20 ส.ค. 2021 เวลา 08:56 • ปรัชญา
กายบุญ ..จะเคลื่อนที่ไปทางใดทางหนึ่ง เราก็สามารถที่จะหยุดยั้ง เรื่องราวกรรมต่างๆได้
กายที่มีบุญ จิตก็ไม่มีความทุกข์ แม่ทั่งสี่ก็เป็นแม่ทั้งสี่ที่มีบุญ ประกอบเป็นตัวตนของเราขึ้นมา
ใครเป็นผู้สร้าง จิตของเราเป็นผู้สร้าง
…วิธีใดบ้างที่จะทำให้หนีกรรม เรามีท่าเดิน ท่าไหนบ้างที่เป็นกรรม แล้วที่ไม่เป็นกรรม
ต้องหายใจอย่างไรถึงไม่เป็นกรรม หายใจอย่างไรถึงเป็นกรรม
นั่ง..จะนั่ง จะเดิน จะนอน จะยืนเหมือนกัน
มนุษย์ก็มีอยู่สี่รอยเท่านั้น ที่สร้างกรรมเกิดขึ้น แล้วก็ต้องทิ้งรอยทั้งสี่กรรม ให้สะอาดสะอ้านให้หมด
เรื่อวการบุญน้อมถวายพระแม่โพธิสัตว์
ขอเปิดศูนย์ของรัตนะ จิตตะวะริยาโต ศูนย์ของธรรม ศูนย์ของบุญ ศูนย์ของบารมีเกิดขึ้น
ต่อไปนี้ก็แสดงการกระทำ หรือ การกระทำของผู้เป็นมนุษย์ ให้หูทิพย์ตาทิพย์ เค้าประจักษ์
กายนิ่ง จิตเฉย ถ้ากายขยับเขยื้อน จิตของเราเคลื่อนที่ เราก็มีกรรม ฉะนั้น เราต้องทำให้ กายนิ่ง
กายนิ่ง คือ กายบุญ กายของพระ
ทำบุญ อยากได้บุญ อยากให้มีจิต มีสังขารที่เป็นบุญ บุญทำให้มีความสุข
เราก็รู้แล้วว่า บุญมีความสุข จะทำอย่างหนอ ถึงจิตของเราจะอยู่ในสังขารของบุญไปตลอด
มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเรายังมีกรรม จึงเคลื่อนย้ายสังขารไปเรื่อยๆ แล้วแต่อารมณ์กรรม ตัวกระทำจะชี้ไปทางไหน ก็ไป จะฝืนได้ก็เมื่อ จิตของเราทำได้ ควบคุมกายให้เป็นกายพระให้ได้
จะเคลื่อนที่ไปทางใดทางหนึ่ง เราก็สามารถที่จะหยุดยั้ง เรื่องราวกรรมต่างๆได้
กายที่มีบุญ จิตก็ไม่มีความทุกข์ แม่ทั่งสี่ก็เป็นแม่ทั้งสี่ที่มีบุญ ประกอบเป็นตัวตนของเราขึ้นมา
ใครเป็นผู้สร้าง จิตของเราเป็นผู้สร้าง
คราวนี้ จิตไปสร้างเรื่องราวตามีอารมณ์ มันก็มีแต่ เอากายไปมีความวุ่นวาย เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น จิตของเราต้องได้รับทุกข์จากอารมณ์ ที่พาสังขาร ไปในสถานที่ต่างๆ ที่เราไม่รู้ว่า สถานที่นั้นจะเป็นความสุขหรือเป็นความทุกข์ เราไม่รู้ มุ่งมั่นอยู่อย่างเดียว คือ เรื่องมายา
พอใครบอกอะไรหน่อย คิดเรื่องราวต่างๆ เช่น บอกไปหา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ก็พลอยดีอกดีใจ เพราะอารมณ์พัวพันอยู่กับเรื่องของมกรรม เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เกจิอาจารย์ เป็นเรื่องของกรรม
คาถาอาคมต่างๆ ทำให้มั่งมีศรีสุข หรือ ทำให้อยู่ยง คงกระพัน ก็แล้วแต่ เป็นกรรม ทั้งนั้น เป็นตัวที่อวดดีถือดี เป็นตัวทิฐิ ส่งไปให้จิต จิตก็อวดดี อวดเก่ง เห็นตัวเองดีแล้ว จึงไม่ยอม ..อารมณ์ก็จะไม่ยอมอะไรทั้งนั้น
สิ่งที่มีชีวิต ไม่มีชีวิต อารมณ์ปรุงแต่งมาเมื่อไหร่ ทิฐิเกิดขึ้น ไม่ยอม เพราะไปเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปหาเจ้าพ่อเจ้าแม่ ไปแล้ว เราก็มุ่งมั่น ยึดสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐ วัตถุต่างๆที่อยู่กับตัวเรา เราไขว่คว้าหามา พอกพูนไปด้วยอารมณ์กรรม วัตถุนั้น..เหนื่อยมั้ย..ที่กว่าจะได้มา..เหนื่อย เป็นกรรมมั้ยเป็นทุกข์เกิดขึ้น ถ้าไม่มีได้มั้ย ก็ไม่ได้ เพราะอารมณ์ มันยังปรุงแต่ง เรื่องการกินการนอน การที่ว่าเลิศเลอ เรื่องราวต่างๆ อวดดีอวดเก่ง ว่าจะต้องมั่งมีอย่างงั้นอย่างนี้เกิดขึ้น
เพราะเราไม่ปราบอารมณ์ จิตไม่อยู่เหนืออารมณ์ อารมณ์ก็พาไปหา แต่ความทุกข์
การที่มาฝึกหัดปฏิบัติธรรม เดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพื่ออยากจะรู้ว่า ไหนบอกว่าเป็นกรรมไง บ้านช่อง ที่อยู่ที่อาศัยที่ดี เราก็ไปเปรียบเทียบ เราอยู่บ้านของเรา คฤหาสน์อันหรูหราเกิดขึ้น อาหารการกิน เยอะแยะมากมาย มีความสุขจังเลย สุขของอารมณ์ บำรุงบำเรอกาย ที่เป็นมายา อาศัยอยู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เรานี้มั่งมีศรีสุขจริงๆ นึกขึ้นมาได้ นึกถึงองค์พระสิทธัตถะ ท่านเป็นอะไร ท่านเป็นถึง พระมหากษัตริย์ เป็นผู้ที่เลิศแล้ว มีพระราชวัง มีปราสาทสามฤดู
แล้วเรามีอะไร มีแต่เครื่องบำรุงบำเรอ ความร้อนเย็นเกิดขึ้น รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ อาหารการกิน เลอเลิศ เหมือนองค์พระสิทธัตถะมั้ย มีเหล่าบริวาร คอยนอบน้อมเหมือนองค์พระสิทธัตถะมั้ย ดูซิ..ว่าเรามีคฤหาสน์หลังใหญ่ มีคนรับใช้มากมาย แต่ละคนเป็นยังไง มีนิสัยต่างๆกัน บางคนก็หุนหันพันแล่น บางคนก็นอบน้อม บางคนก็พูดเรื่องราวต่าง สั่งอะไรเป็นเรื่องสร้างหรรมให้แก่เราทุกข์ครั้ง เห็นมั้ย แล้วเราไปดูพระสิทธัตถะ ข้าราชการหรือว่า เหล่าผู้ที่มารับใช้ท่าน มีแต่ความนอบน้อม เอานำสิ่งที่ดีๆไปให้ท่าน วาจาก็ไพเราะเพราะพริ้ง มีแต่ความถ่อมตน
ไหนล่ะ..เราว่าเป็นมหาเศรษฐี มีบ้านที่ใหญ่โต มีคนรับใช้มากมาย ที่หลับที่นอน เหมือนกับ องค์พระสิทธัตถะมั้ย มันห่างไกล กันเหลือเกิน ทำไมท่านทิ้ง ท่านมองเห็นแล้วนี่ คือ ขยะ นี่คือสิ่งสมมุติ เป็นเรื่องราวของทำให้ เกิดกรรม ท่านก็ไม่เอา ท่านก็เดินหนี หนีกรรมอันนั้นไป
ท่านก็บอกให้ มาขยายเรื่องราวของท่านให้เราฟัง เสียหน่อย..
ที่ทุกคนเรียกพระแม่โพธิสัตว์ เสด็จพระแม่…อะไรต่างๆ ท่านก็มาบอกว่า ทำไม ท่านไปไม้ถึงพระนิพพาน เพราะการตัดขาดเรื่องไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วสัตว์พวกนั่น ท่านลืมนึกว่า มนุษย์เกิดไปเป็นสัตว์ต่างๆ เค้าต้องการบุญ ท่านก็เลยไม่ได้ แผ่กระจายเนื้อของเค้า ที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าท่านขบฉันเรื่องราวของเนื้อพวกนั่นไป ก็จะทำให้ท่าน รู้ว่ากรรมมาจากไหน เนื้อทำไมเป็นกรรม สามารถจะพิจารณาได้ แต่ท่านไปพิจารณาเรื่องผัก เรื่องอะไรต่างๆ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันเกิดขึ้น
ที่จริงแล้วเรื่องราวต่างๆ ของท่าน ท่านก็บอกว่า สิ่งที่จะไปได้อยู่ที่จิต ไม่ได้อยู่ที่การกิน ท่านก็พยายามชี้ เรื่องราวต่างๆให้หมู่มนุษย์ทั้งหลาย ได้รับเรื่องราวต่างๆ การประพฤติ การปฏิบัติในเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นธรรม แต่มนุษย์กลับนำคำของท่านไปสร้างเรื่องราวของโลภโกรธหลง ความยึดต่างๆ เกิดขึ้น ก็เลยทำให้ผู้นั้นไม่รู้จักธรรมของท่านจริง ได้แต่ไปบูชา หาลาภหายศสรรเสริญเกิดขึ้น ไม่ได้เดินตามท่านไป เพราะท่านไม่ได้ชี้ไป ในเรื่องอารมณ์กรรม ตัวกระทำนั้นเอง ที่ท่านไม่ได้ชี้ออกไป ชี้แต่เรื่องราวไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ให้เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันเกิดขึ้น มีการประนีประนอมเกิดขึ้น
ท่านก็ปฏิบัติด้วยความบริสุทธิ์ตลอดไป ก็ได้อยู่ที่ชั้นดุสิต ก็คอยเวลาอีก ต้องลงมาประพฤติปฏิบัติ เกิดเป็นมนุษย์ ที่จะต้องแก้ไขเรื่องราวของอารมณ์กรรม ตัวกระทำที่ยังล้างไม่หมด ยังอยู่อีกมากมายเหลือเกิน ไม่ใช่อยู่อย่างน้อยๆ จะเห็นว่าจิตที่เกิดมาแต่ละคน ต้องสะสมอะไรมากมาย สะสมบุญ สะสมบารมีหนีกรรม คราวนี้ เราจะหนีได้ หรือไม่ได้ ก็ต้องศึกษา
มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้หนีกรรม เรามีท่าเดิน ท่าไหนบ้างที่เป็นกรรม แล้วที่ไม่เป็นกรรม
ต้องหายใจอย่างไรถึงไม่เป็นกรรม หายใจอย่างไรถึงเป็นกรรม
นั่ง..จะนั่ง จะเดิน จะนอน จะยืนเหมือนกัน
มนุษย์ก็มีอยู่สี่รอยเท่านั้น ที่สร้างกรรมเกิดขึ้น แล้วก็ต้องทิ้งรอยทั้งสี่กรรม ให้สะอาดสะอ้านให้หมด
ก็มีพระที่คอยชี้เรื่องราวต่างๆ คราวนี้ ผู้ที่ห่างไกล จาก ..สัจธรรม.. เลย เหมือนกับ ต้นเทียนที่ไม่มีใครไปจุด ไส้ของเค้า ให้มีแสงสว่าง มันก็มืดทึบอยู่อย่างงั้น มันก็ทำไปเหมือนคนตาบอด ทำไปไอ้นั้นดี ไอ้นี่ดี เลยก็ไม่รู้ว่าดีอย่างไร อะไรอย่างไร จับมานี่..อาหารนี้ อร่อยจังเลย อาหารนี้ใหญ่จังดีจัง มันก็สมมุติขึ้นมาของคนตายอด คนที่ไม่รู้เรื่อง ลองพิจารณาดู ข้าพเจ้าไม่ใช่ตาบอด..ตาดีนะ เห็นมั้ย มองเห็นอะไรต่างๆ จะเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ ที่เราจับต้องได้มากน้อยแค่ไหน จับไปดูไปก็เหมือนคนตาบอด ไม่ได้เป็นคนตาดี
คราวนี้ผู้ที่มา เข้ามาถึงพระ ที่คอยชี้แนะเรื่องราวต่างๆ ธรรมก็เหมือน ไม้ขีดไฟ ภิกษุสงฆ์ก็นำไม้ขีดมาจุดขึ้น มาจุดที่ใส่เทียนของเรา ไส้เทียนของเราก็สว่าง ก็รู้เรื่องราวต่างๆ อ้อ..สิ่งที่เราจับนี่ มันคืออะไรกัน มันน่ากิน หรือไม่น่ากิน หรือไปเป็นกรรม หรือว่าไม่เป็นกรรม เรามองเห็นอะไรต่างๆ ก็ด้วยปัญญาของเรา ก็คือกายนิ่งจิตนิ่งนั้นแหละ ที่บอกให้ทำ ให้กายนิ่งๆ จิตนิ่งๆ
องค์พระสิทธัตถะ ท่านออกจากวังไปอยู่ป่า ท่านทำอะไร ท่านก็ไปนั่งประพฤติปฏิบัติ นั่งเฉยๆ แต่ท่านก็ยังไม่รู้อะไร จนไปเห็นกายฤาษีเข้า ก็ไปศึกษาวิธีการนั่ง กายฤาษี เอ๊ะ..ดีจังเลย กายนิ่ง อย่างนี้ กายนิ่งเหมือนหิน เหมือนเสา ไม่ไปไหน ไม่ขยับเขยื้อน
ท่านก็ศึกษา ทำให้กายนิ่ง พอกายนิ่งปุ๊บ จิตไม่ไปไหนแล้ว จิตอยู่ในเรือนกาย จิตอยู่ในเรือนกาย ก็มีเวลาคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้ อะไรคือกรรม อะไรทำให้มันเกิด เกิดแล้วทำไมต้องตาย ท่านก็พิจารณาเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ในตัวตนของท่าน ท่านไม่ได้พิจารณาว่า ต้นไม้ตรงนั้นตรงนี้ หรือสัตว์รูปนั้นรูปนี้ ท่านพิจารณาก็คือ เอามาเปรียบเทียบเกิดขึ้น ว่าทำไม ต้นไม้ มันมีใบไม้ ทำไมมันไหงลวได้ ลูกที่ออกจากต้นไม้ ทำไมมันถึงมีลูก ลูกมันมาจากไหน ท่านก็สำรวจดูตั้งแต่รากที่ดูด ขึ้นไป ไอ้แก่นไม้ก็เหมือนจิตของเรา ที่สั่งให้รากไปดูดอาหารการกิน ไปเลี้ยงลำต้น ลำต้นนั้นก็คือเปลือกไม้ต่างๆก็คือกายของเรานี่แหละ ใบไม้ที่มันหวั่นไหว ก็เหมือนอารมณ์ของเรา ลมยังไม่มา แต่ทำไมใบไม้มันไหวได้
เหมือนการนั่ง เรานั่งปฏิบัตินี่ บอกให้กายนิ่ง ทำไมมันหวั่นไหวได้ นั้นคือ อารมณ์ที่มันเกิดขึ้น ทำไงถึงจะหยุด ใบไม้ไม่ให้มันไหว ก็ต้องทำให้ใบไม้ ใบมันใหญ่ๆ เพื่อต้านลม ต้านอารมณ์กรรม ตัวกระทำได้นั่นเอง แต่เรื่องนี้พูดกันยาวนะ ต้องชี้ให้ยาวๆ ถึงจะเข้าใจรู้จัก
สำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ที่ดีที่งาม ต้องนำเรื่องราวเหล่านี้ มาพิจารณามากขึ้น
นี่แหละ วิธีการทำบุญ ต้นพุทธกาล แต่เค้าไม่มาพูดอย่างนี้ แต่นี่มาตอนนี้ เพื่อจะประคับประคอง ให้..ประคับประครองกายให้มันนิ่ง ก็เลยพูดให้ฟังบ้าง ที่จริงต้องทำเอง พอเรามานั่งทำบุญ ต้องสั่งกาย จิตของเราต้องสั่งกายให้นิ่ง ถ้ากายหยุกหยิกเกิดขึ้น มันไม่ใช่กายมนุษย์ ที่จะสร้างบุญได้ ก็ต้องบังคับให้กายมันนิ่ง นี่แหละ กายบุญ แล้วจะทำบุญใช่มั้ย เอากายอะไรมาทำบุญ เอากายลุกลิกลุกลิก นั้นมันกายอะไรมาทำ กายวุ่นวายอยเรื่องราวของกรรม เราอยากทำบุญ อนุโมทนา เราก็ทำให้กายมันเป็นบุญซิ
ไอ้ที่ง่อยเปลี้ยเสียขาอะไรต่างๆนี่ เพราะทำบุญอยากได้ ไอ้โน้นไอ้นี่ แล้วทำบุญก็ไปดูถูกภิกษุสงฆ์องค์เจ้า ไปดูถูกเรื่องนั้นเรื่องนี้ ฉันนะเป็นเศรษฐีนะ ฉันทำบุญภิกษุสงฆ์ ต้องเคารพฉันนะ จะเอาบุญ กลับจะใหญ่กว่าบุญเสียอีก ไปดูถูกเครื่องหมายของธรรม พอเกิดมาก็ง่อยเปลี้ยเสียขานะ บางที่ก็เกิดมา หนอนไม่รู้สึกเลย ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำไปจนหมดอายุขัย
ทำบุญอย่าเอากรรมกลับไป ฝากให้ศาสนา ฝากให้ไว้กับดินฟ้าอากาศ เอาไว้ทำไม เอาไว้เพื่อใช้ในสังขารต่อๆไป หรือ สังขารปัจจุบัน แต่โดยมากสงสาร สังขารนี้จังเลย ก็เราดูแลให้มันดีซิ..สังขาร ใช้สังขารแบบสุรุ่ยสุร่าย ใช้สังขาร..ทำให้มีบุญขึ้น ทำให้แม่ทั้งสี่ที่เราอาศัยอยู่เนี่ย ให้มีบุญบารมีขึ้น เราเก็บกวาดได้ เราพาเค้าเข้ามา พากรรมเข่้ามาสู่จิตของเรา วิธีเอาออกต้องเดินตามรอยของพระ ไม่ใช่ว่า หยิบเอาออกกันง่ายๆ มาถึง พระแล้ว..พระบอกว่า ฉันหยิบออกให้แล้วนะ อยากจะให้หมด ต้องภวายโน้นถวายนี่ ต้องถวายกุฏิ ที่ถวายที่ ถวายทาง ถวายทานถวายปัจจัยอะไร แล้วแต่ เป็นอุปโลกน์ ทำให้โยม ผู้ที่อนุโมทนาหวัง ..หวังอุปโลกน์ของผู้ที่ชี้
แล้วผู้ที่ขี้ได้รับสิ่งนั้นแล้ว ได้อะไรไป..ได้กรรม ไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่กับพระเทวทัต ศีลสมาธิไม่มี มีแต่โลภโกรธหลง เหมือนกับมนุษย์ธรรมดา มนุษย์สามัญ ใช้การไม่ได้ เราทำบุญฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ หนึ่งบาทก็เหมือนกัน ข้าวสักช้อน ข้าพอทัพพีก็เหมือนกัน เห็นมั้ย เค้าเรียกว่าฝากไว้จริงๆ บางที ทำบุญมากมายเชียว เป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านได้ดรรมกลับไป ไม่ได้อะไรเลย จิตได้กรรม เพราะอารมณ์ไปพัวพันอยู่กับโลภโกรธหลง หนุนนำให้ตัวเองมีทิฐิเกิดขึ้น มีเห็นตัวเองดีแล้ว อวดดีถือดีเกิดขึ้น จะไปโทษใครเค้าก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง ที่ไม่ได้สะสมเรื่องราวเหล่านี้ไว้
พอเป็นประมาณการให้รวบรวมจิตของตัวเอง ให้เป็นหนึ่ง ท่านก็อนุโมทนาร่วมด้วยนะ..
สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา