27 ก.ย. 2021 เวลา 00:05 • นิยาย เรื่องสั้น
6.25. พายุโลกันต์ตั้งเค้า
กุยเฮง (จีฮเย_ปัญญา) กุยห้วย (จียง_กล้าหาญ) กุยฮวย (จีอึน_กตัญญู) จารชนแดนแพกเจ
ภาพรวมของแผ่นดินจีนในยามนี้ นับว่า ขุมกำลังหลักสามฝ่ายกำลังระส่ำระสายอย่างหนัก ด้านวุยก๊กที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ แต่พระราชวังเองกลับถูกเผาทำลายไปหลายหลัง แถมซ้ำเมืองหลวงฮูโต๋ก็ตกอยู่ในสภาพยับเยิน พายุฝนที่ตกนานหลายวันก่อให้เกิดแผ่นดินถล่ม และน้ำท่วมขังหลายแห่ง บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างพังพินาศ ไร่นาเสบียงอาหารเสียหาย สุดท้าย ยังเกิดโรคระบาดจนประชาชนล้มตายไปครึ่งค่อนเมือง
กษัตริย์โจผีเผชิญปัญหารุมเร้ามากมาย การเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ยังคงมีแรงต่อต้านระลอกแล้วระลอกเล่า ขันทีอาวุโสเตียวโถสบช่องจึงได้แนะนำคนคนหนึ่งให้กับฮ่องเต้องค์ใหม่ เป็นเขาเฉียว อดีตโหรหลวงราชวงศ์ฮั่น โดยอ้างว่า หลายสิบปีก่อน เขาเฉียวสำรวจชะตาเมืองแล้ว เห็นว่า ราชวงศ์ฮั่นไม่ยั่งยืน จึงหลบหนีความวุ่นวายปลีกตัวไปอาศัยตามป่าเขา พอผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเป็นกษัตริย์โจผีขึ้นครองราชย์แทน เขาเฉียวสำรวจพบโองการสวรรค์สอดคล้องกัน จึงอาสากลับมาถวายการรับใช้กษัตริย์อีกครั้ง
ที่จริง พวกขบวนการฟ้าดินฝั่งวุยก๊กกำลังต้องการหาพื้นที่สำคัญให้กับเขาเฉียวที่จบสิ้นภารกิจกับซุนเกี๋ยน และตระกูลซุนไปแล้ว จึงลบล้างตัวตน กวนลอ ซินแสโลกทิพย์ กลับคืนสู่โฉมหน้าที่แท้จริง ใช้ชื่อแซ่ดั้งเดิม เขาเฉียว อดีตโหรหลวงชื่อก้อง เปิดตัวเข้าสู่พื้นที่ข้างกายของกษัตริย์ราชวงศ์วุยแทนอย่างงดงาม
เมื่อเขาเฉียวได้รับตำแหน่งแล้ว จึงแนะนำเรื่องสำคัญเพื่อค้ำจุนชะตาราชวงศ์ใหม่สองเรื่องทันที เรื่องแรกคือ การให้ย้ายเมืองหลวงกลับไปอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงแทน โดยเสนอให้ใช้ปราสาทนกยูงทองแดงเป็นที่ว่าราชการชั่วคราวไปพลางก่อน จนกว่าพระราชวังเก่าจะได้รับการบูรณะซ่อมแซมเสร็จสิ้น ซึ่งที่จริง แนวคิดเช่นนี้ก็เป็นการประหยัดงบประมาณและเวลาในการฟื้นฟูสภาพเป็นอย่างมาก
งานสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ในขณะที่เมืองฮูโต๋เองก็ต้องได้รับการฟื้นฟูขึ้นดังเดิมเช่นกัน โจผีจึงให้โจหอง สมุหนายกรับหน้าที่ปรับปรุงเมืองลกเอี๋ยง ให้โจหยิน สมุหกลาโหมรับหน้าที่ซ่อมแซมเมืองฮูโต๋ ส่วนน้องชายต่างมารดาโจสิด ให้ไปดูแลก่อสร้างสุสานหลวงประจำราชวงศ์ให้กับโจโฉ ผู้ที่ได้รับการสถาปนาย้อนหลังให้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์วุยด้วย จึงคล้ายเป็นการสร้างภาระหนักหน่วงให้กับบุคคลทั้งสามแบกรับ โดยให้กุนซือใหญ่ สุมาอี้ ช่วยดูแลงานขุนคลังแทนจงฮิวที่ตายไป เพื่อควบคุมการเงินสำหรับงานก่อสร้างโครงการใหญ่โตเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
ภายในห้องทรงพระอักษร ข้างกายกษัตริย์โจผีที่อ่อนล้าจากการปรับเปลี่ยนบทบาทใหม่ มีเพียงเตียวโถ หัวหน้าขันที เขาเฉียว โหรหลวง กาเซี่ยง สมุหราชเลขา และสุมาอี้ กุนซือใหญ่ รวมทั้งจูกัดเอี๋ยนที่กลับมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าองครักษ์วังหลวงอีกครั้ง อยู่ถวายการรับใช้ ที่น่าสะดุดใจคือ เป็นตัวละครที่เคยรุมล้อมกษัตริย์เหี้ยนเต้มานาน
เขาเฉียวผู้สูงวัยในชุดโหรหลวงจึงเริ่มเปิดเผยเรื่องสำคัญเรื่องที่สองที่เป็นประเด็นลับ “ยังมีเรื่องหนึ่งต้องกราบทูลให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย ข้าพระองค์ตรวจสอบดวงชะตาแล้ว เห็นว่า นางเอียนซีเกิดในราศีดอกท้อ มากชายหลายผัว มิคู่ควรต่อการยกย่องให้เป็นฮองเฮา กลับเป็นหญิงงามอีกผู้หนึ่ง มีความเหมาะสมมากกว่า”
โจผีเลิกคิ้วเชิงไต่ถาม เขาเฉียวจึงกล่าวต่อ “เป็นนางกุยฮวย บุตรีของกุยเฮง จอมยุทธ์หญิงที่ซ่อนตัวอยู่ในมวลหมู่นางระบำพะยะค่ะ”
โจผีแม้เคยถูกใจในตัวนางรำคนงาม แต่เคยให้คนสืบประวัติครอบครัว พบว่า อาจมีปัญหาด้านชาติกำเนิด ไม่อาจสานต่อ จึงสอบถามกับกาเซี่ยงอีกครั้ง “ตกลงว่า บรรพบุรุษของนางสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าโกกุเรียว มิใช่หรือ”
“กุยเฮง เดิมชื่อ จีฮเย (สติปัญญา) มีเชื้อสายเดียวกันกับชาวโกกุเรียวก็จริง แต่ที่จริงสังกัดเผ่าแพกเจ หนึ่งในสามก๊กของชาวโกกุเรียวที่เกิดสงครามวุ่นวายไม่แตกต่างจากพวกเราเลย แต่ตัวกุยเฮงมีนิสัยแตกต่างจากคนอื่นในครอบครัว กลับชื่นชอบศิลปวัฒธรรมชาวจีน จึงล่องเรือมาตั้งหลักปักฐาน แต่งงานกับสาวฮั่นอยู่ที่นี่แทน ตัวมันเองเห็นโอกาสที่รัฐบาลมีการติดต่อกับชนเผ่าต่างแดนมากมาย โดยเฉพาะชนเผ่านอกด่านแถบเหนือ จึงอาศัยความสามารถที่ชำนาญหลายภาษา ทำงานไต่เต้ามาทางสายการทูตต่างแดนมากว่าสามสิบปีแล้ว จนบัดนี้ ลูกทั้งสอง อันได้แก่ กุยห้วย หรือ จียง (กล้าหาญ) และกุยฮวย หรือ จีอึน (กตัญญู) ล้วนเติบใหญ่มีฝีมือดี และรับใช้ฝ่ายเราในสังกัดของท่านเตียวโถมาโดยตลอด” กุนซือกาเซี่ยงกล่าวสรุป
หัวหน้าขันทีเตียวโถจึงรับช่วงรายงานต่อ “กุยห้วย กุยฮวยสองพี่น้อง ล้วนมีสติปัญญาเลิศล้ำ โครงสร้างร่างกายเหมาะสม ข้าพระองค์จึงรับทั้งสองไว้เป็นลูกศิษย์ เผื่อวันหน้า ต้องรับใช้ใกล้ชิดกับพระองค์ ก็สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้พะยะค่ะ”
กษัตริย์โจผี เป็นทายาทของโจโฉ ย่อมเรียนรู้ความหวาดระแวง และกลการเมืองมาไม่น้อย จึงยังกังวลใจในตัวนางเอียนซีอยู่บ้าง “แต่เอียนมี่ก็มีเบื้องหลังเป็นถึงลูกสาวหัวหน้าเผ่าเซียนเปยคนก่อน เกรงว่าจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูตอยู่บ้าง”
พวกกาเซี่ยงดูคล้ายอ้ำอึ้ง ส่งสายตากันไปมา ค่อยเป็นสุมาอี้ที่เอ่ยปากเล่าเรื่อง “นับตั้งแต่หัวหน้าเผ่าเซียนเปยคนก่อนหายสาบสูญไป เอียนมี่ก็หลุดจากกลุ่มอิทธิพลชนเผ่าแล้ว ยิ่งระยะหลังนี้ นางถึงกับพาพระราชโอรสโจยอยออกไปใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านโจสิดที่ดูแลการก่อสร้างฮวงซุ้ยประจำราชวงศ์ จนเป็นที่ครหากันอื้ออึงอยู่”
กษัตริย์โจผีถึงกับตบโต๊ะเสียงดังด้วยความขุ่นเคือง สั่งการให้จูกัดเอี๋ยนไปจับตัวหญิงร้ายชายโฉดกลับมาชำระโทษ สำหรับโจผีแล้ว เรื่องอื่นยังพอทำเนา แต่พอเป็นเรื่องโจสิดกับนางเอียนซี คล้ายเป็นบาดแผลฝังใจที่ไม่อาจสะกิดได้เลย เห็นทีว่า โจสิดที่เพิ่งปรองดองกับพี่ชายได้ไม่นาน คงต้องได้รับความลำบากเพราะเรื่องหญิงงามเสียแล้ว
จูกัดเอี๋ยนเป็นหัวหน้าสายวุยก๊กก็จริง แต่ขบวนการฟ้าดินฝั่งนี้ล้วนแต่เป็นชนชั้นอาวุโส สำคัญทั้งสิ้น บีบคั้นจนตัวมันไม่กล้าแสดงความคิดเห็นมากมาย ได้แต่เคลื่อนไหวตามสถานการณ์ไปก่อนตามที่ได้รับคำสั่งมาจากจูกัดเหลียง “ก่อกวนให้โจผีกลายเป็นจอมโฉดชั่ว วุ่นวายแต่เรื่องราวภายใน ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการศึกของสองก๊กทางใต้”
สภาพการเมืองด้านเสฉวนมีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน หลังจากที่เล่าปี่ ขงเบ้งตกลงพันธะสัญญาเมืองเป๊กเต้เสียแล้ว ขงเบ้ง กุนซือมังกรซ่อนและม้าเจ๊ก กุนซือจอมจัดฉาก ก็ตีข่าวรัชทายาทตามสาแหรกฮั่น ยกย่องให้ฮันต๋งอ๋อง เล่าปี่ตั้งตนเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นใต้ ขึ้นมาคานอำนาจกันกับกษัตริย์โจผีในทันที เปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากเสฉวนเป็นเซงโต๋ และเรียกเขตแดนเสฉวนทั้งหลายเป็นแคว้นจ๊กก๊ก ให้ศักดิ์ศรีทัดเทียมกันกับวุยก๊กของพวกสกุลโจในทันที รวมทั้งแต่งตั้งให้เล่าเสี้ยนเป็นรัชทายาท
แต่ด้วยกษัตริย์เล่าปี่มีพระราชดำริต้องการทำสงครามกับพวกกังตั๋ง ล้างแค้นแทนน้องร่วมสาบาน จึงประกาศไม่ขอหวนคืนเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว ฝากฝังพร้อมมอบตราประจำตำแหน่งให้ขงเบ้งในตำแหน่งใหม่ มหาเสนาบดี เป็นผู้ดูแลเมืองเซงโต๋ แทนไปก่อน พร้อมกับคอยคุ้มครองรัชทายาทเล่าเสี้ยนไปพร้อมกันด้วย
โครงสร้างทางการเมือง รองลงมาจากกษัตริย์เล่าปี่ มหาเสนาบดีขงเบ้ง แล้ว จึงเป็นแม่ทัพสวรรค์จตุรทิศ อันได้แก่ เหนือ - ขุนพลเงาหิมะ ม้าเฉียว ใต้ - ขุนพลพายุคลั่ง อุยเอี๋ยน ตะวันออก - ขุนพลท่องเมฆา จูล่ง ตะวันตก - ขุนพลวิหคสวรรค์ เสียวเอียนจื่อ จากนั้น ค่อยเป็นขุนนางนายทหารคนอื่นๆลดหลั่นกันไป ซึ่งเท่ากับลดชั้นความสำคัญของเสียวเอียนจื่อที่เดิมทัดเทียมกันกับตนเองในตำแหน่งกุนซือ ให้ลงไปอยู่ในกลุ่มแม่ทัพสวรรค์ รับตำแหน่งขุนพลแทนกวนอู เตียวหุย ฮองตง ผู้ล่วงลับ
ภารกิจแรกที่เกิดขึ้นในจ๊กก๊กนี้ คือการตระเตรียมกองทัพเพื่อทำสงครามกับกังตั๋ง โดยเล่าปี่สั่งการผ่านขงเบ้งให้ลิเงียม งอปั้น งออี้ เล่าป๋า นำกองกำลังสามสิบหมื่น เดินทางออกจากเมืองเซงโต๋ มุ่งไปสมทบกับพวกเล่าปี่ที่เมืองบุเหลงในทันที
ภาพของกองทัพอันเกรียงไกร ภายใต้การนำทัพของพวกลิเงียม ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขบถหัวเก่า ฝักใฝ่เล่าเจี้ยงเมื่อไม่กี่วันก่อน พากันเดินทางออกจากเมืองหลวง สวนทางกันกับกองทัพหัวเมืองฝ่ายขงเบ้ง ม้าเจ๊ก เล่าเสี้ยน ที่ชายป่าด้านนอกประตูเมืองเพียงชั่วก้านธูป ต่างฝ่ายต่างหลีกเลื่ยงไม่ต้องให้เจอหน้ากันตรงๆให้ต้องเสียกิริยาต่อกัน
หากแต่เมื่อพวกขงเบ้งยกพลเข้ามาถึงภายในค่ายทหารใหญ่แล้ว กลับมีการจัดพิธีรับมอบกองทัพอีกสามสิบหมื่นนาย​ โดยขุนพลรองเลียวฮัว ขุนนางชั้นกลางบิฮุยเป็นผู้สั่งการ แสดงว่า หากวันก่อนเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นจริง กองทัพใหญ่หกสิบหมื่น อาจจะเกิดการเข่นฆ่าสังหารกันเอง เพราะการเมืองสองขั้วอำนาจที่แอบแฝงตัวอยู่เช่นนี้
ยังมี ฝ่ายเล่าปี่นับว่า รักษาสัญญาแลกเปลี่ยน ยอมส่งตัวฮองเย่อิงกับจูกัดเจี๋ยมกลับมา เปลือกนอก เหมือนเป็นการเสียเปล่า แต่การที่ทั้งสองกลับมาอยู่กับขงเบ้ง ยิ่งทำให้ขงเบ้งทำงานอุกอาจได้ไม่ถนัด ด้วยเกรงว่าจะเสียภาพพจน์ความเป็นคนดีในสายตาของครอบครัว ซึ่งยังนับว่าโชคดีที่เรื่องราวของพันธะสัญญาเมืองเป๊กเต้เสียนั้น มีคนล่วงรู้ไม่มากนัก เปลือกนอกของแคว้นฮั่นใต้ จ๊กก๊ก จึงยังคงเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ภายใต้การปกครองของคนสกุลเล่าเช่นเดิม และขงเบ้งก็ยังคงเป็นข้าราชบริพารผู้จงรักภักดียิ่งนัก
เพื่อความสะดวกในการดูแลความปลอดภัยของบุคคลสำคัญอย่างเล่าเสี้ยน รัชทายาท ขงเบ้งที่ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ตนเอง ยกเลิกการใช้เก้าอี้ล้อหมุน กลับมาเดินเหินเป็นปกติให้ดูมีสง่าราศรีสมกับตำแหน่งสำคัญ จึงย้ายเข้ามาพักอาศัยอยู่ในจวนที่พักเดิมของเล่าปี่ด้วยกันเสียเลย จนกว่าพระราชวังแห่งใหม่จะก่อสร้างเสร็จสิ้น และเมื่อกลับเข้าสู่ที่พัก อยู่เพียงลำพังกับเล่าเสี้ยนแล้ว ขงเบ้งค่อยยกมือเค้นลำคอฝ่ายตรงข้าม พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าคือใครปลอมแปลงมา จงรีบสารภาพมาเถิด”
เล่าเสี้ยนตัวปลอมตระหนักว่า ตนเองไม่ได้ตระเตรียมถึงการกลับสู่เมืองเสฉวน ไม่คุ้นเคยกับสถานที่พักอาศัยดั้งเดิม คงแสดงออกไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่อาจหลอกลวงกุนซือเลื่องชื่อได้อีกต่อไป จึงได้แต่คุกเข่าลงสารภาพ “ข้าน้อยมีนามว่า เตียวหอง เป็นเพียงเด็กรับใช้ในบ้านท่านจูล่ง ฮูหยิน(เสียวเอียนจื่อ)ไม่ต้องการให้นายน้อย(เล่าเสี้ยน)เสี่ยงไปเป็นตัวประกันที่เมืองอ้วนเซีย จึงให้ข้าน้อยใส่หน้ากากพิสดารปลอมแปลงเป็นนายน้อยมาโดยตลอด แต่หากถูกพบเห็นจับพิรุธได้ ท่านเสียวให้ข้าน้อยมอบของสิ่งนี้ให้กับท่าน เพื่อขอให้ไว้ชีวิตขอรับ” พูดเสร็จ เตียวหองจึงล้วงเอาถุงผ้าใบน้อยมอบให้กับขงเบ้ง
ขงเบ้งเชื่อมั่นในวิทยายุทธ์ตนเอง ไม่เกรงกลัวว่าจะมีลูกไม้ในถุงผ้า จึงเปิดออกดู พบเห็นเป็นเพียงป้ายหยกรูปมังกรแหวกเมฆที่มีวางขายทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาใบหน้าของเตียวหองอีกครั้ง ค่อยเข้าใจในความคิดของกุนซือนางแอ่นได้ในทันที เรียกเสียงหัวร่อ พร้อมครุ่นคิดภายในใจ “ที่แท้ มันก็คือทายาทลับของเตียวหยุน เตียวจูล่งนั่นเอง ตัวประกันของเรากลับมิใช่ลูกจอมปลอมของเล่าปี่ แต่เป็นลูกแท้ๆของจูล่งไปเสียได้”
“เอาเถิด เจ้าจงสวมบทบาทเป็นเล่าเสี้ยนต่อไป อย่าให้ใครจับได้ก็แล้วกัน” ขงเบ้งกล่าวทิ้งท้าย คาดไม่ถึงว่า เสียวเอียนจื่อก็มีไม้ตายเช่นนี้ ถึงกับหลอกลวงตนเองกับคนอื่นที่เมืองอ้วนเซียให้หลงเชื่อมาได้ตั้งนาน หญิงลึกลับคนนี้ มีฝีมือไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
สถานการณ์ของวุยก๊ก จ๊กก๊กว่าปั่นป่วนแล้ว สภาพทางการเมืองของดินแดนกังตั๋งกลับวุ่นวายยิ่งกว่า เพราะเวลาผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว พวกซุนกวน ลกซุน กำเหลง เล่งทองทั้งหลายที่ล่องเรือหลบหนีไปทางแม่น้ำฮวงโห คล้ายหายสาบสูญไปกับพายุฝนกระหน่ำในครั้งนั้น สร้างความรุ่มร้อนใจให้กับบุคคลทั้งหลายเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อเริ่มได้ยินข่าวการเตรียมทัพใหญ่ดังกระหึ่มมาจากดินแดนฝั่งเสฉวน
จริงอยู่ว่า เส้นทางล่องแม่น้ำฮวงโหต้องอ้อมแผ่นดินออกสู่ทะเลใหญ่ก่อนสักพักหนึ่ง ค่อยวกกลับเข้าสู่แม่น้ำไต้กัง คราวก่อนที่มีสงครามการทูต ลกซุนเคยสำรวจเส้นทางแล้ว ใช้เวลาเร็วสุดเพียงสิบห้าวัน ช้าสุดยี่สิบวัน ดังนั้น การทอดเวลามาเกือบหนึ่งเดือน จนศัตรูชิงตั้งก๊กยกตนเป็นกษัตริย์กันไปหมดแล้วเช่นนี้ ออกจะผิดปกติเกินไป
 
ขุนนางผู้ใหญ่ที่เป็นเสาหลักในตอนนี้ คงเหลือแต่เพียงเตียวเจียว ผู้อาวุโสสูงสุด รองลงมา ก็เป็น โกะหยง จูกัดกิ๋น ส่วนด้านขุนพลนายทหาร นอกเหนือจากพัวเจี้ยง จูเหียนที่ยังเฝ้าระวังอยู่ที่ชายแดนสำคัญเมืองเกงจิ๋วแล้ว ก็คงเหลือแต่ชีเซ่ง เตงฮอง ที่เพิ่งแตกพ่ายศึกสมรภูมิทุ่งเตียงปัน แต่ยังดีที่ช่วยนำพานายน้อยซุนเต๋งกลับมาได้เท่านั้น ดังนั้น เตียวเจียวจึงได้แต่ให้ขุนพลทั้งสองดูแลจัดการทัพเรือที่เมืองชีสอง และส่งคนออกตามหาเจ้านายเป็นการด่วน พร้อมเตรียมการรับศึกใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
พวกคนสกุลซุนที่พอมีวัยอันสมควร แต่ล้วนมิได้มีตำแหน่งราชการ อันได้แก่ ซุนลอง น้องชายต่างมารดาที่เป็นผู้นำสหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยก ซุนเต๋ง บุตรชายคนโตของซุนกวนที่เป็นทายาทสืบทอดโดยตำแหน่ง และฮกหวน ลูกชายคนรองของฮกเหอที่เพิ่งเริ่มมีบทบาททางทหารแทนบิดาฮกเหอ และพี่ชายฮกเสียว ที่เสียชีวิตไป ต่างรับรู้ความคับขันของสถานการณ์ที่คลับคล้ายกับการจากไปของซุนเซ็กในคราก่อน ได้แต่สงบนิ่งระวังตัวอยู่แต่ในจวนที่พักสกุลซุน เพื่อรับฟังข่าวคราวความเปลี่ยนแปลง
สืบเนื่องจากเหตุลอบสังหารซุนเซ็กและจิวยี่เป็นต้นมา เมื่อซุนเกี๋ยนเปิดเผยตัวตน จึงเกิดความหวาดระแวง จัดตั้งกฏเกณฑ์พิสดารให้กับสกุลซุนผ่านทางซุนกวน นั่นคือ เหล่าทายาทที่ยังมีอายุน้อย จะถูกเก็บตัวไว้ในสถานที่ีลึกลับ ไม่เคยพบปะสุงสิงกับขุนนางนายทหารจนกว่าจะถึงอายุอันสมควร ค่อยถูกพากลับมาแดนกังตั๋ง โดยให้เหตุผลว่า เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดของคนในครอบครัว เฉกเช่น ซุนเต๋ง ฮกหวน ก็เพิ่งถูกแนะนำตัวก่อนเกิดงานเลี้ยงพระราชทานเมื่อไม่นานนี้เอง
ความอึมครึมทางการเมืองของดินแดนใต้สร้างความกดดันอยู่ไม่น้อย ยังดีที่พวกขุนนางเก่าแก่ยังพอช่วยกันรับเอาไว้ได้ แต่กลับเป็น จูกัดเก๊ก ลูกจูกัดกิ๋น โกะถำ หลานโกะหยง เตียวฮิว ลูกเตียวเจียว และตันเปียว ลูกตันบูผู้ล่วงลับ ที่ถูกคัดสรรให้เป็นเพื่อนร่วมเรียนกับซุนเต๋ง จนได้รับฉายาเป็นห้าพยัคฆ์น้อย และเพิ่งถูกเรียกตัวกลับมาจากสำนักอาจารย์ คล้ายกังวลใจแทนสหายร่วมกลุ่ม จึงพากันไปเยี่ยมเยียนซุนเต๋งที่เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านพักร่วมกับซุนลอง ฮกหวน นับตั้งแต่กลับมาจากเมืองอ้วนเซีย
“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด ซุนเต๋งไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก” เสียงสดใสดังขึ้น พร้อมร่างของคุณชายรูปงามที่ก้าวเดินออกมาจากทางด้านหลัง หากคนที่ไปร่วมงานเลี้ยง ย่อมเข้าใจว่าเป็นซุนเต๋ง แต่สำหรับคนทั้งสี่แล้ว คุณชายที่ก้าวเข้ามา กลับเป็นดั่งยมทูตร้ายจากอเวจี ใบหน้าแต่ละคนล้วนซีดเผือด แสดงให้เห็นถึงความร้ายกาจของคนผู้นี้
“คุณหนูซุน เป็นท่านนี่เอง แล้วพี่ใหญ่ซุนเต๋งเล่า” จูกัดเก๊กยังฝืนยิ้มคารวะตามมารยาท พร้อมเอ่ยถาม “พวกเราเข้าใจว่าพี่ใหญ่กลับมาอยู่ที่นี่แล้ว”
“ซุนเต๋งเป็นทายาทคนสำคัญของสกุลซุนและดินแดนกังตั๋ง ท่านพ่อจึงให้ข้าปลอมตัวแทนน้องชายฝาแฝดไปร่วมในงานเลี้ยงตัวประกันแทน ซุนเต๋งตัวจริงถูกย้ายไปสถานที่ปลอดภัยสูงสุด มีแต่เพียงตัวข้า ซุนลู่ปัน ที่ออกโรงแทนตัวมัน” เสียงหญิงสาวในคราบคุณชาย ประกาศก้องแต่ไม่อาจปิดบังน้ำเสียงน้อยใจที่มีต่อซุนกวนผู้พ่อ
แน่นอนว่า งานเลี้ยงตัวประกันที่ดูสวยงามหรูหรานั้น เป็นงานเสี่ยงตายที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้น ซุนกวน ซุนเกี๋ยนที่มีวาระซ่อนเร้น ย่อมไม่ยินยอมเสี่ยงให้ซุนเต๋งตัวจริงไปร่วมงานด้วย จึงจัดฉากส่งลูกสาวที่เป็นฝาแฝดผู้พี่ของซุนเต๋งให้ปลอมตัวไปออกหน้าแทน จูกัดกิ๋น จิวท่าย แม้มีตำแหน่งสูงส่ง แต่ก็ไม่เคยพบเห็นหน้าตาที่แท้จริง จึงไม่ล่วงรู้ความนัย เว้นแต่ซุนลองที่มีศักดิ์เป็นอาเท่านั้น ที่ทราบเรื่องมาโดยตลอด
หากเปรียบเทียบกันแล้ว ซุนลู่ปันกับซุนเต๋งล้วนมีปัญญาเฉียบแหลมพอกัน แต่ฝ่ายหญิงจะเข้มแข็งกล้าหาญ น่าเกรงขามมากกว่า ในขณะที่ซุนเต๋งกลับมีนิสัยสุภาพอ่อนโยน เป็นที่รักของเพื่อนพ้อง ดังนั้น พอพวกจูกัดเก๊กพบหน้า จึงมีใบหน้าถอดสีให้เห็น เพราะเคยเผชิญกับอารมณ์ร้ายของคุณหนูมาบ่อยครั้งแล้ว
“อ้อ พวกเจ้าก็อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ความลับของสกุลซุนเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง โดยเฉพาะเวลาคับขันเช่นนี้ หากใครไม่ระวัง ปล่อยให้ข่าวลับรั่วไหล รับรองว่า บรรพบุรุษของพวกเจ้าก็ไม่อาจคุ้มครองชีวิตไว้ได้ อาจจะตายยกตระกูลไม่ทันรู้ตัว จำเอาไว้ด้วย” คุณหนูซุนลู่ปันขู่ขวัญสำทับแบบไม่ทิ้งลาย แม้แต่ซุนลองเองยังแอบส่ายหน้าด้วยความระอาใจ พวกจูกัดเก๊กจึงรีบคารวะอำลาโดยเร็ว
“เฮ้อ เมื่อไหร่จะเจอตัวท่านพ่อกับพวกนะ ข้าชักเป็นห่วงแล้วสิ ท่านอา” ซุนลู่ปันหันกลับมาบ่นใส่ซุนลอง ในขณะที่ฮกหวนเดินออกมาสมทบ “นี่ พี่หวน เราไปซ้อมอาวุธแก้กลุ้มกันเถอะ” ว่าแล้ว ซุนลู่ปันก็คว้าทวนยาวจากหิ้ง ส่งให้ฮกหวน พร้อมหยิบเพิ่มให้ตนเอง และลากตัวออกไปทางสวนด้านหลัง ทิ้งให้ซุนลองอยู่ตามลำพังในห้องโถง
“เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดห้าวหาญราวกับพี่ซุนเซ็กในอดีต แต่น่าเสียดายที่เกิดเป็นเพศหญิง ไม่เช่นนั้น คงจะเหมาะสมกับตำแหน่งทายาทสกุลซุนมากกว่าซุนเต๋งที่บอบบางอมโรคเสียด้วยซ้ำ ฟ้าดินช่างกลั่นแกล้งผู้คนยิ่งนัก” ซุนลองรำพึงในใจ
เตียวเจียว จูกัดกิ๋น กุยห้วย ตั๋งไป๋ ยังคงอยู่พร้อมหน้าภายในห้องลับของสกุลเตียว ตั้งแต่พวกจูกัดกิ๋นทั้งสามเดินทางมาถึง ก็เข้ามาอาศัยพักพิงอยู่สถานที่แห่งนี้ เพื่อรอจัดการต่อพวกซุนกวนตามแผนของจูกัดเหลียง แต่ปัญหาก็คือ พวกซุนกวนคล้ายหายสาบสูญไประหว่างทาง จนบัดนี้ ผ่านไปร่วมเดือนแล้ว ยังไม่รู้ชัดเจนว่า หลบหนีไปถึงแห่งใด
ยังดีที่เตียวเจียวคล้ายสงสัยในตัวของรัชทายาทซุนเต๋ง จึงแสร้งเรียกตัวเหล่าพยัคฆ์น้อยให้กลับมาเพื่อยืนยันตัวตนที่แท้จริง และในที่สุด ก็คาดเดาได้ถูกต้อง ซุนกวนอาศัยความได้เปรียบที่ผู้คนไม่รู้จักลูกชายคนโต จัดแจงให้ซุนลู่ปัน พี่สาวฝาแฝดมาออกหน้าแทน ส่วนซุนเต๋งตัวจริงกลับยังถูกซ่อนตัวไว้ในสถานที่เร้นลับเช่นเดิม
“ยามนี้ สำนักหุบเขาปีศาจขาดทุนยับเยิน ผู้นำซุนเกี๋ยนตายอย่างกระทันหัน ขุมกำลังสายนิกายแสงจรัสแตกแยกปั่นป่วน หลงเหลือเพียงสายนิกายเงาอสูรเป็นหลัก จึงเป็นไปได้ว่า ซุนกวนอาศัยการหลบหนีเป็นข้ออ้าง รอประเมินสถานการณ์ ค่อยกลับเข้ามาควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้งหนึ่ง” เตียวเจียวกล่าวสรุป “หากพวกเราคิดยึดครองพื้นที่แถบนี้เป็นฐานกำลัง ก็สมควรใช้โอกาสนี้กำจัดซุนกวนไปก่อน แล้วเก็บซุนเต๋งไว้เป็นหุ่นเชิด เช่นเดียวกันกับที่ท่านขงเบ้งใช้เล่าเสี้ยนเป็นหุ่นเชิดทางด้านเสฉวน”
“เพียงแต่ข้ายังไม่เข้าใจว่า เหตุไรน้องเหลียงจึงบงการให้เล่าปี่ยกทัพมาบุกกังตั๋งในตอนนี้” จูกัดกิ๋นขอคำปรึกษาด้วยตามไม่ทันความคิดของน้องชายตนเอง
“น้องท่านปรารถนาจะยิงนกสองตัวในคราวเดียวจึงรังสรรค์ฉากสงครามใหญ่ระหว่างเสฉวนกับกังตั๋งขึ้นมา ทางหนึ่ง ต้องการทำลายขุมกำลังเสฉวนในสายของเล่าปี่ และตัวเล่าปี่เองให้ย่อยยับเป็นการล้างแค้นให้ท่านจูกัดกุ๋ย และจูกัดจิ๋น ส่วนอีกทางหนึ่ง พอมีข่าวการศึก ย่อมกดดันให้พวกซุนกวนต้องเปิดเผยตัวออกมาที่แจ้ง บังคับให้เปิดเผยขุมกำลังสุดท้าย เพื่อหาทางกำจัดพวกมัน หลังจากนั้น พวกเราค่อยย้อนกลับขึ้นไปจัดการกับพวกวุยก๊กเป็นขั้นต่อไป” เตียวเจียวไขความข้องใจให้อย่างง่ายดาย
จะว่าไปแล้ว ขบวนการฟ้าดินก็สูญเสียผู้นำคนสำคัญอย่างจูกัดกุ๋ย และจูกัดจิ๋นไปด้วยเช่นกัน พวกชนชั้นหัวหน้าระดับรองลงมาจึงต้องพิจารณาความสามารถของผู้นำคนใหม่ แต่เนื่องจากขงเบ้ง-จูกัดเหลียงถือว่ามีความรู้ความสามารถสูง เหมาะสมกับการเป็นทายาทสืบทอด โดดเด่นเหนือกว่าคนอื่นๆ ทำให้ขุมกำลังลับนี้จึงขับเคลื่อนต่อไปได้ ทั้งๆที่คนทั้งหลายกระจัดกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน และมีอำนาจหน้าที่ใหญ่โตทั้งสิ้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราคงฝากให้ กุยห้วย ตั๋งไป๋ และกลุ่มนักสู้ผู้พิทักษ์ เตรียมตัวให้พร้อม รอจังหวะลงมือก่อนที่พวกซุนกวนกลับถึงเมืองต๋องง่อ ถึงแม้ลกซุนเป็นศิษย์น้องของน้องเหลียง แต่มันก็มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพวกสกุลซุนไปแล้ว จึงยากจะคาดเดาจุดยืนที่แท้จริงของมัน” จูกัดกิ๋นสั่งการในฐานะหัวหน้าสายกังตั๋งของขบวนการ
เนิ่นนานมากแล้วที่สกุลนักพยากรณ์สองพี่น้องมิได้มาพบหน้ากัน เขาเฉียวที่แอบแฝงตัวเป็นซินแสโลกทิพย์ กวนลอ กลับมารุ่งเรืองเป็นโหรหลวงราชสำนัก แต่เคาก้าน ปราชญ์หยั่งรู้แห่งบัณฑิตเจี้ยนอานกลับต้องใช้ตัวตนใหม่ เพราะเคยแสร้งตายไปแล้ว
ทั้งสองนั่งจิบชาภายในเรือโดยสารกลางแม่น้ำฮวงโหห่างจากเมืองหลวง วิจารณ์ถึงปริศนาความตายของเคาทู ผู้ที่เคยถูกทำนายว่า ตกอยู่ในชะตาผลาญตระกูล
“...หลังจากการต่อสู้กับเภาเจ๋ง ใบหน้ามันถูกทำร้ายยับเยิน ก่อเกิดแผลเป็นตำหนิเสริมเติมมากมาย พอโหงวเฮ้งเปลี่ยนแปลง ชะตาเลยแปรผันตาม กลับสิ้นอายุขัยเร็วกว่าที่คาดคิดก่อนที่จะก่อวิบากกรรมปิตุฆาตขึ้นจริง” เขาเฉียวกล่าว
“คนแก่ส่งวิญญาณคนหนุ่ม เรามิรู้ว่าสมควรยินดีหรือเสียใจกันแน่ อาจจะเป็นเราที่สมควรตายไปในสำนักหอสมุด บาปกรรมจึงจะหมดสิ้นต่อกัน” เคาก้านปลงตกอาลัยบุตรชายที่ต้องตายจาก โดยไม่ทันล่วงรู้ชาติกำเนิด และความสัมพันธ์ทางสายเลือดต่อกัน
“มันยังมีทายาทนามว่า เคาหงี เคาจิ๋ว เคาเต็ง ท่านยังพอชดใช้หนี้กรรมต่อมันได้อยู่” เขาเฉียวปลอบใจญาติผู้พี่ที่สูงวัยกว่ามันร่วมสิบกว่าปี ทำให้เคาก้านพลันฉุกคิดขึ้น
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา