25 ก.ย. 2021 เวลา 00:53 • นิยาย เรื่องสั้น
6.24. พลิกฟ้าเปลี่ยนแผ่นดิน
โจเจี๋ย โจเซียง โจหัว นางสนมพิทักษ์ฮ่องเต้
พายุฝนลูกใหญ่พัดผ่านมาอย่างกระทันหัน ทำให้การเดินทางข้ามแม่น้ำไต้กังล่าช้าไปกว่าเดิมมากนัก แต่ในที่สุด พวกเล่าปี่ก็เดินทางมาถึงเมืองเป๊กเต้เสียได้สำเร็จ ค่อยรับทราบจากสายข่าวว่า ขงเบ้ง ร่วมมือกับเอียวหงี ม้าเจ๊ก นำตัวประกันเล่าเสี้ยนไประดมทัพเมืองใกล้เคียงได้สิบหมื่นเศษ ตั้งประจันหน้ากับกองทัพเสฉวนหกสิบหมื่นที่อยู่ในการดูแลของพวกขุนนางเก่าของเล่าเจี้ยง อันได้แก่ ลิเงียม งออี้ งอปั้น และเล่าป๋า
ม้าเจ๊ก กุนซือผู้ที่ชำนาญในการทำสงครามข่าว ยัดเยียดข้อหาว่า พวกลิเงียมคิดก่อขบถหวังยึดอำนาจไว้เสียเอง ทำให้ขุนนางนายทหารที่เมืองฮันต๋ง ด่านแฮบังก๋วน และหัวเมืองโดยรอบ ไม่เห็นด้วย พร้อมใจกันให้การสนับสนุนต่อฝ่ายขงเบ้งจนหมดสิ้น
เปลือกนอก ชาวบ้านต่างหลงเชื่อคล้อยตามไปว่า ขงเบ้งกำลังกอบกู้แผ่นดินให้กับเล่าปี่ หากแต่พวกเล่าปี่ย่อมเข้าใจถึงอิทธิพลการแทรกซึมของจูกัดเหลียง กุนซือมังกรซ่อนเป็นอย่างดี พวกม้าเฉียวที่ด่านแฮบังก๋วน พวกตันจิ๋นที่เมืองฮันต๋ง รวมทั้งขุนนางนายทหารในเมืองเสฉวน และเมืองอื่นๆจำนวนมากล้วนแตกแยกเป็นสองฝ่ายสองขั้้วการเมืองไปนานแล้ว เพียงรอวันลงมือก่อการเท่านั้นเอง แสดงว่า จูกัดเหลียงกำลังดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาด เพื่อมุ่งหวังจะยึดอำนาจขุมกำลังเสฉวนแล้ว
อีกทั้งในช่วงเวลาเดียวกัน ม้าเฉียว ม้าต้ายก็ยกกองทัพชนเผ่าชาวตีชาวเกี๋ยงที่ขึ้นตรงต่อสกุลม้าตั้งแต่แรกเริ่ม มาตั้งรายล้อมเมืองเป๊กเต้เสียเอาไว้ ปิดเส้นทางขัดขวางไม่ให้พวกเล่าปี่ติดต่อกับส่วนกลาง และดินแดนใกล้เคียง อ้างเหตุแก้แค้นให้ม้าเลี้ยงน้องชาย ทำให้ขุมกำลังเสฉวนถูกทำให้โดดเดี่ยวด้วยแผนปิดฟ้าข้ามทะเล ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทางทหารของลิเงียมเป็นสำคัญ ซึ่งชื่อชั้นและฝีมือยังห่างไกลกับพวกขงเบ้งหลายเท่านัก
พวกเล่าปี่ประเมินสถานการณ์ทางทหาร แม้ว่าจะมีกำลังทหารแตกต่างกันอยู่หลายเท่าตัว แต่ฝ่ายขงเบ้งกลับได้เปรียบในด้านพื้นที่ ยุทธศาสตร์ จิตวิทยา และอยู่ในฐานะฝ่ายรุก ในขณะที่ลิเงียมเป็นฝ่ายตั้งรับที่มีสิ่งของมีค่าในกำมือ นั่นคือคลังเสบียงและยุทโธปกรณ์ หากเกิดสงครามรบพุ่งกันภายในดินแดนเสฉวนเช่นนี้จริง เห็นทีความย่อยยับจะเกิดขึ้นกับเหล่าทหารของพวกมันทั้งสองฝ่าย
หากเล่าปี่ไม่รีบเคลื่อนไหวอันใด สถานการณ์ที่เปราะบางล่อแหลมเช่นนี้ อาจทำให้พวกลิเงียมยอมหักไม่ยอมงอ จุดไฟเผาทำลายเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ใช้เวลาสะสมมานานจนหมดสิ้น ซึ่งจะทำให้ขุมกำลังเสฉวนอ่อนแอลงในฉับพลันทันที ไม่ว่าใครจะได้ชัย ย่อมไม่อาจรับมือกับฝ่ายรัฐบาล หรือแม้แต่พวกกังตั๋งได้อีกต่อไป
ดังนั้น แผนการที่เสียวเอียนจื่อเสนอต่อเล่าปี่ จึงเป็นการเจรจาต่อรอง ทำสงครามการทูตแลกเปลี่ยนในทันที โดยมีฮองเย่อิง และจูกัดเจี๋ยมที่พวกตนควบคุมตัวเอาไว้ เป็นเงื่อนไขเริ่มต้น หวังว่า จูกัดเหลียงจะยังมีเยื่อใยต่อครอบครัวของตนเอง
สถานการณ์ของวุยก๋ง โจผีที่เมืองหลวงฮูโต๋ ก็มีความกดดันตึงเครียดไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤตที่เมืองหลวงเพิ่งผ่านการโจมตีจากกองกำลังหลายฝ่าย และถูกเผาทำลายจนเสียหายไปครึ่งค่อนเมือง พระราชวังเองยังถูกเพลิงไหม้ไปกึ่งหนึ่ง บุคคลสำคัญในแวดวงข้าราชการ ตัวแทนจากต่างแดนในงานเลี้ยงพระราชทาน และราษฎรมากมาย ถูกสังหารตายเกลื่อนกลาดแผ่นดิน รวมไปถึงการจากไปของกษัตริย์เหี้ยนเต้ และผู้นำฝ่ายรัฐบาลถึงสองคน คือ วุยอ๋อง โจโฉ กับสมุหกลาโหม แฮหัวตุ้น
ยังดีที่ข้างกายของโจผี ยังมีกาเซี่ยง กุนซือใหญ่ให้ความช่วยเหลือเรื่องเฉพาะหน้าอย่างต่อเนื่อง สั่งการให้โจหยิน สมุหราชเลขาธิการ โจหอง สมุหนายก และขุนพลพยัคฆ์เตียวคับ ให้จัดทัพหลวงไปสมทบกับเตงงายที่ประตูเมือง เตรียมรับศึกกังแฮทางด้านใต้ ส่วนขุนนางกุยเฮง ขุนพลเทียนอู เตาจี๋ ให้ช่วยกันตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่บาดเจ็บล้มตายระหว่างการโจมตี ตลอดจนรายงานความเสียหายทั่วทั้งเมืองหลวง
ณ ที่ทำการชั่วคราวภายในพระราชวัง พวกที่จงใจก่อการยึดอำนาจตั้งแต่แรก อันได้แก่ โจผี กาเซี่ยง เตียวโถ กุยฮวย เป็นฝ่ายหนึ่ง ผู้ตกอยู่ในเหตุการณ์แบบจำยอม ได้แก่ โจสิด กับโจเจี๋ยสามพี่น้อง นับเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง กำลังเผชิญหน้ากัน เพื่อหาคำตอบที่เหมาะสมให้กับผู้คนด้านนอก โดยมีบุคคลสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง นั่นคือ ฮัวหิม เมธีน้ำค้างพราว ขุนนางผู้ใหญ่งานราชพิธี ซึ่งดูแลสาแหรกตระกูล ทายาทผู้สืบทอดราชวงศ์ฮั่นอยู่
เบื้องต้นนั้น โจผีกับพวก มุ่งหมายเพียงใช้งานเลี้ยงพระราชทาน เพื่อหาทางกำจัดเล่าปี่ ซุนกวนโดยไม่ต้องสูญเสียกำลังทหาร จึงแสร้งก่อกวนให้่ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเคลื่อนไหว แต่คาดไม่ถึงว่า ความวุ่นวายในพระราชวังมีความรุนแรงเกินการควบคุม จนทำให้วุยอ๋อง โจโฉ ผู้เป็นบิดา และสมุหกลาโหม แฮหัวตุ้น ตายไปก่อน ในขณะที่กษัตริย์เหี้ยนเต้กลับได้รับปาฏิหาริย์ เพิ่มพูนพละกำลังขึ้นแทน ทำให้โจผี กาเซี่ยงต้องตัดสินใจเปลี่ียนแผนกลางคัน สั่งปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เพื่อยึดอำนาจเอาไว้ในทันที
เมื่อได้ตรวจสอบจากปากคำของฮัวหิมแล้ว ทายาทอันดับหนึ่งของเชื้อพระวงศ์ ถึงกับเป็นเล่าปี่ ฮันต๋งอ๋อง พระเจ้าอา และ อันดับที่สอง ยังคงเป็น เล่าฮอง ทายาทของเล่าฉวนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งอ๋องแทนบิดา ซึ่งล้วนแต่เป็นศัตรูคู่แค้นกับสกุลโจทั้งสิ้น
กาเซี่ยง เตียวโถ จึงได้่แต่เสนอความคิดเห็นให้โจผีใช้สถานการณ์ครั้งนี้ ป้ายสีใส่พวกตระกูลเล่า ตระกูลซุน และยึดอำนาจกษัตริย์เปลี่ยนราชวงศ์ไปเสียเลยในคราวเดียว ดังนั้น เรื่องราวในพระราชวังจึงถูกบิดเบือน ตั้งแต่เหตุการณ์เมธีพิณสังหารลงมือ ไปจนถึงจุดจบที่เมืองหลวงถูกเผาทำลาย และเผชิญหน้ากับกองทัพกังแฮอยู่ในขณะนี้ ให้เป็นเรื่องราวที่เป็นคุณต่อโจผี ดังนี้
“ภายในงานเลี้ยงพระราชทาน ขบถกลุ่มแรก เป็น เมธีพิณสังหาร ซึ่งก็คือ ซุนเกี๋ยนปลอมตัวเข้ามา ร่วมมือกันกับพวกซุนกวนแห่งกังตั๋ง ต้องการปลงพระชนม์ฮ่องเต้ สังหารขุนนางนายทหาร แต่เกิดความผิดพลาดล้มเหลว จึงระดมกองทัพลับเข้ามาก่อเหตุความไม่สงบขึ้นในเมืองหลวง เผาทำลายบ้านเรือน เพื่อเปิดเส้นทางหลบหนีไปก่อน
จากนั้น ขบถกลุ่มที่สอง พวกเล่าปี่แห่งเสฉวน นัดแนะกันกองทหารพายุคลั่งกับพวกชนเผ่าเกี๋ยง เผ่าตี ฉวยโอกาสลงมืออย่างต่อเนื่อง ก่อการจราจลจากภายในพระราชวัง ลงมือสังหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้กษัตริย์เหี้ยนเต้ วุยอ๋องโจโฉ สมุหกลาโหมแฮหัวตุ้น และองครักษ์เคาทู พลอยเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ก่อนฝ่าประตูเมืองหลบหนีไปเช่นกัน
สุดท้าย ยังมีกองทัพกังแฮของเล่าฮองที่ยกมาภายหลัง เพื่อยึดอำนาจอยู่ภายนอกด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง ด้วยจุดประสงค์ชิงบัลลังก์ไม่ต่างไปจากสองขุมกำลังแรก
หลังจากที่วุยก๋ง โจผี กลับมาจากเมืองอ้วนเซีย ได้สะสางเรื่องราวราชสำนัก รับฟังคำให้การของฮัวหิม ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายราชพิธี ร่วมกันกับขุนนางนายทหารระดับสูง พบว่า เล่าปี่ เล่าฮองที่เป็นรัชทายาทผู้สืบทอด ล้วนเป็นขบถผู้ก่อการร้าย ไม่อาจยอมรับสาแหรกตระกูลเล่าอีกต่อไป ทั้งหมดจึงพร้อมใจกันยกโจผีขึ้นเป็นกษัตริย์แทน และเปลีี่ยนราชวงศ์ใหม่เป็นราชวงศ์วุยสืบไป”
โจสิด และโจเจี๋ยสามสาว ยิ่งรับฟังยิ่งคลั่งแค้นในใจ ไม่อาจให้ความร่วมมือกับพี่ชายจอมอำมหิตในแผนการดังกล่าว โจเจี๋ยฮองเฮาจึงฉีกหน้าด่าว่ากาเซี่ยง เตียวโถอยู่ตรงนั้นเอง โจผีกำลังอยู่ในสภาวะตึงเครียดกดดันมาทั้งวันทั้งคืน ถึงกับหน้ามืด เลือดลมพลุ่งพล่าน กลับสะบัดกระบี่ฟ้าสังหารในมือ แทงใส่โจเจี๋ยตายอยู่ตรงนั้นเอง
โจหัว นางสนมคู่แฝดผู้ไร้วิชาฝีมือ ซึ่งอยู่ข้างกายโจเจี๋ยมาตลอด สะอึกเข้าประคองร่างพี่สาวไม่ให้ล้มลง แต่โจผีไม่ทันสังเกต นึกว่าเป็นแฝดโจเซียงซึ่งมีวิทยายุทธ์สูง หมายจะลงมือแก้แค้นต่อตนเอง จึงพลอยสะบัดกระบี่เข้าใส่ กลายเป็นตวัดผ่านลำคอสาวงามคนน้อง ตายไปอีกหนึ่งคนโดยไม่ตั้งใจ
โจสิด โจเซียง ตวาดด่าทอใส่โจผี พร้อมใช้กระบี่ตอบโต้คืนบ้าง แต่เตียวโถ กุยฮวย ชิงรับมือแทน กาเซี่ยงเห็นว่า เหตุการณ์ยิ่งมายิ่งลุกลาม จึงเขย่าแขนโจผีให้คืนสติ สั่งการให้ทั้งหมดยั้งมือต่อกัน
“เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกส่ิงทุกอย่างไม่อาจหวนคืน จงเชื่อมั่นในพี่ใหญ่คนนี้เถิด” โจผีร่ำร้องขอความร่วมมือจากน้องต่างมารดาทั้งสองคน
โจสิดพอผ่านประสบการณ์การเมืองมาบ้าง เข้าใจในสถานการณ์ของสกุลโจ จึงทิ้งกระบี่ลงกับพื้น ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม หากแต่โจเซียงยังไม่ลดละอาฆาตแค้นที่สูญเสียพี่สาวทั้งสอง จึงดีดตัวถอยหลัง พร้อมหยิบเกาทัณฑ์ขึ้นยิงผ้าโพกศีรษะของโจผีไปตรึงอยู่กับเสาใหญ่ทางด้านหลัง จนผมเผ้าหลุดลุ่ยปรกใบหน้าของโจผีที่กระตุกขึ้นด้วยความแค้นเคือง “วันนี้ ข้าขอประกาศตัดขาดความเป็นพี่น้องกับท่าน ต่อไปภายหน้า หากท่านลงมือด้วยอำมหิตเช่นนี้ เกาทัณฑ์ของข้าจะไม่ผิดเป้าหมายอีก”
พอกล่าวจบ โจเซียง ลูกศิษย์ไม่เป็นทางการของแฮหัวเอี๋ยน ก็ลอยตัวจากไปพร้อมกับสายฝนที่จางหาย เลือกที่จะใช้ชีวิตในเส้นทางจอมยุทธ์พเนจร ช่วยเหลือคนตกยาก แทนที่จะต้องทนทุกข์กับความหลังที่เศร้าหมองในวังหลวงไปอีกนาน
ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวตามแผนการของกาเซี่ยง เตียวโถ จึงถูกจัดเตรียมนัดแนะกันไว้อีกครั้ง โดยเพิ่มเติมผู้ตายไปในเหตุการณ์ก่อการขบถในวังหลวงอีกสามคน คือ โจเจี๋ยฮองเฮา และนางสนมคู่แฝดซ้ายขวา โจเซียง โจหัว
สถานการณ์กองทัพกังแฮทางด้านใต้คลี่คลายลงไปแล้ว พวกโจหยิน โจหอง พร้อมกับเหล่าขุนนางนายทหารที่หลงเหลือจากเหตุการณ์ร้ายแรง จึงเข้ามารายงานตัวในท้องพระโรงชั่วคราว ซึ่งวุยก๋ง โจผี เป็นประธานในการประชุม ประกาศไว้อาลัยฮ่องเต้ วุยอ๋องและสมุหกลาโหมที่ตายในที่เกิดเหตุ ขุนนางกุยเฮง ขุนพลเทียนอู เตาจี๋ ตรวจสอบรายชื่อขุนนางนายทหารแล้ว สูญหายไปเกือบครึ่งค่อน รวมทั้ง องครักษ์จูกัดเอี๋ยน กุยห้วย ด้วย คาดว่า ทั้งสองจะแอบตามล่าคนร้ายไปโดยพละการ
ส่วนอาคันตุกะที่มาจากต่างแดน ไม่ว่าจะเป็นเผ่าซงหนู เซียนเปย โกกุเรียว เย่ ม่าน ล้วนถูกทำร้ายจากเผ่าเกี๋ยง เผ่าตี บาดเจ็บกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะตัวแทนเผ่าซงหนูนาม เล่าเปา ซึ่งเป็นรัชทายาทคนสำคัญของหัวหน้าเผ่า ถึงกับเสียชีวิตในระหว่างก่อการร้าย ทำให้พอคาดเดาเชื่อมโยงได้ว่า เผ่าเกี๋ยง เผ่าตี มุ่งหวังสยบอิทธิพลอำนาจของเผ่าซงหนูทางภาคเหนือ จึงถือโอกาสใช้งานเลี้ยงพระราชทานครั้งนี้ ก่อการสังหารบุคคลอันตรายของชนเผ่าฝ่ายตรงข้ามไปด้วยนี่เอง เกรงว่า อีกไม่นาน เผ่าซงหนูอาจจะต้องส่งคนมาสอบถามเรื่องราวกับรัฐบาลเสียแล้ว
พวกโจผีมีภารกิจเฉพาะหน้าที่สำคัญกว่า จึงพักเรื่องราวต่างแดนไว้ชั่วคราว รีบชักจูงส่งต่อให้ขุนนางราชพิธีฮัวหิม นำเข้าสู่เนื้อหาที่ต้องการ นั่นคือ การเปลี่ยนแผ่นดินจากราชวงศ์ฮั่นเข้าสู่ราชวงศ์วุย ขุนนางนายทหารระดับสูงหลงเหลือไม่มากอยู่แล้ว อีกทั้งอิทธิพลของสกุลโจก็ยั่งยืนค้ำบัลลังก์มานาน พอเกิดเหตุสูญเสียบุคคลระดับผู้นำสูงสุดไปถึงสามคน คือ กษัตริย์เหี้ยนเต้ โจโฉ แฮหัวตุ้นไปพร้อมกันกับการเปิดโปงแผนการยึดอำนาจของเล่าปี่ เล่าฮอง และซุนกวนด้วยเช่นนี้ ก็ไม่มีใจต่อต้านขัดขืนอีกต่อไป พร้อมใจกันยกให้โจผีเป็นกษัตริย์ขึ้นครองราชย์สมบัติแทนโดยง่าย
กษัตริย์โจผีรีบสั่งการต่อเนื่อง กวาดล้างคนราชสกุลเล่าที่หลงเหลือ และกลุ่มคนที่กษัตริย์เหี้ยนเต้แต่งตั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด พร้อมกับยกเลิกตำแหน่งวุยอ๋อง วุยก๋ง และมหาอุปราช คงเหลือแค่สามเสนาบดีหลักให้เป็นขุนนางชั้นสูงสุด ให้โจหยินเป็นสมุหกลาโหมแทนแฮหัวตุ้น กาเซี่ยงเป็นสมุหราชเลขาธิการแทนโจหยิน และโจหองเป็นสมุหนายกเช่นเดิม ส่วนสุมาอี้เป็นกุนซือใหญ่แทนกาเซี่ยง บุคคลอื่นให้คงตำแหน่งเดิม แต่เลื่อนชั้นเบี้ยหวัดขึ้นตามสมควร ทั้งนี้ กลับละเลยตกหล่นโจสิดไป ไม่ได้ประกาศแต่งตั้งให้เข้ารับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ทั้งที่สมควรได้เป็นอ๋องด้วยแล้ว
ณ ลานกว้างหน้าประตูเมืองเป๊กเต้เสีย ถูกจัดตั้งเป็นเพิงกระโจมเปิดโล่ง พร้อมโต๊ะตั่งสามตัว จัดวางเป็นสองแถวหันเข้าหากัน กลายเป็นสถานที่เจรจาความเมืองระหว่างฝ่ายเล่าปี่กับขงเบ้ง ท่ามกลางสายตาของคนทั้งสองกองทัพ โดยนัดหมายกันไว้ให้ส่งตัวแทนที่ตัดสินใจได้ มาพูดคุยได้เพียงแค่สามคน
ฝ่ายเล่าปี่เป็นฝ่ายยื่นขอเจรจาความ จึงแสดงความจริงใจ เปิดประตูเมืองบานเล็กควบม้าไปยังจุดนัดหมายก่อน ย่อมเป็นเล่าปี่ เสียวเอียนจื่อ และจูล่ง ซึ่งครบถ้วนทั้งสติปัญญา พลังฝีมือ และอำนาจในการตัดสินใจ ส่วนภายในเมือง ล้วนฝากฝังให้อุยเอี๋ยนเป็นผู้นำทัพเป๊กเต้เสีย เพื่อเตรียมพร้อมลงมือช่วยเหลือยามฉุกเฉิน
ฝ่ายขงเบ้งรอคอยอีกครู่ใหญ่ กองทหารค่อยเปิดทางให้คนควบม้าออกมาสามคน ดูจากระยะไกล สมควรเป็นม้าเฉียว ม้าต้าย และบุคคลลึกลับคลุมหน้าอีกผู้หนึ่ง พอมาถึงจุดนัดหมาย ค่อยเปิดผ้าออก ถึงกับเป็นจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง มาด้วยตนเอง ส่ิงที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ก็คือ ขงเบ้งสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ แตกต่างจากภาพกุนซือขาพิการบนเก้าอี้ล้อหมุนที่ผ่านมาหลายปีอย่างสิ้นเชิง
“เรื่องประหลาดใจในโลกนี้มีมากมายนัก เราเจตนาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญต่อการเจรจาครั้งนี้ จึงยอมเปิดเผยความลับให้พวกท่านดอก” ขงเบ้งกล่าว
เมื่อต่างฝ่ายต่างมีหัวหน้าใหญ่มาเอง จึงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมเสียเวลา ข้อเสนอของเล่าปี่ คือ การเรียกคืนขุมกำลังเสฉวนให้กับสกุลเล่าทั้งหมด เพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวประกันฮองเย่อิง จูกัดเจี๋ยม และตำแหน่งมหาเสนาบดีให้กับจูกัดเหลียงเป็นอันดับสองของเสฉวนต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับดึงกลับสู่สภาวะเดิมก่อนการแตกหัก ยินยอมให้กับจูกัดเหลียงมีอำนาจทางการทหาร และสงบศึกการเมืองภายในดินแดนอีกครั้งหนึ่ง
หากแต่จูกัดเหลียงเดินหน้าแล้วย่อมไม่หวนกลับ จุดยืนของมันคือ ต้องการดินแดนบางส่วนไว้ส้องสุมกำลัง ตั้งแต่เมืองเสฉวน เมืองฮันต๋ง ไปจนถึงด่านแฮบังก๋วนเป็นดินแดนสามเส้าด้านตะวันตก ให้ขึ้นตรงอยู่กับขงเบ้งโดยให้ถือเป็นขอบเขตการปกครองของสกุลจูกัดเอง เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มเมืองเกงจิ๋วที่กวนอูสามารถจัดการเรื่องราวต่างๆได้เองในอดีต โดยขอคุมตัวรัชทายาทเล่าเสี้ยนไว้เป็นตัวประกัน และเสนอเพียงกองทหารพร้อมเสบียงที่พวกลิเงียมดูแลกึ่งหนึ่ง แลกเปลี่ยนกับข้อเสนอแม่ลูกทั้งสองคน
พวกเล่าปี่ เสียวเอียนจื่อ เข้าใจความหมายได้ในทันที ขงเบ้งถือว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถึงกับขอเจรจาแบ่งปันดินแดนเสฉวนเสียแล้ว ฝ่ายตรงข้ามต้องการยึดครองสองเมืองใหญ่ฟากตะวันตก ปล่อยหัวเมืองระดับรองฟากตะวันออกให้กับตนเอง ย่อมเท่ากับบีบให้เล่าปี่ต้องรีบเร่งขยายอาณาเขตไปทางเมืองอ้วนเซียของรัฐบาลฮั่นทางด้านเหนือ หรือ เมืองเกงจิ๋วของพวกกังตั๋งทางชายแดนตะวันออก กลายเป็นเส้นทางการรบที่ย้อนกลับกับขุมกำลังของตนเองเมื่อหลายปีที่ผ่านมาเสียแล้ว
“ตัวเราอายุยังน้อยอยู่ ผิดพลาดอย่างไร เราก็แค่เริ่มต้นนับหนึ่งได้ใหม่ แต่ตัวท่านสิแก่ชราแล้ว หากล้มเหลวในยามนี้ ทุกอย่างก็จบสิ้นกัน อันที่จริงเวลานี้ ตัวท่านมีเพียงเมืองเป็กเต้เสียในกำมือ นอกนั้น ติดต่อสั่งการไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หากเราไม่ติดที่ยังคิดอาศัยชื่อเสียงของท่านอยู่ เพียงตัดใจโบกมือสั่งบุกจู่โจม ท่านก็ไม่เหลือทางรอดแล้ว ดังนั้น การที่พวกเราแบ่งปันดินแดนกับกองทหารกันนั้น ก็ถือว่าท่านได้เปรียบยิ่งนักแล้วมิใช่หรือ” จูกัดเหลียง ถึงกับคิดจะฮุบดินแดนกึ่งหนึ่งของขุมกำลังเสฉวนไว้จริงๆ
เล่าปี่ที่แสร้งก้มหน้าครุ่นคิดมานาน รีบเงยหน้าสบตากับขงเบ้ง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับขวางพัดขนนกปิดบังสายตาไว้ “ไม้ตายของท่านไม่อาจใช้กับพวกเราดอก เพียงแค่ไม่สบสายตา พลังสะกดผู้คนก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เสียใจด้วยนะท่าน”
ขงเบ้งคล้ายอ่านความคิดของฝ่ายตรงข้ามได้ทะลุปรุโปร่ง หากไม่แสดงพลังฝืมือให้ประจักษ์ คงต้องลงไม้ลงมือกันแน่นอน มันจึงชิงยิงพลังดรรชนีใส่ก้อนหินขนาดย่อมที่ด้านข้างจนแตกกระจาย “ข้าได้กินบัวหิมะพันปี ฝึกวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นของชมพูทวีปมาช่วงเวลาหนึ่ง พลังฝีมือเพิ่มพูน ขจัดความบกพร่องในร่างกายแล้ว ท่านคงไม่อยากเสี่ยงลงมือแตกหักกับเรา จนต้องเกิดการสูญเสียดอก”
ขงเบ้งรีบเกลี้ยกล่อมต่อ “เราท่านย่อมรู้แก่ใจว่า เล่าเสี้ยนไม่ใช่ทายาทที่แท้จริงของท่าน ดังนั้น เราเพียงยึดตัวมันไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งสกุลเล่าต่อไปเท่านั้นเอง กองทหารเสฉวนในมือของลิเงียมมีทั้งสิ้นหกสิบหมื่น กึ่งหนึ่งคือสามสิบหมื่น รวมกับทหารเป๊กเต้เสีย และหัวเมืองฟากตะวันออกอีก น่าจะระดมได้อีกยี่สิบหมื่น รวมเป็นห้าสิบหมื่นนาย ย่อมสามารถทำให้ท่านมีต้นทุนทำสงครามกับฝ่ายใดก็ได้ในยามนี้”
ขงเบ้งหยุดเล็กน้อย ค่อยกล่าวจูงใจอีกครั้ง “เอาเถิด ข้าขอแนะนำเพิ่มเติมให้ท่านเริ่มต้นทำศึกกับพวกกังตั๋งที่มีขุนศึก และจำนวนทหารไม่มากมายเท่าดินแดนทางเหนือ อีกทั้งซุนกวนเจ้านครกับลกซุน กำเหลง เล่งทอง ยังกลับไม่ถึงถิ่นกำเนิด ท่านสามารถอ้างเหตุการล้างแค้นให้กับกวนอู เตียวหุย สองพี่น้องได้อย่างเต็มที่ แสร้งตีเมืองเกงจิ๋วที่มีพัวเจี้ยง จูเหียน ดูแล แต่ใช้เส้นทางเมืองบุเหลง เลงเหลง ฮุยเอี๋ยง เตียงสา ระดมคนเพิ่มอีกยี่สิบสามสิบหมื่น อ้อมเข้ายึดเมืองชีสอง ฐานทัพเรือกังตั๋งให้ได้โดยเร็วเถิด”
พวกเล่าปี่สบตากัน เห็นว่า การเจรจาคงต้องยุติลงเช่นนี้ การได้รับกองทัพตั้งต้นสามสิบหมื่น พร้อมเสบียง และดินแดนบางส่วนกลับมาเป็นต้นทุนสู้รบ ย่อมดีกว่าตายเปล่าตามคำข่มขู่ สุดท้าย เล่าปี่จึงเอ่ยปากรับคำกับจูกัดเหลียงไปด้วยความจำยอม
แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังคัดค้านขึ้น “ช้าก่อน” เป็นเสียงของขุนพลม้าเฉียวที่นิ่งเงียบมาตลอดการเจรจา ก้าวเท้าออกมายืนตรงหน้าของเล่าปี่อย่างไม่หวั่นเกรง
การเจรจานอกประตูเมืองจบสิ้นลงแล้ว กลุ่มคนเจรจาต่างแยกย้ายกลับที่มั่น อุยเอี๋ยน เงียมหงัน และขุนนางนายทหารรีบเข้ามาพร้อมหน้ากันในห้องประชุมทัพ เล่าปี่คล้ายเหนื่อยอ่อน จึงโบกมือให้เสียวเอียนจื่อเป็นคนอธิบายเรื่องราวทั้งหมดแทน ในขณะที่จูล่งเคลื่อนกายอ้อมไปด้านหน้าประตู ปิดเส้นทางเข้าออกอย่างเงียบงัน
“...จนถึงเงื่อนไขสุดท้ายที่ได้รับมา พวกเราจำเป็นต้องเสียสละนายทหารคนหนึ่ง เพื่ือคลี่คลายปัญหาค้างคาใจให้กับคนสกุลม้าก่อน พวกเรามิอาจปฏิเสธได้ จึงต้อง...” เสียวเอียนจื่อคล้ายอัดอั้นตันใจ จนไม่อาจพูดต่อได้อีก
ขุนพลชรา เงียมหงันตระหนักอยู่แก่ใจว่า ตนเองมีหนี้แค้นกับม้าเฉียวอย่างใหญ่หลวง เพราะเพิ่งก่อเหตุทรยศสังหารม้าเลี้ยง จึงก้าวมาข้างหน้า พร้อมคุกเข่าคำนับต่อนายใหญ่ รำพึงรำพันคล้ายสั่งลา “ข้าน้อย เงียมหงัน เป็นเพียงทหารแก่ชรา หลายปีที่ผ่านมา ก็ได้อาศัยบุญบารมีของนายท่าน กินข้าวหลวงในกองทัพไปวันๆ จนมาถึงวันนี้ คงเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตให้มีความสำคัญต่อการเจรจาต่อรองครั้งนี้ จึงขอโอกาสให้ข้าน้อยได้แสดงความจริงใจต่อนายท่านด้วยเถิด” เงียมหงันก้มหน้าลงแอบซ่อนน้ำตาที่ไหลริน สร้างความสะทกสะท้อนใจจากผู้คนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมานาน
ฉับพลัน ร่างกายอ้วนกลมของเงียมหงัน ขุนพลเฒ่าที่เป็นนายพรานเก่า เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ กล้ามเนื้อแขนขาพองโตจนเสื้อผ้าฉีกขาด ดูคล้ายกับปีศาจคางคกตัวใหญ่ แสดงอาการคลุ้มคลั่ง กางกรงเล็บแหลมยาวพุ่งตรงไปข้างหน้า หมายจะทำร้ายเล่าปี่ ตันเตาในฐานะองครักษ์รีบชักกระบี่เข้าขวางทาง จึงถูกหมัดเหวี่ยงใส่ชายโครง จนเสียงกระดูกหักดังลั่น ร่างกายเซถลาไปตามแรงหมัด พร้อมกระอักเลือดกองโต
นางแอ่น จูล่ง และอุยเอี๋ยน เป็นยอดฝีมือมากประสบการณ์ พอเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ จึงไม่รอช้า รีบชักอาวุธคู่มือออกมาสกัดกั้นอสูรร้ายเงียมหงันเอาไว้ พร้อมฉุดรั้งเล่าปี่ให้พ้นรัศมีการโจมตี ในขณะที่อสูรร้ายที่ยิ่งมายิ่งรวดเร็ว ใช้กรงเล็บแทงใส่กลางอกจูล่ง แต่เสียวเอียนจื่อภรรยาเบี่ยงตัวมารับไว้แทน จนกรงเล็บทะลุกลางหลังแทน อาการสาหัสยิ่งนัก ต้องทรุดตัวลงเร่งพลังมังกรคืนสภาพให้ฟื้นฟูร่างกายโดยเร็ว
สองขุนพลจูล่ง อุยเอี๋ยน ยังคงลงมือต่อสู้กับอสูรร้าย แต่คล้ายยังลังเลใจ เล่าปี่เห็นท่าไม่ดีแล้ว จึงตัดสินใจเด็ดขาด “จับตายให้กับเรา”
แสงสีเขียวสว่างวูบขึ้นจากดวงตาของเล่าปี่ ร่างอสูรร้ายคล้ายถูกสะกดนิ่งชะงักไปวูบหนึ่ง ดาบสยบมังกรในมือของจูล่ง และง้าวสั้นด้ามคู่ในมือของอุยเอี๋ยน ตวัดขึ้นตัดแขนทั้งสองข้างของเงียมหงันกระเด็น เลือดสีเขียวแปลกตาหลั่งไหล แต่อสูรร้ายร่างอ้วนใหญ่กลับไม่สนใจล่าถอย ลอยตัวถีบเท้าเข้าใส่เล่าปี่ ผู้เป็นเป้าหมายหลักอีกเช่นเดิม
นางแอ่นรีบลุกขึ้นผลักไสเล่าปี่ให้พ้นภัย เชื่อมั่นในพลังมังกรคืนสภาพใช้หน้าท้องยอมรับแรงกระแทกแทน พร้อมยึดกุมข้อเท้าศัตรูเอาไว้ให้อยู่เป็นเป้านิ่ง จูล่งรีบสะบัดดาบใหญ่ตัดคอของอสูรร้ายขาดลอยไปในทันที พอปีศาจร้ายสิ้นฤทธิ์เดชแล้ว ค่อยกลับคืนสู่สภาพเดิมกลายร่างเป็นขุนพลชราเงียมหงันอีกครั้ง
กุนซือนางแอ่นขมวดคิ้ว พลางสอบถามกับตันเตาที่ยังนอนพิงร่างอยู่กับพื้น ในฐานะที่ทำหน้าที่สายข่าวด้วย “ใช่เป็นอาการประหลาดเช่นเดียวกันกับบิฮองก่อนตายตามที่ได้รับรายงานมาหรือไม่”
องครักษ์ตันเตาพยักหน้ารับคำ หรือว่า เงียมหงัน อดีตนายพรานจากป่ากว้างแถบเสฉวนที่โลดแล่นในดินแดนทางตะวันตกมาเนิ่นนาน อาจจะมีเบื้องหลังซ่อนเร้นเสียแล้ว
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา