19 ส.ค. 2021 เวลา 03:35 • ความคิดเห็น
ถ้าในบ้านเรา ก็เพื่อเอาวุฒิไปทำงาน
เพราะทุกการเรียน เมื่อจบหลักสูตรเราจะได้ใบ Certificate ของสถานที่นั้นๆ คล้ายกับเป็น Degree หรือ Credit ว่าเราผ่านหลักสูตรที่สถาบันซึ่งถูกรับรองมาตรฐานแล้ว
มารับรองมาตรฐานให้เราอีกทีว่ามีคุณสมบัติพร้อมเข้าทำงานในสถานที่ของพวกท่าน (ส่วนจะดีไหม อันนี้ต้องให้เวลาเป็นตัวตัดสิน เขาถึงต้องมีช่วงทดลองงานหรือ Probation สามเดือน)
ซึ่งข้อเสียของระบบนี้คือ การเผาเวลาทิ้งไปเปล่าๆ ในคนที่ไม่สนใจ เพราะช่องว่างของระบบนี้คือ การเรียนที่ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมาก หากสถาบันนั้นๆ สอนแบบขอไปที ซึ่งบางครั้งก็อิงตามศักยภาพที่มีของผู้เรียนด้วย (เช่นโรงเรียนวัด บริการเด็กในชุมชนแออัด จะเอาเลิศหรูแบบ รร.อินเตอร์ เด็กมันก็ไม่รับ หรือถึงรับ กลับบ้านไปเจอปัญหาครอบครัว พ่อแม่ด่ากัน เมา ติดยา เล่นพนัน.....มันก็สูญเปล่าอยู่ดี เพราะเด็กอายุแค่นั้น ยังไงมันก็ดูครอบครัวเป็นต้นแบบ)
คนเก่งหรือมีฐานะพอ จึงต้องส่งลูกไปทำกิจกรรมอื่น และไม่แปลกใจว่าทำไมธุรกิจให้ความรู้นอกห้องเรียน จึงเติบโตในช่วงนี้มาก เพราะผู้ใหญ่หลายคนเห็นปัญหาตรงนี้ว่า รู้อย่างเดียวสมัยนี้มันไม่รอดแล้ว
ยิ่งรู้แค่เพื่อเอาไปทำงานอีก เหมือนโดนโขกบล๊อคปั๊มแรงงานที่ต้องอยู่ในระบบ 9 เช้า - 5 เย็น แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ได้เงินง่ายสุดแล้ว (ส่วนจะได้เยอะพอกิน พอใช้ พอเก็บไหมนั้น...อีกเรื่อง)
บ้านที่มีฐานะพอเลยไม่อยากให้อนาคตลูกเป็นแบบนั้น แต่ก็ต้องติดกับดักอีกครั้งตรงที่ บางทีลูกก็ไม่สนใจ โตมาก็ไม่ต่างกับคนอื่นแม้ตอนเด็กจะมีทุนชีวิตที่ดีกว่า ก็เห็นไม่น้อย อันนี้ขึ้นกับความรักดีจริงๆ เพื่อนผมหลายคนที่ผมเคยอิจฉา คือตัวอย่างที่ดี บางคนได้เรียนดนตรี โตมาเป็นขี้เมาไม่เอาดนตรี, บางคนได้ไปเรียนเมืองนอกแต่เด็ก กลับมาติดยาไม่สามารถเป็นแรงให้พ่อแม่ที่เริ่มเข้าสู่ช่วงสูงวัยได้
เอาเป็นว่า ถ้าตั้งคำถามนี้แล้ว รู้อนาคตแล้ว ก็ลองวาดเส้นทางของตัวเองดูครับ รู้เร็วได้เปรียบ เรื่องแบบเนี้ย
โฆษณา