10 ก.ย. 2021 เวลา 00:00 • นิยาย เรื่องสั้น
6.11. กลุ่มคนที่เฝ้ารอ
กวนอินผิง ลูกเลี้ยงจำแลง - ตันเซ็ก บัณฑิตหน้าใส - ตันจิ๋น ดาวแฝดแปลงกาย
ฮองตงคล้ายหลับไหล คล้ายล่องลอยอยู่เนิ่นนานนัก ผ่านการยื้อยุดฉุดชีวิตจากความตายมาหลายครั้ง จนมารู้สึกตัวขึ้นที่ห้องโถงใหญ่ การตกแต่งข้าวของแปลกตาไปจากวัฒนธรรมชาวจีน เหมือนจะมีสัญลักษณ์ภาพวาดประกอบมากกว่าปกติ หากเป็นคนอื่นก็คงเพียงแปลกใจอยู่บ้าง แต่สำหรับฮองตง นี่ืคือความน่าสะพรึงกลัว เพราะมันได้กลับมาอยู่ในสถานที่สำคัญของเผ่าโบราณที่ตนเองเคยหลบหนีออกไปเมื่อหลายสิบปีก่อน
ฮองตง หรือ ฮองตงหยวนในชื่อเดิม ถูกจับมัดแน่นหนา ส่งกลับมายังห้องโถงใหญ่แห่งอาณาจักรม่านก๊ก ทอดกายอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้อาวุโสประจำเผ่าที่ใส่หน้ากากสัญลักษณ์สัตว์พิษอีกสามคน ผู้นำหนุ่มใหญ่ ท่าทางดุดันเหี้ยมหาญ บนใบหน้าขีดเขียนด้วยสีสันตามพิธีกรรม นั่งบนเก้าอี้บัลลังก์ใหญ่ พลิกมือสำรวจกล้องส่องทางไกล พลางจ้องมองคนใกล้ตายที่เบื้องหน้าด้วยความชิงชัง “พวกท่านยืนยันว่า มันคือฮองตงหยวน คนทรยศที่ขโมยของวิเศษประจำเผ่า และหลบหนีไปเป็นเวลาหลายสิบปี ใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสประจำเผ่าที่ใส่หน้ากากตะขาบ สวมชุดนักรบเผ่า จ้องมองใบหน้าผู้เฒ่าอยู่นาน ค่อยกระชากเสื้อเปิดไหล่ซ้าย เผยให้เห็นรอยสักรูปทรงคล้ายดวงอาทิตย์ พร้อมหยิบเอาเกาทัณฑ์คู่ใจที่มีร่องรอยสัญลักษณ์ตะวัน พลางพยักหน้ายืนยัน “ถูกต้องแล้ว นายท่าน”
ผู้อาวุโสที่ใส่หน้ากากแมงป่อง ชุดลายพร้อยคล้ายพ่อมดหมอผี รีบพูดต่อพร้อมเสนอมีดสั้นทำพิธีกรรมสองเล่ม “สมควรลงโทษขั้นสูงสุดด้วยทัณฑ์สัตตพิฆาต ขอรับ”
กษัตริย์หนุ่มพยักหน้าให้สัญญาณ เหล่าผู้นำทุกคนในห้องโถงชักอาวุธขึ้นพร้อมกัน ต่างคุกเข่ารุมล้อมฮองตงพร้อมทิ่มแทงอาวุธไปตามจุดสำคัญต่างๆของร่างกาย และสองมีดสุดท้ายของราชันย์ค่อยปักลงที่จุดสำคัญ และกลางหัวใจของขุนพลเฒ่า เป็นการปิดฉากชีิวิตคนทรยศของชนเผ่าไปในที่สุด
การลงทัณฑ์สัตตพิฆาตที่ฮองตงได้รับ ช่างละม้ายคล้ายกันกับทัณฑ์ปักษาพิฆาตที่อ้วนเสี้ยว กระสาเคยโดนกระทำเมื่อครั้งก่อน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันของชนเผ่าโบราณกับหน่วยงานย้อนอดีตของคนในอนาคตอีกครั้งหนึ่ง
“คนทรยศคนแรกก็ถูกผู้เฒ่าคางคกส่งตัวกลับมาสำเร็จโทษแล้ว ยังคงเหลืออีกสองคน ฮองเย่อิง และจูกัดเหลียง พวกท่านจะพร้อมลงมือได้เมื่อไหร่” กษัตริย์หนุ่มหันไปซักถามกลุ่มผู้อาวุโส ซึ่งก็คือนักรบเบญจพิษ ขุนพลค้ำบัลลังก์แห่งม่านก๊ก
“ขอเวลาอีกห้าปีขอรับ นายท่าน ทหาร อาวุธ และเสบียงจะพร้อมสรรพ” ผู้อาวุโสที่ใส่หน้ากากอสรพิษ สวมชุดนักปราชญ์มีสีสันสวยงามกล่าวตอบ
“ถ้าเช่นนั้น แจ้งข่าวไปยังผู้เฒ่าคางคกกับผู้เฒ่ากิ้งก่าที่ซ่อนตัวในแดนฮั่น อีกห้าปีข้างหน้า พวกเราจะบุกเสฉวน จัดการกับคนทรยศทั้งสองให้สาสมกับความแค้นของพวกเรา” กษัตริย์หนุ่มตาลุกวาว ประกาศกร้าว
“อาณาจักรเพงายจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ราชันย์เบ้งเฮ็ก จงเจริญ” เสียงนักรบเบญจพิษทั้งสามตะโกนก้อง พร้อมเสียงประสานรับมาจากกองทหารที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกอีกมากมาย แสดงถึงความสามัคคี และความมุ่งมั่นต่อปณิธานของแผ่นดินม่านก๊ก
เบ้งเฮ็ก จอมทมิฬดินแดนเถื่อน ใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมา พัฒนาชนเผ่าโบราณ สร้างความสัมพันธ์กับผู้นำเผ่าท้องถิ่นต่างๆในแถบป่าเขารกร้าง เชื่อมโยงกับอาณาจักรเก่าแก่นามเพงาย ก่อเกิดเป็นอาณาจักรนักรบอันเข้มแข็ง และมุ่งประสงค์ร้ายต่อแผ่นดินจีนอย่างชัดเจน ถึงกับส่งมือดีสองคนเข้ามาแฝงตัวก่อการในดินแดนชาวฮั่นมานานแล้ว
ฮองเย่อิงฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติ เป็นเงียมหงันช่วยชีวิตไว้ จากคำบอกเล่าของนายทหารรองผู้สูงอายุ มือสังหารลึกลับกลุ่มหนึ่งแอบเข้ามาลงมือทำร้ายเย่อิง และสังหารทหารองครักษ์จนหมดสิ้น ดีที่เงียมหงันนำกำลังกลับมาช่วยได้ทันเวลา มือสังหารจึงถอนตัวไปพร้อมกับซากศพ และเกาทัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์รูปตะวันอาวุธของฮองตงเท่านั้น
เย่อิงขบคิด พร้อมคำนวนเสี่ยงทายตามที่เคยศึกษามา สีหน้ากลับซีดเผือดลงในทันที “แจ้งให้อองเป๋ง เจียวอ้วนมาดูแลจัดการทางนี้ แล้วพวกเรารีบกลับเสฉวนกันเถอะ”
...
ข่าวแพร่สะพัดออกไป ขุนพลยิงตะวัน ฮองตง และสองผู้เฒ่าที่เป็นสหายกันฝั่งหนึ่ง ปะทะกับเมธีพิณสังหารและนักรบทวนแกร่งฝั่งหนึ่ง จนพวกฮองตงทั้งสามและทวนแกร่งต่างล้มตายไป พิณสังหารได้รับบาดเจ็บสาหัส หลบหนีไปได้เพียงคนเดียว นับว่า พวกกังตั๋งเหิมเกริม ถึงกับรุกคืบเข้ามาถึงถิ่นเสฉวนด้วยแล้ว
การตายของเตียวหุยกับฮองตง สองขุนพลสวรรค์ นับว่าสั่นสะเทือนขวัญกำลังใจของคนฝั่งตะวันตกไม่น้อย ในเมื่อพยัคฆ์ร้ายแดนใต้เคลื่อนไหวมาเช่นนี้ ขงเบ้งจึงยิ่งไม่กล้าแตะต้องเล่าปี่มากมายนัก แต่มุ่งเสริมคนของตัวเองเข้าไปในจุดสำคัญต่างๆ
ที่จริง เมืองฮันต๋งเป็นเมืองสำคัญหน้าด่าน ขงเบ้งไม่ได้คาดคิดว่าฮองตง จะมาด่วนตายจากเช่นนี้ แต่ขืนปล่อยให้เพียงอองเป๋ง เจียวอ้วน ดูแล อาจจะถูกฝ่ายโจโฉรุกคืบกลับมา จึงได้แต่ตัดใจสั่งการให้อุยเอี๋ยน ขุนพลพายุคลั่ง ออกจากด่านแฮบังก๋วน ย้ายมารักษาการณ์เป็นแม่ทัพหลักคุ้มครองเมือง อย่างน้อย ชื่อเสียงของอุยเอี๋ยนก็เร่ิมเลื่องลือเทียบเท่ากับขุนพลห้าพยัคฆ์ของฝ่ายตรงข้ามแล้ว โดยส่งเตงจี๋ คนสนิทขึ้นไปรอประกบตัวไว้อีกชั้นหนึ่ง
ขงเบ้งยังไม่พร้อมที่จะให้ม้าเฉียว ขุนพลเงาหิมะ มาป้วนเปี้ยนใกล้กับเมืองฮันต๋ง หรือหัวเมืองฝั่งตะวันตกในช่วงเวลานี้ เพราะเผ่าเกี๋ยง เผ่าตี รวมทั้งเมืองเสเหลียง สนิทสนมกับพวกสกุลม้าเกินไป เกรงว่า ยังไม่ทันได้ยึดครองอำนาจ สกุลม้าอาจจะใจร้อน ชิงลงมือแยกตัวไปเสียก่อน งานใหญ่อาจจะเสียหายได้
เย่อิงบอกเล่าว่า ซุนเกี๋ยน เมธีพิณสังหาร เป็นผู้ลงมือสังหารฮองตงก็จริง แต่ซากศพของลุงกลับถูกมือสังหารลึกลับกลุ่มหนึ่งลักพาไป วิเคราะห์ตามเหตุผลแล้ว น่าจะเป็นการลงมือของเบ้งเฮ็กที่มีความแค้นเคืองอยู่กับขงเบ้งและพวกสกุลฮอง แสดงว่า กษัตริย์ม่านแห่งชนเผ่าโบราณ คงจะเริ่มมีความเคลื่อนไหวในไม่ช้าแล้ว
จูกัดเหลียงขบคิดแล้วกังวลใจไม่น้อย ที่ตัวมันใช้ชื่อ “เบ้ง” ก็เพราะเป็นการเตือนสติให้ระลึกถึงศัตรูคู่แค้นผู้นี้ คนที่มีความพร้อมทุกด้าน และมีศักยภาพสูงเหนือกว่าตัวมันเองเมื่อหลายปีก่อนด้วยซ้ำ จึงอาจจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่งในชีิวิตของมัน
นี่ยังไม่ทันจะปิดกระดานรบภายในประเทศให้เสร็จสิ้น คนที่ถูกชักใยก็เริ่มแผลงฤทธิ์เดชออกมาใส่ ศัตรูนอกประเทศก็เตรียมจะมาจ่อรอคอยการแก้แค้นเพิ่มอีกรายหนึ่งแล้วหรือไร เห็นทีว่า มันจะต้องวางแผนทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันการรุกรานของพวกเบ้งเฮ็กไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว
และแล้ว ความคิดของขงเบ้งถูกขัดจังหวะลงด้วยเสียงเรียกจากคนสนิท เอียวหงี ม้าเจ๊ก “เรียนนายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
นับจากเล่าปี่ล้มป่วย เก็บตัวอยู่แต่ในห้องพัก การงานน้อยใหญ่ล้วนต้องผ่านตาของขงเบ้ง กุนซือใหญ่ก่อน ดังนั้น จึงมักจะเห็นขงเบ้งบนเก้าอี้ล้อหมุน มานั่งว่าราชการแทนเล่าปี่ที่ห้องโถงใหญ่ในจวนเจ้าเมืองเป็นเรื่องปกติ แต่ขงเบ้งก็ยังเจียมตน ให้จัดวางโต๊ะน้อยเคียงข้างโต๊ะประธาน เพื่อใช้สั่งการได้สะดวก โดยไม่ล้ำหน้าเกิน ฮันต๋งอ๋อง ผู้เป็นเจ้านคร และมักจะให้กลุ่มเล่าเสี้ยนทั้งสี่มานั่งอยู่ด้านข้างด้วย เพื่อเรียนรู้งานด้านบริหาร
แต่วันนี้ ขงเบ้งถึงกับให้จัดการให้เล่าปี่นั่งเสลี่ยงคลุมบังตาด้วยผ้าขาวมาตั้งวางอยู่ด้านหลังโต๊ะประธานอีกทอดหนึ่ง โดยมีนางอุยฮูหยิน และองครักษ์ตันเตา ยืนกำกับอยู่ด้านข้างด้วย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องราวในครั้งนี้ที่ต้องให้เล่าปี่ร่วมรับรู้ด้วย
ขงเบ้งคล้ายมีหมอกคลุมบางๆบนใบหน้าที่หมองคล้ำเล็กน้อย เพราะความยุ่งยากคือบุคคลที่คุกเข่าตรงหน้า สาวใหญ่หน้าตาสะสวยที่ดูอ่อนวัยกว่าอายุจริง อ้างตนว่า ชื่อ กวนอินผิง บุตรีบุญธรรมของกวนอู และทารกน้อยแบเบาะนามว่า กวนสก ทายาทคนสุดท้ายของน้องรองผู้ทรนง เคียงข้างกันเป็นชายชราผมขาวโพลน ท่าทางเหมือนคหบดีผู้มีฐานะ ที่กวนอินผิงเล่าว่า คือท่านตาของทายาทตัวน้อย นามว่า ตันจิ๋น
เรื่องราวที่กวนอินผิงบอกเล่าคือ ช่วงเวลาที่กวนอูแตกทัพจากเมืองอ้วนเซีย ได้หลบหนีข้าศึกไปทางตะวันออกพร้อมกันกับกวนอินผิง และซ่อนตัวอยู่ที่บ้านของตันจิ๋นได้ระยะหนึ่ง บุตรสาวของตันจิ๋นได้ช่วยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง จนเกิดมีความสัมพันธ์กัน และตั้งครรภ์ขึ้น ตันจิ๋นจึงค่อยทราบเรื่อง แต่ก็มิได้ต่อว่าอันใด
ต่อมา เมื่อกวนอูพักฟื้นได้แข็งแรงขึ้นแล้ว ต้องการติดต่อกับฝ่ายเล่าปี่ จึงได้นัดแนะกันกับทหารสายข่าวที่วัดป่าน้อยที่สอง เขาจวนหยกสัน เมืองซินเอี๋ย แต่แล้ว เกิดข่าวรั่วไหล หรือโดนหักหลัง ทำให้กวนอูถูกรุมสังหารตายโดยน้ำมือของ ลิบอง กำเหลง พัวเจี้ยง ตามที่ฝ่ายเล่าปี่เคยทราบเรื่องมาแล้ว
ภายหลัง บุตรสาวตันจิ๋นคลอดบุตรชายออกมา ตั้งชื่อให้เป็น กวนสก แต่นางมีสุขภาพอ่อนแอ ไม่อาจทนทานความเจ็บปวด จึงตายไปในทันที ทิ้งภาระหน้าที่ให้กับกวนอินผิง และตันจิ๋น คอยเลี้ยงดูลูกน้อยแทน ทั้งสองเกรงว่า เภทภัยจากกังตั๋งจะมาถึง จึงตัดสินใจปลอมตัวเดินทางออกมายังเสฉวน ทางหนึ่ง เพื่ออยู่ในความคุ้มครองของพวกเล่าปี่ กวนอู อีกทางหนึ่ง เพื่อตามหาลูกชายอีกคนของตันจิ๋นที่เคยทำงานให้กับเล่าเจี้ยง และหายสาบสูญไปนานแล้ว นามว่า ตันเซ็ก
ขงเบ้งตาเป็นประกายขึ้นวูบหนึ่ง ทวนคำ “ตันเซ็ก บัณฑิตน้อย คนสนิทของเล่าเจี้ยงน่ะรึ ช่างบังเอิญยิ่งนัก ม้าเฉียวเพิ่งให้ตันเซ็กมารายงานบัญชีเสบียงเมื่อวานก่อนนี้เอง ม้าเจ๊ก เชิญตัวตันเซ็กเข้ามาให้ที”
บัณฑิตหน้าใส ตันเซ็กก้าวเข้ามาคารวะเล่าปี่ และขงเบ้ง ครั้นเหลือบเห็นกลุ่มคนเบื้องหน้า ก็ไม่เก็บอาการเอาไว้ น้ำตาไหลพราก คุกเข่าเรียกหาบิดาในทันที ทำให้ตันจิ๋นพลอยสะเทือนใจ โอบกอดกันตามประสาพ่อลูกที่พลัดพรากจากกันมานาน ขงเบ้งไม่สามารถจับพิรุธใดๆได้ จำต้องเชื่อถือในคำพูดของตันจิ๋นแล้วว่า สองคนเป็นพ่อลูกกันจริง หากแต่จะพิสูจน์เรื่องทายาทกวนอูได้อย่างไรกัน
และแล้ว ตันเซ็กผ่อนคลายความโศกเศร้าได้แล้ว ค่อยค้อมกายคารวะต่อกวนอินผิง ในฐานะนายเก่าด้วยอีกทอดหนึ่ง หลุดปากเรียกหาด้วยชื่อฐานะเดิม “คารวะตู้ฮูหยิน”
ขงเบ้งแลเห็นกวนอินผิง ตันจิ๋น หน้าซีดเผือดลงเล็กน้อย แสดงว่า จุดอ่อนของเรื่องราวปรากฏ จึงรีบเอ่ยปากถามไถ่ “ตันเซ็ก แนะนำให้ข้ารู้จักฮูหยินท่านนี้สิ”
ตันเซ็กก้มหน้ารายงาน ไม่ได้เห็นท่าทีของกวนอินผิง ตันจิ๋นเลย “นางคือตู้ฮูหยิน ตู้ซือแห่งเมืองชีจิ๋ว คนรักเก่าของท่านกวนอูขอรับ”
ขงเบ้งกรอกตาวูบหนึ่ง ก็ส่งเสียงหัวร่อในทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ท่านกวนอูเก็บคนรักเก่าไว้ในฐานะบุตรสาวบุญธรรม สุดท้าย ก็ตั้งครรภ์ขึ้นโดยไม่คาดหมาย ท่านทั้งสองอุตส่าห์แต่งเรื่องกลบเกลื่อนมากมาย กลับถูกตันเซ็กเปิดโปงในคำเรียกหาแค่คำเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า เอาเถิด บุตรสาวบุญธรรมจะช่วยเลี้ยงดูน้องชายคนเล็กก็ไม่ประหลาดอะไรดอก”
กวนอินผิง ตันจิ๋น หน้าแดงวูบ ตันเซ็ก หน้าตาเหรอหรา ในขณะที่บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ค่อยผ่อนคลายลงหลายส่วน ที่แท้ ผู้มา มีเบื้องหลังความเป็นมา พยายามปกปิดฐานะตนเอง กลับอ้างโน่นอ้างนี่เสียจนสับสนวุ่นวาย
เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว เด็กน้อยจอมซนที่เริ่มเติบใหญ่ตามวัย กวนหินเตียวเปาในวัยสิบเจ็ดปี เล่าเสี้ยน สิบเอ็ดปี จูกัดเจี๋ยม เก้าปี ค่อยกล้าก้าวเดินไปดูทารกน้อยใกล้ๆ แนะนำตัวกับกวนอินผิง ผู้มีศักดิ์เป็นญาติลำดับชั้นเดียวกัน ทีละคน คนอื่นยังพอทำเนา หากแต่เล่าเสี้ยนกลับรู้สึกผูกพันกับพี่สาวคนนี้อย่างน่าประหลาดใจ
สุดท้าย ขงเบ้งจึงรับตันจิ๋น ตันเซ็ก ให้เข้ามาเป็นขุนนางในสังกัด ให้กวนอินผิงพักอยู่ในจวนเล่าปี่ คอยช่วยดูแลเล่าเสี้ยน เล่าเอ๋ง แทนอุยฮูหยินที่กำลังตั้งครรภ์ใหม่อีกทางหนึ่ง
ห่างไกลไปเล็กน้อย เล่าปี่ที่นั่งซึมเซาอยู่หลังผ้าขาวบังตา ส่งประกายตาออกมาวูบหนึ่ง หากในที่นี้จะมีคนรู้จักกวนอินผิงในตัวตนของเตียวเสี้ยน นางงามสะท้านเมือง ก็คงจะมีแต่เพียงเล่าปี่แล้วกระมัง เพราะคนการเมืองรุ่นเก่าล้วนล้มหายตายจากไปสิ้นแล้ว
หากแต่ขงเบ้งเอง เคยไปเยือนแดนกังตั๋ง สมควรจะดูออกว่า ตันจิ๋น คือ เตียวเจียว เสาหลักแห่งกังตั๋ง ปลอมแปลงมาชัดๆ หรือว่า นี่ก็คือละครฉากใหญ่ของจูกัดเหลียง กุนซือมังกรซ่อน อีกแล้ว
แต่ เอ... เหตุไร อุยฮูหยินจึงเหมือนใบหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นสะท้านอยู่เช่นนั้นด้วย หรือว่า นางก็รู้จักคนใดคนหนึ่งในสามคนนี้ และดูเหมือนจะหวาดกลัวคนผู้นั้นเสียด้วย
ค่ำคืนนั้น ขงเบ้ง ตันจิ๋น ตันเซ็ก นั่งดื่มกินอยู่ภายในห้องรับรองของกุนซือใหญ่ตามลำพัง ราวกับคนคุ้นเคยมานาน ขงเบ้งในฐานะประธาน ค่อยเริ่มเปิดประเด็น “แผนการของท่านเตียวเหียนลึกซึ้งยิ่งนัก ถึงกับใช้ฐานะลับของเตียวเฟิงที่สวมบทบาทเป็นกวนอินผิง ลูกสาวบุญธรรมของกวนอู สร้างเป็นเรื่องราว นำเอาท่านทั้งหลายเข้ามาในสังกัดได้อย่างง่ายดาย ทางหนึ่งมีแหล่งพำนักที่ปลอดภัย อีกทางหนึ่ง เสริมกำลังของพวกเราให้เข้มแข็งขึ้น ท่านเตียวเหียน ตันเซ็ก เลื่อนชั้นขึ้นเป็นขุนนางผู้่ใหญ่ สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก เตียวเฟิงได้ใกล้ชิดกับอาเต๊า ลูกเสือลูกจระเข้ตามที่ต้องการ ต่อไป ย่อมสามารถใช้เป็นหมากลับได้ถนัดมือยิ่งขึ้น น่านับถือ น่านับถือ”
มาถึงวันนี้ ความลับของดาวคู่แฝดไม่จำเป็นต้องปกปิด จูกัดเหลียงจึงเรียกหาเตียวเหียนตามชื่อจริงอย่างตรงไปตรงมา ต่อหน้าตันเซ็กที่เป็นพรรคพวกเดียวกัน
เตียวเหียน-ตันจิ๋น ประสานมือคารวะตอบ “ข้าน้อยเตียวเหียน เตียวเจียว สองพี่น้องฝาแฝด นับเป็นคนเก่าแก่ของนายท่านจูกัด หากอดีตครั้งนั้นไม่ได้นายท่านจูกัดยื่นมือช่วยเหลือให้ออกจากที่คุมขัง ก็คงโดนโทษประหารชีวิตไปแล้ว หลายสิบปีมานี้ พวกเราทั้งสองแทรกซึมอยู่กับสำนักหุบเขาปีศาจ แสร้งปั่นป่วนให้พวกมันวุ่นวายมาหลายครั้ง จนบัดนี้ ก็แก่ชรามากแล้ว จึงรู้สึกยินดียิ่งนักที่วันนี้จะมาถึง นายน้อยเติบใหญ่มาเสริมเติมให้ภารกิจของนายท่านได้สำเร็จลุล่วงเสียที”
“อันที่จริง แผนการเราก็ใกล้จะสุกงอมอยู่แล้ว นายท่านกับนายน้อยยังกังวลเรื่องราวอันใด จึงไม่ลงมือให้เด็ดขาดไปสักที” ตันเซ็ก ยังหนุ่มแน่น ประสบการณ์น้อย จึงกล้าจะไต่ถามตรงๆ ไม่เกรงกลัวว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเข้าใจผิด
“เรายังต้องการตัดทอนกำลังสำคัญของฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด เรื่องการเปลี่ยนแผ่นดินเอย เรื่องกองกำลังทหารเอย ล้วนเตรียมพร้อมไว้แล้ว เราไม่ได้ต้องการแค่ขึ้นครองอำนาจเพียงช่วงสั้นๆ แต่ต้องการสืบทอดราชวงศ์ให้ยาวนานด้วย จิ๋นซีเป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่ว่า การรีบร้อนเกินไป อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีงาม ต้องดูเล่าปัง เซี่ยงอี้ที่เล่นสงคราม จนแผ่นดินลุกเป็นไฟ ยอมถดถอยหลายก้าว เพื่อให้ประชาชนมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า จึงจะสามารถปกครองได้ยาวนานดั่งเช่นราชวงศ์ฮั่นเช่นนี้” จูกัดเหลียง ถือโอกาสอธิบายแผนการระยะยาว
“นายน้อย ข้ายังสงสัยเรื่องของเตียวเฟิง...” เตียวเหียน พูดทิ้งคำ เพื่อให้ขงเบ้งช่วยให้ความกระจ่างแจ้ง
ขงเบ้ง จ้องมองประสานสายตา ค่อยกล่าว “เล่าเสี้ยน หรือ สมควรจะเรียกว่าโจเสี้ยน อาจจะเป็นหมากสำคัญไว้ใช้งานได้ เราจึงอยากให้แม่ลูกได้กลับมาผูกสัมพันธ์กันไว้ก่อน ส่วนกวนสกนั้น เป็นเพียงทารกน้อย ไม่น่ามีปัญหาอะไร ที่จริง พวกสกุลเตียวกับพรรคฟ้าเหลืองนับว่าน่าสงสาร นึกว่าตนเองรับใช้ต่อบังเต๊กกง หรือสำนักหุบเขาปีศาจของซุนเกี๋ยน หากแต่เป็นท่านกับเตียวเจียวที่ลอบแทรกแซงบงการให้เป็นประโยชน์ต่อพวกเราสกุลจูกัดมาโดยตลอด พอเตียวก๊กตาย เตียวเฟิงนึกว่า หลอกใช้เตียวหยุน-จูล่งเป็นหุ่นเชิด แต่ที่แท้ นางก็เป็นหุ่นเชิดของพวกท่านอีกทอดหนึ่งเท่่านั้น
ในช่วงเวลานี้ เรารับคนใหม่เข้ามาเสริมขุมกำลังเสฉวนมากมาย เพื่อแทนที่คนเก่าแก่ของเล่าปี่ เล่าเจี้ยง รอเวลายึดอำนาจทั้งหมด จึงต้องการให้ท่านมาช่วยจัดการดูแลด้วยอีกคนหนึ่ง แต่เดิม งานนี้เป็นหน้าที่ของเขาเจ้ง ราชครูเก่าของเล่าเจี้ยง ซึ่งเป็นสายของฝ่ายเราที่แฝงตัวมานานแล้วเช่นกัน หากแต่เขาเจ้งเผอิญป่วยตายไปเมื่อหลายเดือนก่อน เราจึงต้องพึ่งพาท่านแทนตำแหน่งที่ขาดหายไป
ส่วนด้านตันเซ็ก เราต้องการไหว้วานให้ไปเกลี้ยกล่อมตันฮก ศิษย์ผู้พี่ของเรา ให้กลับมาเป็นพวกเราเช่นเดียวกันกับตันหลิม ตันก๋ง ผู้ล่วงลับ อีกครั้งหนึ่ง แล้วรอเวลาชักนำกองทัพธรรมให้ยึดครองเมืองเกงจิ๋วกลับมาขึ้นกับฝ่ายของเรา”
สีหน้าของเตียวเหียน และตันเซ็กล้วนแช่มชื่นถ้วนหน้า เตียวเหียน เตียวเจียว ตันหลิม ตันก๋ง ล้วนเคยได้รับบุญคุณให้หลุดพ้นจากแดนประหารโดยจูกัดกุ๋ยเมื่อครั้งยังเป็นเจ้ากรมราชทัณฑ์ในอดีต จึงแฝงตัวเป็นสายลับสองหน้ามาอย่างยาวนาน ไว้วางใจในการวางแผนระยะยาวของเจ้านายมาโดยตลอด อีกทั้งพวกสกุลจูกัด ทั้งพ่อทั้งลูก นับว่าน้ำใจกว้างขวาง แต่จะเป็นเฉพาะยามนี้หรือไม่ เวลาเท่านั้นจะเป็นบทพิสูจน์
สีหน้าของเตียวเฟิง - กวนอินผิงที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอก กลับไม่สู้ดีนัก นางนึกยินดีที่ฮองเย่อิง ชักชวนให้นางมาพักอาศัยในวันแรก เพื่อสร้างความคุ้นเคย และเรียนรู้ข้อปฏิบัติในเมือง ก่อนจะเข้าไปอยู่ในจวนเจ้าเมืองตามที่ขงเบ้งสั่งการ ทำให้นางมีโอกาสใช้วิชาตัวเบาแอบเข้ามารับรู้ความจริงที่ถูกปกปิดมานานหลายสิบปี
คิดไม่ถึงว่า คนเก่าแก่อย่างเตียวเหียน เตียวเจียว ดาวนักปราชญ์ฝาแฝด ถึงกับซ่อนเร้นความร้ายกาจ ทรยศต่อบิดาเตียวก๊กมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว เห็นที นางจะต้องควบคุมชะตากรรมของพรรคฟ้าเหลืองด้วยน้ำมือของนางเอง แทนที่จะพึ่งพาที่ปรึกษาผู้เฒ่าอีกต่อไป อย่างน้อย นางก็ไว้วางใจในตัวของเตียวเลี้ยว เตียวคับได้อยู่
เตียวเฟิงยังคิดถึงเตียวหยุน พี่ชายบุญธรรม บุคคลปริศนาที่หายสาบสูญไป มันเป็นคนที่โดนนางหลอกล่อใช้งานมาทั้งชีวิต ปล่อยให้สวมบทผู้นำสัตตดารา หรือประมุขพรรคฟ้าเหลืองแบบหุ่นเชิด โดยมีคนตัดสินใจที่แท้จริงคือตัวนาง หรือ เตียวเหียน เตียวเจียว ดังนั้น นางยังสับสนใจอยู่ หากแม้นมีโอกาสได้พบพานกันอีก นางสมควรนับเตียวหยุน เตียวจูล่ง เป็นมิตร หรือ ศัตรูกันแน่
ในเวลาเดียวกันที่จวนเจ้าเมืองเสฉวน เล่าปี่ที่นั่งซึมเซาอยู่บนเตียงนอน ลอบมองอุยฮูหยินที่ฟุบหลับด้วยความอ่อนเพลียอยู่บนโต๊ะกลมห่างออกไปเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดสงสารที่ตนเองก่อกวนเรื่องราว สร้างความลำบากให้กับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่เพื่อก่อการสำคัญ ไม่อาจหลอกลวงแม้แต่คนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นอุยฮูหยิน หรือองครักษ์ตันเตาก็ตาม เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามหลงเชื่ออย่างสนิทใจ
เสียงเคาะประตูเป็นรหัสสัญญาณ เล่าปี่รีบล้มตัวลงนอนคลุมผ้าห่ม พร้อมเลื่อนมือไปหยิบกระบี่คู่ที่ซ่อนไว้ ปล่อยให้ผู้มาเยือนค่อยๆแง้มประตูห้องนอนเข้ามาเองอย่างพละการ หรือว่า ฝ่ายตรงข้ามคิดจะลงมือจัดการกับมันในค่ำคืนนี้แล้ว
บุคคลลึกลับเดินย่องเข้ามาใกล้เตียงนอนในระยะประชิด เล่าปี่ตัดสินใจสะบัดกระบี่ทั้งฝัก เหวี่ยงใส่ฝ่ายตรงข้าม หากแต่ผู้มาเพียงกวาดมือ ก็รับกระบวนท่าไว้ได้อย่างง่ายดาย พร้อมส่งเสียงเรียกเบาๆ “นายท่าน เป็นข้าเอง”
น้ำเสียงคุ้นหูยิ่งนัก เล่าปี่จ้องมองผ่านความมืด พบเห็นใบหน้าที่คุ้นตา แต่หายหน้าจากกันไปเนิ่นนาน ทำเอาเล่าปี่มีน้ำตาหลั่งไหลด้วยความอัดอั้นใจมานาน “ในที่สุด เจ้าก็กลับมาแล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนัก”
เล่าปี่โอบกอดผู้มาเยือนด้วยความยินดี อย่างน้อย ความสัมพันธ์ที่มีมายาวนานหลายสิบปี ย่อมทำให้ทั้งสองมีน้ำใจผูกพันต่อกันมากมายนัก เมื่อได้พูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง เล่าปี่จึงลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างออก มองเห็นฝูงนกราตรีขนาดใหญ่กำลังเหินร่อนจากภูผาสูงชัน ผ่านพ้นกำแพงเมืองเข้ามาไม่ขาดสาย จนอดกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่ได้
“มังกรหาญเผชิญหน้าพายุคลั่ง ผ่านพ้นเมฆายังมีอสนีบาต” เล่าปี่รำพึงขึ้นเบาๆ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา