Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
24 ก.ย. 2021 เวลา 01:05 • นิยาย เรื่องสั้น
6.23. ศัตรูเก่าในทางแคบ
จงฮิว ผู้นำสหพันธ์หมาป่าเงิน - ตั๋งไป๋ เกียงอุย อาจารย์ศิษย์ยอดยุทธ์
พายุฝนรอบนี้คล้ายตอแยไม่สิ้นสุด บัดเดี๋ยวหนักหน่วง บัดเดี๋ยวเบาบาง พวกเล่าปี่รับรู้ว่า ภัยอันตรายยังไม่หมดสิ้น ศัตรูอยู่ไม่ไกลนัก ล้วนแต่พร้อมจะตามมาได้ทุกเมื่อ จึงอาศัยกองกำลังย่อยกังแฮที่เกรงกลัวในอิทธิฤทธิ์ของเล่าปี่ ย้อนเส้นทางกลับไปพบกองทัพใหญ่เกือบสองหมื่นนายที่มีเตียวหยี เตียวเอ๊กดูแลอยู่ในตำแหน่งเดิมที่ดินถล่มตัดขาด
คำร่ำลือเรื่องเวทมนต์อาจจะแปลกประหลาดเกินไป จนทำให้ผู้คนยากจะเชื่อถือได้สนิทใจ แต่เหมือนขุนพลรองแซ่เตียวทั้งสองคล้ายมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อเจ้านครเล่าปี่อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอทราบเรื่องราวการพลีชีพของเล่าฮองที่เกิดขึ้น จึงสั่งการให้กองทหารทั้งหลายสวามิภักดิ์ต่อเจ้านายเก่าแทนขุนศึกที่ตายจากไปแล้ว
กองทัพกังแฮเป็นกองกำลังที่ผ่านการฝึกฝนการเคลื่อนทัพแบบเกลียวคลื่น จึงใช้เวลาเดินทางไม่มากเท่ากองทัพปกติทั่วไป หากแต่พายุฝน ดินถล่ม และน้ำหลากได้ทำลายเส้นทางคมนาคมชำรุดเสียหาย บางแห่งก็มีน้ำป่าขังท่วม สร้างความยากลำบากในการเดินทาง ทำให้ทหารสวามิภักดิ์ใหม่เริ่มชักชวนกันหนีทัพกลับสู่บ้านเกิดของตนเอง จนเมื่อพ้นเขตพายุฝน เข้าสู่ทุ่งสังหารเตียงปันที่มีร่องรอยไหม้เกรียม จากกองทัพร่วมสองหมื่นนาย กลับหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่พันคนไปเสียแล้ว
…
ตรงกันข้าม พวกจูกัดเหลียงที่ติดตามข่าวคราวอยู่ที่เรือนหฤหรรษ์ เมืองอ้วนเซีย รับฟังเรื่องการตายของจูกัดกุ๋ย จูกัดจิ๋น สองพ่อลูก และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของเล่าปี่กับเสียวเอียนจื่อ จากปากคำของจูกัดเอี๋ยนกับกุยห้วยด้วยความเสียใจและโกรธแค้น ถึงกับตระเตรียมกลุ่มนักสู้ผู้พิทักษ์ทั้งหลายร้อยนาย เพื่อแก้แค้นพวกเล่าปี่ในทันที
การจ้างวานกลุ่มผู้พิทักษ์ที่เบื้องต้นร่ำลือกันว่าเป็นการจ้างวานอย่างเป็นกลางโดยพวกพ่อค้าคหบดีลงขันกันนั้น แท้จริงแล้ว ก็เป็นฝีมือการจัดการทางลับของจูกัดกุ๋ย และจูกัดจิ๋น ผู้นำสหพันธ์การค้ามังกรซ่อนเป็นส่วนใหญ่ จึงกลายสภาพมาเป็นมือเท้าให้กับพวกสกุลจูกัดโดยตรง ไม่เว้นแม้แต่ตัวหัวหน้าใหญ่ที่เป็นจอมยุทธ์มีชื่อเสียงด้วย
พวกสกุลจูกัดหวังผลต่อแผนการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง มุ่งหวังจู่โจมครั้งเดียวกินทั้งกระดาน ถึงกับยินยอมสังเวยสำนักหุบเขาปีศาจแทบทั้งกลุ่ม เปิดเผยตัวตนผู้ร่วมขบวนการ ละทิ้งพวกสกุลซุน เล่า และโจ แต่แล้ว กลับผิดพลาดจนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ ผู้นำขบวนการจูกัดกุ๋ยที่เป็นเสมือนตัวประสานความสัมพันธ์ของกลุ่ม ถูกสังหารตายไปอย่างกระทันหัน จูกัดเหลียง-ขงเบ้งจึงได้แต่ต้องแสดงความเป็นผู้นำ เรียกศรัทธากลับคืนมาให้เหมาะสมกับที่เป็นทายาทผู้สืบทอดของขบวนการฟ้าดิน
ภายในใจลึกๆของขงเบ้งยังกังวลอยู่บ้างว่า เตียวโถ กวนลอที่เป็นพี่น้องกลุ่มสี่วิญญูชนร่วมกันกับบิดา อาจจะคิดยึดครองขบวนการฟ้าดินเช่นกัน บัดนี้ มันอาจจะไว้วางใจใครไม่ได้มากนัก พอคนที่เป็นกาวใจเกิดขาดหายไปเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบได้ทุกทิศทาง
ปัจจัยสำคัญยังคงเป็นเรื่องของจังหวะเวลา จูกัดเหลียงรีบสั่งการให้จูกัดเอี๋ยน กุยห้วย สุมาอี้ ติดตามตนเอง และกลุ่มนักสู้กึ่งหนึ่งไปดักรอจัดการกับพวกเล่าปี่ที่ทุ่งเตียงปันเสียก่อน โอกาสที่เล่าปี่จะเปราะบางเช่นนี้ หาได้ไม่ยากนัก ส่วนทางเรือนหฤหรรษ์นั้น ได้แต่ฝากให้จูกัดกิ๋น จงฮิว กับหัวหน้าผู้พิทักษ์ดูแลกันไปพลางก่อน
…
ทางฝ่ายม้าเฉียวที่หลบหนีไปในภายหลัง ก็กลับไปพบพานม้าเลี้ยง น้องชายที่กำลังรวบรวมไพร่พลที่แตกทัพอยู่กับขุนพลเงียมหงันท่ามกลางทุ่งเตียงปันเช่นกัน ทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างรวดเร็ว และแล้ว บัณฑิตคิ้วขาวจึงเสนอแผนการ เพื่อสร้างผลงานใหญ่ให้กับพวกตนด้วยความร่วมมือของกลุ่มคนที่มีศัตรูร่วมกันกับพวกตน
ในเวลานี้ กองทัพเสฉวนจากสามหมื่นคน รวบรวมมาได้ใกล้กึ่งหนึ่งคือหนึ่งหมื่นสองพันคน กองทัพฝ่ายรัฐบาล อิกิ๋ม แฮหัวป๋าที่อยู่ห่างออกไป รวบรวมได้น้อยกว่าคือเกือบหนึ่งหมื่นนาย และกองทัพกังตั๋งของซีเซ่ง เตงฮอง ที่ถูกโจมตีหนักหน่วงที่สุด หลงเหลืออยู่เจ็ดพันเศษ รวมสามกองทัพรักษาการณ์ ประมาณสามหมื่นนาย สมควรรุมกำจัดกองทัพกังแฮที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับพวกตนได้ไม่ยาก ดังนั้น ม้าเลี้ยงจึงคิดจะชักชวนกองทัพอีกสองฝ่ายมาร่วมกันแก้แค้นกับศัตรูร่วมกันในครั้งนี้ โดยปกปิดความลับที่เล่าฮองเชือดคอตาย และกองทัพกังแฮอยู่ภายใต้การนำของพวกเล่าปี่แทนแล้ว
ดังนั้น พอกองทัพกังแฮหลักพันที่เดินทางอย่างเร่งรีบเข้าสู่ใจกลางทุ่งเตียงปัน จุดที่คราก่อน เพิ่งจุดไฟเผากองทัพอ้วนเซียเสียวอดวายไปนับหมื่นนาย จึงเป็นฝ่ายที่ตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพสามฝ่ายบ้าง ถูกระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ และตีกระหนาบพร้อมกันจากสามทิศทาง สร้างความเสียหายอย่างหนัก จูล่ง เตียวเอ๊กแยกไปรับศึกทหารกังตั๋งทางด้านตะวันออก อุยเอี๋ยน เตียวหยีแยกไปรับศึกทหารอ้วนเซียทางด้านตะวันตก ปล่อยให้เล่าปี่ เสียวเอียนจื่อ รับศึกเบื้องหน้าทางใต้ เป็นกองทหารเสฉวนที่จู่โจมทำร้ายใส่เจ้านายของตนเอง ภายใต้การชักใยของขุนพลสกุลม้า
นางแอ่น แม้จะมีสติปัญญาสูงส่ง แต่ก็ไม่ได้ชำนาญกลศึกสงคราม เริ่มแรกที่ถูกโจมตีก็ตื่นตระหนกอยู่บ้าง จนเมื่อควบคุมสติได้แล้ว ค่อยสังเกตพบว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นกองทัพผสมผสานที่มุ่งหวังแก้แค้นพวกกังแฮ และถูกบงการโดยม้าเฉียว ม้าเลี้ยงที่เป็นสมุนของขงเบ้ง มิใช่แปรพักตร์ไปเข้ากับพวกสกุลจูกัดไปทั้งหมดแต่อย่างใด จึงครุ่นคิดหาวิธีการที่จะห้ามศึกความเข้าใจผิดนี้ให้ได้ก่อนจะเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่
พอเกิดความคิดขึ้น นางแอ่นจึงรีบกระซิบความกับเล่าปี่ และใช้ท่าร่างทะยานเมฆฉุดลากตัวเล่าปี่ขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งหญ้าสูง เพื่อให้มองเห็นได้ง่าย ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการถูกยิงสังหารด้วยเกาทัณฑ์ แต่นางแอ่นเป็นสตรีร่างใหญ่อยู่แล้ว จึงโอบร่างเล่าปี่ ยอมรับอาวุธระยะไกลแทน โดยเชื่อมั่นในพลังการฟื้นฟูรักษาตัวที่ตนได้รับมา จนขึ้นไปถึงยอดไม้สูงสุดได้สำเร็จ และรีบใช้วิชาราชสีห์คำรามที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเตียวหุย ขุนพลฟ้าคำรามในอดีต ส่งพลังเสียงรุนแรงให้ศัตรูหยุดมือป้องหู หันมามองในจุดเสี่ยงล่อแหลมเป็นจำนวนมาก
เล่าปี่มองเห็นลูกเกาทัณฑ์ติดเต็มร่างกายของเสียวเอียนจื่อด้วยความสะเทือนใจ ในใจนึกว่ากุนซือหญิงคงไม่รอดชีวิตได้แล้ว และการลงมือครั้งนี้ไม่อาจจะผิดพลาด จึงตั้งใจเร่งพลังไปที่ดวงตา เหมือนที่เคยใช้เมื่อหลายชั่วยามก่อนอีกครั้ง และกวาดสายตาไปโดยรอบ แสงสีเขียวทึบสว่างวาบสะกดทั้งทหารเสฉวน และทหารกังแฮที่อยู่รายรอบ จนล้มระเนระนาด ราวกับใบไม้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน สมดังคำร่ำลือจริงๆ แต่พวกทหารที่อยู่ห่างไกลออกไป ไม่ได้สบสายตาก็พลอยเกรงกลัวคนมีฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติเป็นทุนเดิม จึงคุกเข่าลงขอชีวิตไปด้วยเช่นกัน พร้อมรับรู้ว่า ตนเองกำลังลงมือต่อสู้กับผู้เป็นนายเหนือของตนเองด้วยความเข้าใจคลาดเคลื่อนไปแล้ว
“รีบเร่งกำจัดพวกอ้วนเซีย กังตั๋งโดยเร็ว” เสียงเสียวเอียนจื่อประกาศก้อง ยืนหยัดเด่นสง่าเคียงคู่กับเล่าปี่โดยไม่แสดงอาการบาดเจ็บให้เห็นแม้แต่น้อย พร้อมส่งสัญญาณทางทหารให้เป็นที่เข้าใจ ทหารเสฉวน กังแฮ ที่ยังพร้อมรบ จึงแปรเปลี่ยนมาร่วมมือกันจัดการกองทัพอีกสองทิศทางแทนอย่างฮึกเหิมขึ้นกว่าเมื่อครู่
กองทัพอ้วนเซีย และกังตั๋งมีจำนวนน้อยกว่ากองทัพเสฉวนอยู่ก่อนแล้ว จึงมีความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา พอพบเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จึงส่งสัญญาณล่าถอยโดยเร็ว ต่างฝ่ายต่างรีบแยกย้ายก่อนที่จะถูกตอบโต้กลับคืน เพียงเวลาชั่วอึดใจ ทุ่งสังหารเตียงปันก็เงียบสงบลง แต่ก็มีทหารไม่น้อยที่ฉวยโอกาสหนีทัพเอาชีวิตรอดไปด้วย จึงหลงเหลือเพียงทหารเสฉวน กังแฮอยู่รวมกันราวแปดพันเศษเท่านั้นเอง
เมื่อสงครามเสร็จสิ้น เหล่าขุนพลจึงย้อนกลับมารายงานผล จูล่ง เตียวเอ๊กจากทิศตะวันตก ปะทะกับอิกิ๋ม แฮหัวป๋า ได้รับชัยชนะก็จริง แต่สองขุนพลก็ได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติมไม่น้อย ส่วนอุยเอี๋ยนจากทิศตะวันตกเอาชนะชีเซ่งได้เช่นกัน แต่เตียวหยีกลับถูกเตงฮองสังหารตายในที่รบ สร้างความคับแค้นใจให้กับพวกเล่าปี่ยิ่งนัก
และแล้ว ทางด้านทิศใต้ ขุนพลเฒ่าเงียมหงันควบม้าเข้ามาใกล้อย่างเร่งรีบคล้ายกำลังหลบหนีผู้คน พร้อมกับแสดงให้เห็นหัวคนที่ถูกตัดมาใหม่ๆ ทุกคนต่างสงสัยใจจ้องมองดู เห็นเป็นศีรษะของคนที่มีคิ้วขาวสะดุดตามาแต่ไกล แต่แล้ว ม้าเฉียวก็ไล่ตามมาทัน ทิ่มแทงทวนอ่อนใส่เงียมหงันไม่ยั้งมือ จนมือไม้ปั่นป่วน สุดท้าย เงียมหงันกลับมีไหวพริบ โยนหัวของกุนซือม้าเลี้ยงเข้าใส่ม้าเฉียวผู้พี่ เพื่อช่วงชิงจังหวะในการหลบหนี
เสียงม้าเฉียว ขุนพลอารมณ์ร้อนตะโกนด่าทอ และควบม้าไล่ตาม นางแอ่นไม่ต้องการสุ่มเสี่ยง จึงสั่งการให้ตั้งแถวเกาทัณฑ์ หากม้าเฉียวเข้ามาในระยะหวังผล ก็จะให้ยิงสังหารได้ทันที แต่ดูเหมือนม้าเฉียวเข้าใจสถานการณ์ จึงล่าถอยจากไปอย่างผิดคาด
พวกเล่าปี่เพิ่งถอนหายใจโล่งอก เสียงโห่ร้องปะปนกับเสียงฝีเท้าคนกีบม้าก็ดังกึกก้องมาจากสองทิศพร้อมกัน ทางทิศตะวันออก เป็นธงประจำทัพเมืองซงหยง โดยเบ้งตัด อุยก๋วน ทางทิศตะวันตก เป็นธงประจำทัพเตียงอัน และอ้วนเซีย โดยเตียวเลี้ยว อิกิ๋ม แฮหัวป๋า ส่งรหัสสัญญาณตอบโต้กัน มุ่งหวังทำลายกองทัพกังแฮที่อยู่ระหว่างกลางให้หมดสิ้น นี่อาจจะเป็นสาเหตุให้ม้าเฉียวต้องชิงหลบหนีไปก่อนเมื่อครู่นี้
การที่เตียวเลี้ยวนำกองกำลังเตียงอันมาสมทบ ก็เป็นเพราะเมื่อตนเองหลบหนีออกจากเมืองอ้วนเซียได้แล้ว ตระหนักว่า สถานการณ์ต่างๆทั้งเมืองหลวงและเมืองหน้าด่านอ้วนเซียมีภัยอันตรายยิ่งนัก จึงตัดสินใจไปขอกองทัพเกลียวคลื่นจากซิหลงที่เมืองเตียงอัน เพื่อมากอบกู้สถานการณ์ และพบกับกองทัพพ่ายศึกของอิกิ๋ม แฮหัวป๋า จึงร่วมทางกันย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง หวังควบคุมสถานการณ์ชายแดนแก้ตัวให้ตนเอง
ส่วนเบ้งตัด อุยก๋วนนั้นเล่า ถึงแม้ว่าจะอยู่ร่วมกับเล่าฮอง ตันฮกมาพักใหญ่ แต่ก็เป็นเพียงเบี้ยหมากในสังกัด พอรับทราบว่า กังแฮก่อขบถ มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง ก็หวังได้หน้า รีบออกมาช่วยเหลือ แต่พอพบพานทหารกังแฮหนีทัพ รับรู้ว่าสถานการณ์พลิกผัน เล่าฮองสิ้นชีวิต ก็เลยตัดสินใจตามน้ำ แสดงตนเป็นพวกของรัฐบาลมาร่วมประจัญบานแทน
กองทัพเสฉวน กังแฮตอนนี้มีเหลือเพียงแปดพันเศษ แม้ว่าจะเป็นกองทัพที่เข้มแข็ง ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี แต่พอพบพานเรื่องราวมากมาย ทำให้จิตใจเปราะบาง ไม่พร้อมจะสู้รบ จึงพากันวางอาวุธยอมรับความพ่ายแพ้โดยง่าย พวกเล่าปี่เห็นเช่นนั้น ก็รับรู้ว่าสถานการณ์คับขัน ไม่อาจเสี่ยงใช้ไม้ตายแบบเดิมอีก รีบชักชวนกันควบม้าหลบหนีไปเบื้องหน้า หวังอ้อมผ่านเมืองอ้วนเซีย เข้าสู่เมืองเป๊กเต้เสีย ชายแดนเขตเสฉวนโดยเร็ว หลงเหลือทหารเสฉวนที่จงรักภักดีติดตามมาเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นเอง
เบื้องหน้าก่อนถึงเมืองอ้วนเซีย เป็นกองกำลังนักสู้ผู้พิทักษ์หลายร้อยนาย นำโดยขงเบ้ง-จูกัดเหลียง จูกัดเอี๋ยน กุยห้วย สุมาอี้ ยืนแถวตั้้งรับพร้อมอาวุธครบมืออย่างโจ่งแจ้ง พอเดาเจตนาได้ชัดเจนว่า มิได้ประสงค์ดีต่อพวกตนเสียแล้ว และอาจมีหลุมพรางกับดักรับหน้าอยู่ นางแอ่นจึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับไม้ตายสำคัญอีกครั้ง เป็นพลังเนตรมังกร สายตาที่สะกดผู้คนได้ในระยะไกลของเล่าปี่
พวกเล่าปี่จึงปรับเปลี่ยนรูปขบวน ให้คนสำคัญขยับเข้ามารุมล้อมตัวเจ้านครเล่าปี่เอาไว้ให้เป็นที่สะดุดตา ขงเบ้งถึงกับพลอยหลงกล สั่งการให้ตั้งแถวเกาทัณฑ์รอสังหารเมื่อถึงระยะประชิด ทุกสายตาจึงคล้ายจับจ้องมาที่พวกเล่าปี่เป็นจุดเดียว และแล้ว เหล่าขุนพลต่างกระตุ้นม้าแยกเปิดทางให้ทุกสายตาพบเห็นเล่าปี่ ที่กำลังส่งพลังไปที่สายตาตนเอง แสงสีเขียวเรืองรองแผ่พุ่งวาบออกมา ทำให้มือเกาทัณฑ์ทั้งหลายเบื้องหน้าล้มลงราวกับใบไม้ร่วงอีกครั้ง ส่งผลให้คนที่เหลือมือไม้ปั่นป่วน ยังดีที่พวกขงเบ้งเคยรับรู้กิตติศัพท์มาล่วงหน้า จึงหลบสายตาควบคุมสติ สั่งคนให้ล่าถอยเข้าเมืองไปได้ทันเวลา
แม้ว่าด่านสกัดด้านหน้าจะล่มสลายไปแล้ว แต่การไล่ล่าจากกองทัพพันธมิตรของพวกเตียวเลี้ยว อิกิ๋ม เบ้งตัดจากด้านหลังยังไม่หยุดยั้งลง พวกเล่าปี่จึงไม่อาจหยุดเท้า รีบเร่งผ่านเมืองอ้วนเซียไปตามเส้นทางอ้อมลงทิศใต้ ซึ่งมีแม่น้ำไต้กังขวางอยู่เบื้องหน้า
เสียงเป่าหวูดเขาดังลั่นท้องน้ำ เรือสินค้าน้อยใหญ่ที่แล่นผ่านไปมา และจอดรอท่าน้ำ คล้ายเปลี่ยนทิศทางหันกลับเข้าหาฝั่งอย่างพร้อมเพรียงกัน ถึงกับเป็นกองกำลังองครักษ์พิราบขาวที่นำมาโดยองครักษ์ตันเตา และขุนพลน้อยกวนหิน เตียวเปาที่ภักดีต่อเล่าปี่อย่างแน่นอน เป็นแผนป้องกันความผิดพลาดที่จัดวางไว้โดยเสียวเอียนจื่อนั่นเอง ทำให้พวกเล่าปี่รีบพากันขึ้นเรือโดยสาร หลบหนีภัยการไล่ล่าได้ในที่สุด
พวกเตียวเลี้ยว อิกิ๋ม เบ้งตัด ไล่ตามพวกเล่าปี่ไม่ทัน ได้แต่ระบายความแค้นเข้าใส่พวกนักสู้ผู้พิทักษ์หลายร้อยชีวิตที่เพิ่งคืนสติจากมนต์สะกด ทำให้เกิดเป็นสมรภูมินองเลือดที่หน้าเมืองอ้วนเซียอีกครั้ง ที่จริง เหล่าจอมยุทธล้วนมีฝีมือสูงส่ง แต่เพิ่งฟื้นคืนสติ และมีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่า จึงถูกกองทหารรุมสังหารอย่างน่าเสียดาย สร้างรอยแผลอันล้ำลึกให้กับฝ่ายรัฐบาลกับนักสู้ยุทธภพโดยไม่จำเป็น ทั้งๆที่คนสองกลุ่มนี้เคยหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันมาโดยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
…
ภายในเมืองอ้วนเซีย ขงเบ้ง จูกัดเอี๋ยน กุยห้วย สุมาอี้ หลบหนีพลังเนตรมังกรของเล่าปี่เข้ามาตั้งหลักสมทบกับจูกัดกิ๋น จงฮิว และหัวหน้าผู้พิทักษ์ที่เรือนหฤหรรษ์อีกครั้ง ยังมีเอียวหงี ม้าเจ๊กที่เพิ่งตามมาเสริมกำลังในภายหลังก็รออยู่ด้วยกัน
สถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้เป็นผลดีต่อตนแล้ว เพราะด้านนอก กองทัพผสมฝ่ายรัฐบาลกำลังมุ่งหน้าเข้ามา หมายยึดเมืองอ้วนเซียกลับคืน ดังนั้น พวกตนจะทำอย่างไรดีกับพวกตัวประกันที่ยังอยู่ในด้านใน โดยเฉพาะเล่าเสี้ยน ผู้เป็นทายาทของเจ้านครเล่าปี่
จูกัดเหลียงมองผ่านใบหน้าของพรรคพวก พลันถอนหายใจหนักหน่วง แล้วตัดสินใจกล่าว “เรากับ ม้าเจ๊ก เอียวหงีจะเดินทางไปยึดอำนาจกองทัพหลักจากพวกสกุลเล่าที่เมืองเสฉวน ทางนี้ให้ส่งคนไปแจ้งข่าวกับพวกตันจิ๋น (เตียวเหียน) ม้าเฉียว ให้ตันจิ๋น เจีียวอ้วน เตงจี๋ คุมตัวอองเป๋งยึดอำนาจเมืองฮันต๋ง ให้ตันเซ็กดูแลด่านแฮบังก๋วนไว้ ส่วนม้าเฉียว ม้าต้ายให้จัดทัพชนเผ่าลงมาล้อมสกัดเล่าปี่ไว้ที่เมืองเป๊กเต้เสีย ห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวติดต่อกับคนทางเสฉวนได้ อย่างน้อย พวกเราก็มีตัวประกันเล่าเสี้ยน และหัวเมืองสำคัญเอาไว้ต่อรองกับเล่าปี่และพวกพ้อง
ทางฝั่งเหนือ ให้จูกัดเอี๋ยนเป็นหัวหน้าสาย นำสุมาอี้ จงฮิว กลับไปควบคุมสถานการณ์ฝ่ายรัฐบาล ร่วมมือกับท่านลุงสอง (เตียวโถ) ท่านอาสี่ (กวนลอ) และกาเซี่ยง รับมือความเปลี่ยนแปลงไว้ให้ดี ยังคงทำตามแผนเดิม ก่อกวนโจผีให้วุ่นวายแต่ภายใน อย่าเพิ่งให้มาสนใจการรบด้านอื่นๆไปพลางก่อน
ส่วนทางด้านใต้ ให้จูกัดกิ๋นเป็นหัวหน้าสาย ฝากให้ กุยห้วย ตั๋งไป๋ และพวกนักสู้ผู้พิทักษ์ที่เหลือ ช่วยกันประสานงานกับเตียวเจียว อิ้วตู้ หาทางสกัดสังหารซุนกวนกับพวก ไม่ให้กลับคืนเข้าเมืองต๋องง่อได้อีก หากสามารถจัดทำได้เหมาะสม ซุนเต๋ง ว่าที่ทายาทจะเคว้งคว้าง อาณาจักรกังตั๋งจะพลอยปั่นป่วนกับศึกพี่น้องสายเลือดเดียวกันที่ช่วงชิงความเป็นใหญ่แทนซุนกวนผู้ตาย”
ทั้งหมดรับคำแล้วรีบตระเตรียมเดินทางโดยเร็ว บางคนที่ร่วมขบวนการเดียวกัน ถึงกับคาดไม่ถึงว่า หัวหน้าใหญ่ของนักสู้ผู้พิทักษ์ที่ปกคลุมอำพรางกายนั้น ถึงกับเป็นจอมยุทธหญิงเลื่องชื่อจากเผ่าเกี๋ยงที่มีนามว่า ตั๋งไป๋ นั่นเอง และเครือข่ายของสกุลจูกัด ถึงกับเชื่อมโยงไปถึงอิ้วตู้ หัวหน้าเผ่าเย่ด้วยแล้ว
“แล้วพวกเจ้าสัวคหบดีที่เป็นตัวประกันอยู่ด้านในเล่า” สุมาอี้ไต่ถาม
“จริงสิ ถ้าเช่นนั้น ให้จงฮิว ใช้สถานะผู้นำสหพันธ์การค้าหมาป่าเงินอยู่รับหน้ากองทัพรัฐบาล ออกหน้ารับความดีความชอบไปเถิด หากมันทำตัวได้เหมาะสม อาจจะได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าใหญ่ของสามสหพันธ์การค้าแทนซุนกวนเลยก็ได้” จูกัดเหลียงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ จึงสั่งงานผ่านๆให้กับสุมาอี้จัดการก่อนแยกย้ายจากกัน แต่สุมาอี้กลับนึกขัดแย้งอยู่ในใจ เพราะเข้าใจในความสำคัญของถุงเงินถุงทองเหล่านี้ดี จึงคิดจะอยู่ร่วมกันกับขุนคลังจงฮิว รับความดีความชอบเอาไว้พร้อมกันทั้งสองคน
…
สถานการณ์บีบคั้นเข้ามาทุกทีแล้ว พวกจูกัดทั้งสามต่างทะยอยเดินทางกันไปก่อน เหลือเพียงสุมาอี้ จงฮิว ที่ยังสาละวนกับการเปิดประตูที่คุมขังให้พวกเจ้าสัวคหบดีได้หลบหนีกันไปก่อนจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งสองจึงค่อยหลบหนีออกไปทางตรอกแคบด้านหลังบ้าง
แต่แล้ว เงาร่างของนักสู้ผู้พิทักษ์คนหนึ่งกลับพุ่งเข้าจู่โจมใส่สุมาอี้อย่างกระทันหัน ใช้ดาบโค้งสร้างแผลลึกไว้ที่ท้องแขนซ้าย ดีที่จงฮิวอยู่ข้างกายสายตาไว ช่วยยื้อยุดเจ้านายเอาไว้ได้ทัน จนต่างฝ่ายต่างล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้นดิน
“เจ้าทั้งสองสมควรตายเช่นเดียวกัน หนี้เลือดตระกูลเกียงจะได้รับการสะสางแล้ว” นักสู้ในชุดอำพรางกายปิดหน้าลงมือต่อเนื่อง แต่ติดขัดที่ตรอกซอยคับแคบ ไม่อาจเหวี่ยงดาบได้ถนัดมือ สุมาอี้เห็นว่าจวนตัวยิ่งนัก ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งไม่รู้ฝีมือฝ่ายตรงข้ามชัดเจน จึงได้แต่ผลักไสคนใกล้ตัวไปรับหน้าไว้ก่อน สงสารที่จงฮิวไม่มีวิทยายุทธ์กลับอยู่ผิดที่ผิดเวลา รับเอาดาบโค้งผ่านจากหน้าผากลงไปถึงกลางหน้าอกแทน เปิดจังหวะให้สุมาอี้เบี่ยงกายโดดผ่านหน้าต่างด้านข้าง หลบหนีออกไปได้
“นี่เจ้าทำอะไรลงไป ลูกอุย” เสียงแหลมเล็กแต่แหบแห้งตามวัยดังขึ้น เป็นตั๋งไป๋ จอมยุทธ์หญิงเลื่องชื่อที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของเหล่านักสู้ผู้พิทักษ์ในภารกิจครั้งนี้ ย้อนกลับมาตามตัวลูกศิษย์ที่หายไป จึงเห็นตั๋งไป๋ลอยตัวข้ามไปยืนขวางทางนักสู้ลึกลับเอาไว้
“คนแซ่สุมาเป็นผู้บงการสังหารล้างตระกูลของข้า ส่วนเจ้าคนนี้ ข้าจดจำได้อยู่ว่า มันก็ทำตัวเป็นแขนขาให้กับสุมาอี้ คอยมากดดันต่อบิดาของข้าอยู่เนืองๆ ย่อมมิใช่ตัวดีอันใด” นักสู้ลึกลับคุกเข่าสำนึกผิด “หากข้า เกียงอุย ไม่ใช้โอกาสในวันนี้ จัดการกับพวกมันทั้งสอง เห็นที จะแก้แค้นพวกมันได้ยากเย็นนัก เพราะพวกมันล้วนแต่เป็นขุนนางสำคัญ ข้าจึงสะกดใจรอจนถึงวันที่แยกจากกัน ลงมือสังหารในยามคับขันเช่นนี้”
“เอาเถิด ไหนๆจงฮิวก็ตายไปแล้ว เหลือแต่สุมาอี้ ก็ค่อยตามไปทวงหนี้เลือดในวันหน้า พวกเรารีบไปกังตั๋งด้วยกัน มีภารกิจอื่นรออยู่ เนิ่นช้าจะพบพานกับกองทัพอ้วนเซีย จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก” ตั๋งไป๋รีบฉุดลากเกียงอุยออกไปอีกทางหนึ่ง แต่ภายในใจร่ำร้อง ฟ้าดินไม่ยุติธรรมต่อตนเอง
สาเหตุที่มันตัดสินใจเข้าร่วมกับขบวนการฟ้าดิน เพราะต้องการล้างแค้นให้กับพี่น้องร่วมสำนักของมันที่ถูกเตียวหุย จูล่ง ม้าเฉียว คนสนิทของเล่าปี่สังหารในเหตุการณ์ยึดเมืองเสฉวนเมื่อหลายปีก่อน แต่มาครั้งนี้กลับพบว่า ม้าเฉียวเป็นคนของขบวนการฟ้าดินเช่นเดียวกัน และอยู่ในสถานะสูงส่งกว่าตนเองด้วยซ้ำ กลับทำให้มันไม่อาจออกหน้าชำระแค้นได้เลย แต่ลูกศิษย์ของมันกลับได้โอกาสชำระแค้นไปก่อนแบบไม่ทันคาดคิด
เพียงชั่วอึดใจที่เหตุการณ์ผ่านพ้นไป เหยื่อที่หลุดรอดนามสุมาอี้กลับยืนขึ้นกุมแขนซ้ายที่บาดเจ็บอยู่ทางด้านนอกหน้าต่างข้างตรอกแคบนั้น ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ที่แท้ เส้นทางที่หลบหนีออกไปเป็นทางตัน มันจึงได้แต่กลั้นลมหายใจซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น หวังให้โชคช่วย จนได้รับฟังความจริงของหัวหน้าใหญ่ และมือสังหาร ในใจครุ่นคิดขึ้น “ครอบครัวสกุลเกียง หรือเป็นทายาทของเจ้าสัวเกียง อดีตคนสนิทของข้าที่ก่อคดีแอบขโมยทรัพย์สินหนีออกนอกด่าน จนถูกจงฮิวไล่ล่าสังหารไปเมื่อหลายปีก่อน”
สายตาทอดผ่านเห็นซากร่างของจงฮิวที่นอนตายตาค้าง กลับรู้สึกสำนึกผิด ประสานมือขออภัยต่อคนตาย “จงฮิวเอ๋ย ครั้งนี้คับขันนัก ข้าจึงจำต้องทำผิดต่อเจ้าเช่นนี้ แต่เอาเถิด ข้าจักเลี้ยงดูทายาทที่ยังอยู่ในครรภ์ภรรยาของเจ้าดั่งลูกหลานของข้าเอง”
สุมาอี้จากไปแล้ว ก่อนที่กองทัพฝ่ายรัฐบาลจะเข้ามายึดเมืองคืนเพียงเฉียดฉิว เพื่อหลบเลี่ยงความเกี่ยวพันกับการตายของขุนคลังจงฮิว รีบมุ่งหน้ากลับไปทางเมืองหลวงแทน
ที่จริง หนี้แค้นสังหารล้างตระกูลเกียงนั้น เป็นจงฮิวที่เป็นตัวการที่แท้จริง แต่ครั้งนั้น จงฮิวจงใจผลักภาระไปที่สุมาอี้ ทำให้เกียงอุยเข้าใจผิดมาโดยตลอด ครั้งนี้ จึงนับว่า ฟ้าดินก็ช่วยเสริมส่งให้เกียงอุยกำจัดตัวผู้บงการไปได้แล้วโดยบังเอิญ แต่ยังกลับสร้างหนี้เลือดขึ้นมาใหม่ ให้ทายาทของคนแซ่จง รอคอยวันเวลากลับมาล้างแค้นกับขุนพลสกุลเกียงอีกครั้ง อีกสี่สิบปีข้างหน้า จงโฮยกับเกียงอุยจึงกลายมาเป็นคู่กรรมนายเวรที่ไล่ล้างตระกูลกันต่อไป ภายใต้เงาทะมึนของคนตระกูลสุมาเช่นเดิม
…
จูล่ง ปลีกตัวขึ้นมายืนรับลมตามลำพังอยู่บนหัวเรือโดยสารที่กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองเป๊กเต้เสีย หน้าด่านแคว้นเสฉวน นอกเหนือจากสีผมที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวทึบแปลกตาแล้ว ยังไม่มีใครล่วงรู้ว่า พลังมังกรจักรวาลได้ส่งผลกระทบอย่างใดต่อขุนพลท่องเมฆา ซึ่งมันสรุปเอาเองว่า พลังพิเศษที่มันได้รับคือจิตสำนึกมังกรที่ปรับแต่งสภาวะทางสมองทั้งหลาย นั่นคือ ความทรงจำ ความคิด และสติปัญญาที่พัฒนาเหนือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายมาจนถึงบัดนี้ จูล่งค่อยมีเวลาทบทวนความคิด นึกถึงเรื่องราวที่ตนเองต่อสู้ขับเคี่ยวกับผู้คนมากมายในยุคสมัยโบราณนี้ และได้รับความช่วยเหลือจากนางแอ่น ภรรยาสาวในคราบร่างสถานะต่างๆมาหลายหน จนถึงจุดแตกหักสำคัญที่ตนเองลงมือสังหารอินทรีมือเหล็ก พี่ใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามไปกับมือ ซึ่งตระหนักดีว่า หากนางรับรู้เรื่องลับนี้ ย่อมไม่ยินยอมให้อภัยต่อตนเองเป็นแน่
มันลังเลใจอยู่เนิ่นนาน สุดท้าย จึงตัดสินใจปกปิดพลังพิเศษที่ตนได้รับมาเอาไว้ก่อน เพื่อเก็บรักษาความรักที่มีต่อภรรยา ยินยอมเสแสร้งว่า ยังถูกสะกดความทรงจำไว้เช่นเดิม แต่ในใจ เริ่มทบทวนวิทยายุทธ์ดั้งเดิมที่มันเคยฝึกฝนมาตั้งแต่เยาว์วัยในอดีตของตน เป็นวิชาเฉพาะตัวที่มันหล่อหลอมรวมจากสุดยอดวิชาแห่งแผ่นดิน นาม พลังสุริยันสะท้านภพ จนเคยทะยานขึ้นเป็นจ้าวยุทธจักรในยุคสมัยหนึ่งในโลกอนาคต
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 6 - พญายมถล่มแดนดิน
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย