวกุมท้องบ้าง สร้างความหวาดหวั่นใจ จนหลังๆ พวกทหารรีบแตกฮือเป็นช่องก่อนที่รถม้าจะมาใกล้ตัว
เป้าหมายของรถม้าพุ่งตรงมายังกวนอูที่ยืนถือง้าวมังกรเขียวเด่นชัด เคียงคู่กันกับกวนเป๋ง บุตรบุญธรรม และจิวฉองที่หน้าซีดเซียวเพราะเพิ่งเสียมือไปข้างหนึ่ง โจหยิน ซิหลงคาดเดาว่า สองเฒ่าอาจจะต้องการแก้แค้นแทนซุนของ คุณชายของตระกูลซุน จึงทิ้งจังหวะรอดูท่าทีฝ่ายตรงข้ามก่อน ไม่อยากตอแยยอดฝีมือชั้นสูงโดยไม่จำเป็น
เมื่อรถม้าบดบังสายตาฝ่ายตรงข้าม หน้าต่างรถพลันเปิดขึ้น เป็นสาวงามกวนอินผิง และหมอฮัวโต๋ กวักมือเรียกให้รีบขึ้นรถม้า พวกกวนอูจึงเข้าใจได้ในทันทีว่า หมอฮัวโต๋ช่วยจัดฉากให้ผู้ช่วยทั้งสองปลอมตัวมาเป็นสองเฒ่าลึกลับ เพื่อช่วยเหลือพวกตนแล้ว
กวนอูหันมาสบตากวนเป๋ง จิวฉอง เห็นทั้งสองรีบคุกเข่าลงคารวะร่ำลา กวนเป๋งเป็นตัวแทนส่งเสียงกล่าวคำทิ้งท้าย “พวกเราได้รับพระเดชพระคุณจากท่านพ่อมานานหลายสิบปี ยังบังอาจเกือบพลาดพลั้งทำร้ายท่านพ่อกับท่านลุงท่านอาแทบย่ำแย่ ขอให้พวกเราได้ทดแทนบุญคุณสละชีวิตเปิดเส้นทางให้ท่านพ่อรอดพ้นเภทภัยในครั้งนี้ด้วยเถอะ”
สถานการณ์คับขันแล้ว กองทัพเกงจิ๋วหลงเหลืออยู่ตรงหน้าไม่กี่ร้อยคน น่าจะยันฝ่ายตรงข้ามที่มีหลายหมื่นคนได้อีกไม่นานนัก กวนอูจึงได้แต่ตัดสินใจวางมือบนศีรษะบริวารทั้งสองด้วยความอาลัย แล้วรีบก้าวเดินมาทางรถม้า เป็นครั้งแรกที่ยอดขุนพลเข้าตาจน ถึงกับต้องยอมสละชีวิตลูกน้อง เพื่อเอาชีวิตรอด
เสียงม้าร้องดังขึ้น เหมือนส่งเสียงเรียกหา เป็นม้าเซ็กเทาที่ขาหลังขาดหาย นอนนิ่งหายใจฟืดฟาดคล้ายจะขาดใจ ความทึี่เคยเป็นยอดอาชาที่ทรนงเหนือม้าตัวอื่นๆมาทั้งชีวิต แล้วกลับกลายเป็นม้าขาพิการเช่นนี้ ม้าเซ็กเทาเองคงมีความคิดไม่ต่างจากผู้คนโดยทั่วไป ท้อแท้ สิ้นหวัง และอยากหายไปจากโลกอันโหดร้ายนี้แล้ว
กวนอูจ้องมองม้าคู่ใจด้วยความเศร้าเสียใจ และตัดสินใจใช้ง้าวมังกรเขียวเหวี่ยงฟันม้าเซ็กเทาให้พ้นจากความทรมานไปในดาบเดียว มันเงยหน้ากู่ร้องระบายความคับแค้นใจ พร้อมกับทะยานเข้าไปในรถม้าที่วิ่งโดยไม่ต้องชะลอความเร็วลงในทันที และไม่อาจหักใจหันมาดูอาชาเพื่อนยาก
เตียวเฟิง-กวนอินผิงบีบมือให้กำลังใจ หมอฮัวโต๋รีบจับชีพจร ตรวจอาการเพื่อรีบรักษาบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจโดยเร็ว ในขณะที่ “เมธีพิณสังหาร” บนรถม้า เริ่มกรีดนิ้วบรรเลงเพลงกว่างหลิงส่านอีกครั้งคล้ายหยอกเย้า แต่รถม้าข้ามสะพานเตียงปันหายลับสายตาไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 6 - พญายมถล่มแดนดิน
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย