27 ก.ย. 2021 เวลา 23:49 • นิยาย เรื่องสั้น
6.26. ประกาศิตฮ่องเต้ใหม่
เอียนมี่ สาวชนเผ่าอาภัพรัก - โจหอง อิกิ๋ม หัวขบถเลือกข้าง
ทันทีที่ได้รับพระบัญชาจากกษัตริย์โจผี ผู้เป็นพี่ชายให้ไปดูแลการก่อสร้างฮวงซุ้ยประจำตระกูล โจสิดย่อมนึกถึงยอดนักประดิษฐ์ที่กำลังโด่งดังแทนที่อ้วนยู ปราชญ์สร้างสรรค์ นาม ม้ากิ๋นแห่งเมืองซินเอี๋ย จึงส่งคนไปเรียกตัวเข้ามาปรึกษาเรื่องการก่อสร้างสุสานหลวง แต่คนสนิทกลับมาตามลำพัง ฟังความว่า ทหารเข้าไปตรวจค้นในที่พัก ก็พบเพียงแค่บันทึกเล่มใหญ่วางอยู่บนโต๊ะอย่างจงใจ ส่วนตัวม้ากิ๋นเองกลับหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยตามนิสัยที่แปลกประหลาดอีกแล้ว
เมื่อโจสิดนำบันทึกแบบวาดมาศึกษาตีความร่วมกับอองลอง ฮัวหิม ซุนต่ำและเหล่านักปราชญ์แห่งสำนักหอสมุดใต้หล้าซึ่งถูกระดมมาช่วยงานสำคัญครั้งนี้ เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคำอธิบายละเอียดชัดเจน ราวกับเทพแห่งการช่างลู่ปังในสมัยเลียดก๊ก กลับมาเกิดใหม่ จึงได้แต่เสียดายที่ไม่อาจรั้งยอดอัจฉริยะให้อยู่ทำงานในราชสำนักได้
ที่จริงแล้ว อุปกรณ์เครื่องมือช่างในยุคสามก๊กนั้น ส่วนใหญ่ก็ได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากปรมาจารย์ลู่ปัง หากแต่การถ่ายทอดความรู้ยังอยู่แค่วงจำกัด ไม่ได้แพร่หลายนัก เมื่อหัวขวาน-ม้ากิ๋น มีเวลาว่าง จึงได้พัฒนาอุปกรณ์ดังกล่าว ผสมผสานความรู้ฝั่งตะวันตกตามยุคสมัยเข้ามาด้วย เพื่อช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น จนทำเป็นแบบร่างพิสดารทิ้งไว้ให้พวกโจสิดนำมาใช้ นอกจากนั้นแล้ว โครงสร้างฮวงซุ้ยก็เป็นการถอดแบบย่อส่วนมาจากสุสานของปฐมกษัตริย์จิ๋นซีตามตำนานเล่าขานอีกด้วย
แบบวาดของม้ากิ๋นนับว่ายอดเยี่ยม เนื้อหาแยกย่อยให้เข้าใจได้โดยง่าย โครงสร้างสถานที่ดูสวยงามโอ่อ่าสมฐานะ ซุกซ่อนกลไกพิสดารไว้มากมาย แถมยังมีแบบร่างพิสดารของอุปกรณ์เครื่องมือในการก่อสร้างที่พัฒนากว่ารูปแบบปกติ ทำให้ร่นเวลาการทำงานได้อย่างน่าทึ่ง เช่น เครื่องผ่อนแรงแบบคานดีดคานงัด รอก และล้อเฟือง เป็นต้น รวมทั้งอุปกรณ์พิสดารอย่างเครื่องถ่ายทอดเสียงระยะไกลที่ช่วยให้พูดคุยสั่งงานได้ง่ายขึ้น จนใช้เวลาทำงานเพียงไม่นาน การก่อสร้างก็คืบหน้าไปแล้วสองสามส่วน สร้างความอัศจรรย์ใจต่อความรอบรู้ด้านการช่างของม้ากิ๋นเป็นย่ิงนัก
เมื่อข่าวคราวลือสะพัดออกไป โจยอย หลานชายคนสนิทซึ่งพำนักอยู่ที่ปราสาทนกยูงทองแดงเช่นเดียวกันกับโจสิด รู้สึกสนใจใคร่เห็นสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์กับตาตนเอง จึงรบเร้าให้มารดา นางเอียนซี พาตัวมาดูอุปกรณ์ล้ำสมัย และโครงสร้างพิสดารของฮวงซุ้ยที่ร่ำลือกันนักหนา เพื่อเป็นการเสริมประสบการณ์ความรู้ให้แก่ตนเอง
นับตั้งแต่เหตุการณ์หลั่งเลือดอารามหลวงครั้งนั้น นางเอียนซีกับโจยอยถูกส่งกลับมาอยู่ในจวนโจผีก็จริง แต่เพียงไม่นาน ทั้งสองก็ถูกโจผีส่งต่อไปยังปราสาทนกยูงทองแดงอีกทอดหนึ่ง ท่ามกลางคำร่ำลือว่า คู่ครองไม่อาจกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีก เปลือกนอก คล้ายกับยังมีความขุ่นข้องหมองใจ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโจผีต้องประชุมลับกับพวกพ้องอยู่บ่อยครั้ง เพื่อเตรียมการยึดอำนาจพลิกฟ้าเปลี่ยนแผ่นดิน คนทั้งสองจึงยังตกค้างอยู่ที่ปราสาทดังเดิม คล้ายกับถูกโจผีลืมเลือนไปแล้ว
สำหรับเด็กหนุ่มวัยสิบห้าสิบหกปีอย่างโจยอย อาจจะเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้างที่บิดาโจผีไม่มีเยื่อใยความรักความเอาใจใส่ แต่สำหรับนางเอียนซี กลับกลายเป็นความโล่งใจอย่างประหลาด เพราะนางไม่เคยรักใคร่กับโจผีอยู่ตั้งแต่แรกพบ
ในยามนี้ นางตระหนักถึงปัญหาที่ตนเองมีศักดิ์ฐานะเป็นพี่สะใภ้ ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ตามขนบธรรมเนียม โจสิดกับนางเอียนซีจึงได้แต่เปิดเผยความในใจด้วยความสำนึกรับผิดชอบ ขอเป็นเพียงสหายผู้รู้ใจที่ดีต่อกัน แทนที่จะต้องเป็นจำเลยทางสังคมตลอดไป
ดังนั้น นางเอียนซีผู้มากเสน่ห์ และหนุ่มน้อยโจยอย จึงกลายมาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์อยู่ในสถานที่ก่อสร้างสุสานหลวงด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่คำครหานินทานั้น กลับมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะเมื่อถูกคนไม่ประสงค์ดีนำมาใช้เป็นเครื่องมือ
ณ กระโจมใหญ่ใกล้สุสานหลวง พวกโจสิดใช้เวลาสั่งการในช่วงเช้าเฉกเช่นปกติ แต่วันนี้ กลับมีอาคันตุกะพิเศษมาเยือนถึงสามคนเป็นการส่วนตัว นั่นคือ สมุหกลาโหม โจหยิน สมุหนายก โจหอง และขุนพลพยัคฆ์ เจ้าเมืองอ้วนเซีย อิกิ๋ม โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษางานด้านช่าง และอุปกรณ์พิสดาร หวังเอาไปพลิกฟื้นสภาพเมืองที่ตนเองดูแลบ้าง
เมื่อโจหยิน โจหอง อิกิ๋มมาถึงตามที่นัดหมายกันนั้น คนอื่นๆจึงแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตนเอง เปิดทางให้โจสิดรับหน้าตามลำพัง แต่แล้ว อาคันตุกะลึึกลับอีกคนหนึ่งกลับมาร่วมวงด้วย เป็นเทียลิด พ่อบ้านใหญ่แห่งสกุลโจ และสิ่งที่พูดคุยปรึกษากัน กลับเป็นเรื่องราวสะท้านสะเทือนแผ่นดินเสียแล้ว
“สถานการณ์แผ่นดินนับว่าสุกงอมแล้ว โจผีได้ชื่อว่าเป็นคนบาปผู้ล้มล้างราชวงศ์ฮั่น สั่งการย้ายเมืองหลวง สร้างความวุ่นวายให้กับราษฎรทั้งปวง หากแม้นเราปล่อยข่าวลือซ้ำเติมว่า โจผีอยู่เบื้องหลังการปลงพระชนม์กษัตริย์เหี้ยนเต้ ปิตุฆาตวุยอ๋อง โจโฉ และสังหารอดีตสมุหกลาโหม แฮหัวตุ้น ในเหตุการณ์เพลิงไหม้พระราชวังด้วยแล้ว ผู้คนย่อมจะชิงชังรังเกียจต่อมันยิ่งนัก ในขณะที่ท่านโจสิดซึ่งอยู่ในฝั่งตรงข้ามมาโดยตลอด ย่อมสามารถแสดงตนช่วยกอบกู้สถานการณ์ ชิงอำนาจทางการเมืองจากคนร้ายของแผ่นดิน...” คาดไม่ถึง เทียลิด กุนซือในเงามืดของโจโฉมาหลายสิบปี กลับเลือกข้างกลายมาเป็นที่ปรึกษาสำคัญให้กับกลุ่มขบถใหม่เสียแล้ว
โจสิดนึกย้อนไปถึงหลายวันก่อนที่พ่อบ้านใหญ่เทียลิดลอบมาเยือนถึงกระโจมก่อสร้าง เปิดเผยตัวตนที่เป็นกุนซือในเงามืด ทำงานลับให้กับบิดา และล่วงรู้ถึงความขัดแย้งของสองพี่น้องโจผี โจสิดมานานแล้ว เทียลิดเห็นว่า โจผีอำมหิตดุร้ายเกินไป ไม่เหมาะสมต่อบัลลังก์ราชันย์ ในขณะที่โจสิดกลับดูมีพื้นฐานบุคลิกนุ่มนวล สุขุมยืดหยุ่นได้เหนือกว่า จึงรีบนำแผนการชิงอำนาจมานำเสนอก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
มันกวาดตามองผู้ร่วมอุดมการณ์ที่มันเชื้อเชิญมาโดยง่าย ทั้งหมดล้วนแต่มีเบื้องหลังความขัดแย้งกับโจผี ซึ่งมีพื้นฐานนิสัยใจคอโหดเหี้ยมเป็นที่รู้กันทั่วไป ดังนั้น ต่างคนต่างก็เกรงกลัวต่อฮ่องเต้คนใหม่ทั้งสิ้น ดังเช่น โจหองบาดหมางเรื่องการเงินการค้ากับโจผี อิกิ๋มมีชนักปักหลังเรื่องการสวามิภักดิ์ให้กับศัตรูเพื่อเอาชีวิตรอด คงมีแต่โจหยินเท่านั้น ที่ไม่อาจคาดเดาแรงจูงใจที่ชัดเจน นอกจากความภักดีต่อโจโฉเป็นทุนเดิม
ความลับเรื่องหนึ่งที่คนทั้งแผ่นดินอาจจะไม่ทราบ นั่นคือ การที่แฮหัวตุ้นกล้าขบถต่อโจ
โฉในวังหลวงนั้น ที่จริงเพราะได้รับการสนับสนุนจากโจหยิน และโจหองแล้ว เพื่อรักษาตำแหน่งสถานะของตนเอง จึงยอมหักหลังโจโฉผู้ยิ่งใหญ่ในบั้นปลาย สามเทวะแยกย้ายกันลงมือตามสถานการณ์ แต่แผนซ้อนแผนนั้น กลับผิดพลาด แฮหัวตุ้นพลาดท่าเสียทีไปตามลำพัง โจหยิน โจหองจึงเก็บงำความลับนี้เอาไว้ให้รู้กันเพียงสองคน
“… ฮูโต๋ของท่านโจหยินมีทหารสามสิบหมื่นนาย ลกเอี๋ยงของท่านโจหองมียี่สิบหมื่นนาย อ้วนเซียของท่านอิกิ๋มมียี่สิบหมื่นนาย ย่อมมีน้ำหนักมากพอจะค้ำจุนบัลลังก์ได้ไม่ยาก สามารถต้านรับแรงกระเพื่อมจากคนอื่นๆได้อยู่ แต่ครั้งนี้ พวกเราเพียงต้องการกำลังพลคนสนิทไม่กี่ร้อยนายในการบุกจู่โจมถึงตัว สังหารคนโฉดไปก่อน ค่อยประกาศยึดอำนาจในภายหลัง หากโจผีตายไปในช่วงเวลานี้ ก็มีเพียงเด็กน้อยโจยอยที่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการสืบทอดแผ่นดินวุยอยู่แล้ว” เทียลิดกล่าวสรุป
“แล้วการที่พวกเราทุ่มเทมิสูญเปล่าไปหรือไร” โจหยินทักท้วงขึ้น
“ข้าจะขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ เพื่อลดทอนแรงต่อต้านรอบด้าน จากนั้น ค่อยหาข้ออ้างในการก้าวขึ้นครองบัลลังก์ ประกาศรับเอียนซีเป็นพระมเหสี โจยอยเป็นรัชทายาท เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาอันใด” โจสิดเฉลยท่าทีที่ซ่อนเร้นมานาน ที่แท้ มันก็ยังคงชอบพอต่อตัวพี่สะใภ้อยู่เช่นเดิม แสดงว่า การตัดความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับนางเอียนซีนั้น ก็เป็นแค่เรื่องราวปรุงแต่งชั่วคราวเท่านั้นเอง
เสียงปรบมือดังมาจากด้านนอกกระโจม ทหารองครักษ์สิบกว่าคนชักอาวุธครบมือกรูกันเข้ามาปิดช่องทางเข้าออก แล้วโจผี สุมาอี้ จูกัดเอี๋ยน เตงงาย ค่อยก้าวเข้ามาในกระโจมอย่างมั่นใจ พร้อมกับเอียนซี โจยอย ซุนต่ำ ที่มีใบหน้าซีดเผือด ตกใจ
ย้อนกลับไปเมื่อคราก่อน โจผีสั่งการให้หัวหน้าองครักษ์ จูกัดเอี๋ยนมาจับกุมชายโฉดหญิงชั่ว แต่แล้ว กาเซี่ยงกลับเสนอแนะให้โจผีแอบนำกองกำลังมาเอง เพื่อมารับทราบท่าทีที่แท้จริงของน้องชายร่วมบิดา พร้อมกับเปิดเผยแผนลับกำจัดขบถที่ซ่อนเร้น ซึ่งทำเอาโจผีสาสมใจนัก และยินดีเดินทางมาในทันที
“พวกเราแอบวางเครื่องถ่ายทอดเสียงระยะไกลเอาไว้ในกระโจมเพิ่มเติม จึงได้ยินเรื่องราวที่พวกเจ้าพูดคุยจนหมดสิ้นแล้ว จงวางอาวุธยอมรับการจับกุมเสียเถิด” กุนซือใหญ่ สุมาอี้เอ่ยปากเฉลยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดฉากการจับกุมขบถในครั้งนี้ นึกไม่ถึงว่า ผู้ที่ควบคุมการเงิน ถึงกับแทรกซึมเข้ามาจัดการวางอุปกรณ์ดักฟังเอาไว้ด้วย
โจสิดกับพวกสบตากันพลางชักอาวุธขึ้น คงมีเพียงพ่อบ้านเทียลิดที่ก้าวถอยหลังไปก่อน เพราะเป็นคนที่ไม่มีวิทยายุทธ์ หากนับด้วยกำลังฝีมือแล้ว สองเทวะหนึ่งพยัคฆ์ที่เร่ิมสูงวัยอย่าง โจหยิน โจหอง และอิกิ๋ม ยังสร้างความหนักใจต่อฝ่ายตรงข้ามได้ไม่น้อย ทั้งสามจึงออกมาบังหน้าหัวหน้าผู้ก่อการขบถโจสิด ฝ่ายจูกัดเอี๋ยน เตงงาย ก็ได้แต่เตรียมพร้อมออกมารับหน้าบดบังโจผีไว้บ้างเช่นกัน
สุมาอี้ปรบมืออีกครั้งหนึ่ง โจหยินคล้ายชิงลงมือ แต่แล้ว กลับหมุนตัวพาดกระบี่ไว้ที่ลำคอโจสิดที่ยืนอยู่ด้านหลังตนเองไปเสียแล้ว พร้อมตวาดสั่ง “จื่อเหลียน (ชื่อรองของโจหอง) อิกิ๋ม จงวางอาวุธยอมแพ้โดยเร็ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการจับกุมโจสิดเท่านั้น”
โจหอง อิกิ๋มยังงุนงงสงสัย เทียลิดที่แอบอยู่ด้านหลัง จึงก้าวออกมาปลดอาวุธออกจากมือคนทั้งสอง พร้อมกล่าวเสริม “เรามีนามที่แท้จริงว่า เทียหยก เป็นกุนซือในเงามืดของนายท่านโจโฉผู้ล่วงลับ เราเป็นผู้เสนอแผนการจับโจรครั้งนี้ให้กับท่านกาเซี่ยง และร่วมมือกันกับท่านสุมาอี้ในการจัดฉากทั้งหมด แต่ยังต้องอาศัยพวกท่านมาร่วมมือกันสร้างความเชื่อมั่นให้กับมันเท่านั้น ขออภัยที่ทำให้พวกท่านต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย”
โจสิด โจหอง อิกิ๋ม รู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนโง่งมยิ่งนัก ถูกเทียหยกและโจหยินหลอกลวงมาร่วมในแผนการ จึงได้แต่ก้มหน้าคุกเข่าสำนึกผิดต่อกษัตริย์โจผีที่ก้าวมานั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งประธานแล้ว โดยมีพวกสุมาอี้ จูกัดเอี๋ยน ยืนกระหนาบซ้ายขวา
กษัตริย์โจผีเริ่มคำพิพากษา “โจหอง อิกิ๋ม เหลวไหลไปชั่ววูบ ยอมสมคบคิดก่อขบถ แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์อันยาวนาน และผลงานรวบรวมแผ่นดินในอดีต จึงให้ปลดคนทั้งสองออกจากตำแหน่งราชการ ริบทรัพย์สินสมบัติ ให้โจหองกลับไปสำนึกผิดอยู่ที่บ้านเดิม อิกิ๋มให้เป็นนักโทษทำงานก่อสร้างอยู่ที่นี่จนกว่างานจะเสร็จสิ้นค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ไม่ต้องประกาศความผิด และไม่ต้องไล่โทษไปถึงลูกหลานหรือครอบครัว”
จากนั้น โจผีค่อยหันมาจ้องมองโจสิดที่เป็นตัวการสำคัญด้วยความชั่งใจ ที่จริงแล้ว โทษขบถคือประหารเจ็ดชั่วโคตรได้เลย หากแต่กาเซี่ยงเคยขอร้องเอาไว้ เพื่อให้มันได้แสดงความปรานี ลบล้างภาพพจน์ความโหดเหี้ยมที่เคยเป็นมา การลงโทษโจหอง อิกิ๋ม ก็ล้่วนเป็นไปตามคำแนะนำของกาเซี่ยงทั้งสิ้น และวิธีการตัดสินของโจสิดก็เช่นกัน
“โจสิดน้องเรา เจ้าเคยกล่าวว่า การเดินเท้าเปล่าบนก้อนกรวดช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น ข้าจะจัดให้เจ้าเดินสักเจ็ดก้าวก่อน ค่อยเอื้อนเอ่ยบทกลอนที่ชักจูงใจให้ข้ายินยอมปลดปล่อยเจ้าให้ได้ ไม่เช่นนั้น กระบี่ฟ้าสังหารคือบทลงโทษ” ว่าแล้ว กษัตริย์โจผีก็โยนกระบี่คู่มือไปปักลงพื้นตรงหน้าโจสิดอย่างจงใจ ในขณะที่ทหารองครักษ์ช่วยกันปรับพื้นเบื้องหน้าให้ราบเรียบ ค่อยโรยก้อนกรวดกองใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้วเป็นทางยาว แต่เมื่อพิจารณา เห็นก้อนกรวดกลับเป็นรูปทรงแหลมคม มิใช่กลมมนดั่งที่ควรเป็น แสดงว่า โจผีหวังกลั่นแกล้งสั่งสอนเสียมากกว่า
กษัตริย์โจผีโบกมือสั่งการ ทหารองครักษ์ตรงเข้าถอดรองเท้า ฉุดรั้งโจสิดให้เริ่มเดินไปบนกองกรวดทรงแหลมทีละก้าว โจสิดรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากด้านล่างจนมีเลือดไหล สายตามองผ่านโจผีไปยังผู้คนที่รายล้อมอยู่ด้วยความเคืองแค้น จนไปหยุดลงที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของนางเอียนซี พี่สะใภ้ที่ตนเองรักใคร่ชอบพอมาเนิ่นนานแล้ว
กษัตริย์โจผีคล้ายรับรู้ท่าทีของคนทั้งสอง จึงโบกมือส่งสัญญาณอีกครั้ง ทหารองครักษ์ถึงกับเทก้อนถ่านไหม้ไฟจากกระถางเพลิงด้านข้างปะปนลงไปที่ปลายทางก้อนกรวดด้วย โจสิดสูดหายใจลึกค่อยเดินก้าวที่ห้าก้าวที่หก เหยียบย่ำไปบนก้อนถ่านร้อนๆ จนผิวหนังเท้าที่แตกยับอยู่แล้ว ส่งกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่วทั้งกระโจม นางเอียนซีทนดูไม่ไหว ถึงกับทรุดตัวลงกอดกับโจยอยสะอื้นร่ำไห้ด้วยความสงสาร
โจสิดกลับแสดงความใจเด็ด รับรู้ว่า ยิ่งโจผีใจดำอำมหิตต่อมัน มันยิ่งต้องอดทนไว้ศักดิ์ศรี จึงสะกดใจเดินต่อไปจนครบก้าวที่เจ็ดตามคำสั่ง แล้วค่อยทรุดตัวลงกับพื้น แต่ปากยังเอื้อนเอ่ยบทกลอนที่คิดเอาไว้ด้วยเสียงก้องกังวาน
“คือเชื้อไฟใช้เถาถั่วคั่วถั่วร้อน ฝักถั่ววอนร้อนรุ่มเพลิงรุมไล่ เดิมร่วมรากจากดินถิ่นเดียว..ไย เผาผลาญให้ชีวันพลันมลาย
ทั้งเถาถั่วและฝักถั่วร่วมเผ่าพันธุ์ ฝักถั่วนั้นเฝ้าร่ำไห้ใจสลาย เถาถั่วเป็นเชื้อเผาเร้าทำลาย ฝักถั่ววายวอดม้วยไปด้วยกัน”
บทกลอนท่อนแรกนั้น เป็นโจโฉ โจผี และโจสิด ร่วมกันแต่งขึ้นในสวนหลังปราสาทนกยูงตอนที่ครอบครัวโจโฉ นางเปียนสี และสี่พี่น้อง ยังอยู่พร้อมหน้าอย่างมีความสุข ตัวโจผีเองยังเคยใช้บทกลอนท่อนนี้เอี้อนเอ่ยต่อหน้าโจโฉ เมื่อครั้งที่บิดาระแวงสงสัยในท่าทีของมันด้วยซ้ำ โจสิดจดจำเหตุการณ์นั้นได้ จึงนำมาใช้อีกครั้ง โดยแต่งเติมท่อนที่สองเพิ่มให้เกิดความสะเทือนใจมากขึ้นไปอีก
แน่นอนว่า บทกลอนกระแทกตรงเข้ากลางใจของนักกวีอย่างโจผีเช่นกัน และทำให้หวนนึกถึงตนเองที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียงกันในครั้งก่อน จึงทอดถอนหายใจ จ้องมองโจสิด น้องชายต่างมารดา พร้อมยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า คล้ายยังลังเลใจอยู่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ร่ำไห้จนหมดสติไปแล้ว โปรดยกโทษให้ท่านอาเถิดขอรับ” เสียงโจยอยร่ำร้องมาจากด้านข้าง กลับเรียกสติกระตุ้นให้โจผีตัดสินใจเด็ดขาดทันที
“ประหาร” โจผีหรุบตากำหมัดแน่น จูกัดเอี๋ยนหยิบกระบี่ฟ้าสังหาร ฟันฉับผ่านลำคอของโจสิดทันที หัวคนตายลอยคว้างไปตกอยู่ตรงหน้านางเอียนซีกับโจยอยโดยบังเอิญ ดวงตาเบิกโพลงเวิ้งว้าง เรียกเสียงกรีดร้องจากหญิงงามที่ฟื้นคืนสติมาพอดี ทำให้หมดสติไปอีกครั้ง เด็กน้อยโจยอยได้แต่นิ่งอึ้งตาค้างไปกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกโจผีรีบเดินทางกลับเมืองหลวง สั่งการให้ สุมาอี้ รับตำแหน่งสมุหนายก เดินทางไปดูแลเมืองลกเอี๋ยงแทนโจหอง พร้อมกันกับขุนพลหนุ่มเตงงาย โจหยินยังคงรักษาตำแหน่งเดิม กลับไปฟื้นฟูเมืองฮูโต๋เช่นเดิม เทียลิดหรือเทียหยกหลุดพ้นจากเงามืด ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นขุนคลัง ดูแลการเงินทั้งหมดแทนสุมาอี้ ส่วนอองลอง ฮัวหิม ซุนต่ำ ก็กลายมาเป็นผู้จัดการก่อสร้างฮวงซุ้ยสืบต่อแทนโจสิดต่อไป
หลังจากเหตุการณ์ประหารโจสิด นางเอียนซึล้มป่วยลงด้วยความสะเทือนใจ โจผีจึงสั่งให้กลับไปพักผ่อนที่ปราสาทนกยูงทองแดง โดยทิ้งให้เทียหยกกับแพทย์หลวงดูแลเป็นการพิเศษ แต่กลับไม่ยินยอมให้โจยอยอยู่ดูแลด้วย อ้างว่า เพื่อความปลอดภัยของรัชทายาท สมควรกลับอยู่ด้วยกันในวังหลวงในทันที
แต่แล้ว วันรุ่งขึ้น นางเอียนซีกลับผูกคอตายไปอย่างมีเงื่อนงำ เพราะเมื่อทหารค้นดูภายในห้องนอน พบภาพวาดโจผีถูกฝังซ่อนไว้ใต้ที่นอนคล้ายการทำคุณไสยแบบชนเผ่า และบทกวีสั้นลาตาย “พบรักเพื่อพลัดพราก พบแล้วจากยากทานไหว พบรักไม่สมใจ พบกันใหม่...ภพหน้าเทอญ” ซึ่งกระตุ้นโทสะให้กับโจผีมากยิ่งขึ้น จนถึงกับไม่อนุญาตให้ทำพิธีศพนางเอียนซีในฐานะเจ้านายฝ่ายในด้วยซ้ำ
โจยอยรับทราบข่าวการตายของมารดา ถึงกับไม่ยินยอมเชื่อว่า นางเอียนซีจะตัดสินใจเช่นนั้น แต่ก็จนใจ ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ โดยเฉพาะเมื่อโจผีประกาศแต่งตั้งนางกุยฮวยขึ้นเป็นพระมเหสีในชั่วข้ามคืน คล้ายหยามเกียรติผู้ตาย มันจึงได้แต่หยิบเอาจดหมายสั่งเสียที่มารดามอบให้ตนเองอย่างรีบร้อนก่อนเดินทางมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ตามหาซินผี”
ภายในสุสานหลวงของราชวงศ์ใหม่ นักโทษอิกิ๋ม แม้โทษตายได้รับการละเว้น แต่โทษเป็นกลับยังคงมีอยู่ จึงถูกล่ามโซ่ตรวนข้อมือชุดใหญ่ และได้รับมอบหมายให้ควบคุมงานห้องแกะสลักภาพเชิดชูประวัติของปฐมกษัตริย์โจโฉ ในใจนึกยินดีที่ไม่ต้องใช้แรงงานมากนัก จึงค่อยๆลากเท้าไปตามทางเดิน โดยมีทหารผู้คุมตามมาด้วยอย่างใกล้ชิด
เบื้องหน้าเป็นห้องโถงกว้างใหญ่ มีฉากภาพประวัติอันโดดเด่นของโจโฉถูกวาดร่างบนแผ่นหินวางพิงเป็นแถวยาว รอเพียงการแกะสลักไปตามรอยวาด โดยมีช่างฝีมือกำลังแต่งเติมรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่ภาพการรับตำแหน่งนายทหารใหม่พร้อมกับอ้วนเสี้ยว ซุนเกี๋ยน ภาพการลอบสังหารทรราชย์ตั๋งโต๊ะ ภาพการนำกองทัพอาสาช่วยกษัตริย์เหี้ยนเต้ปราบลิฉุย กุยกี ภาพการปราบเจ้านครต่างๆ ภาพความสัมพันธ์กับผู้นำต่างถิ่น ภาพการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นวุยก๋ง และวุยอ๋องตามลำดับ จนมาถึงภาพการงานเลี้ยงพระราชทานที่มีเล่าปี่ ซุนกวน และกษัตริย์เหี้ยนเต้ อยู่ด้วยกัน แต่รูปภาพถูกปรับเปลี่ยนเป็นคนทั้งสามกำลังอวยพรต่อโจโฉซึ่งนั่งเป็นประธานของงานเลี้ยงแทน
อิกิ๋มเดินชมดูไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน จนถึงฉากภาพร่างอีกอันหนึ่งที่คล้ายเพิ่งแต่งเติมรายละเอียดเข้ามาใหม่ จึงหยุดยืนพิจารณาอยู่ เห็นเป็นภาพโจโฉนั่งบนเก้าอี้ผู้พิพากษา ตัดสินคดีความนายทหารคนหนึ่งอยู่ โดยมีรูปนายทหารถูกจับเป็นเชลยในกรงขังเดินทางไปรับการพ่ายแพ้ต่อศัตรูบ้าง รูปนายทหารใส่ชุดขาดวิ่น หลบซ่อนตัวอยู่ที่ป่าไม้ แอบดูโจผีควบม้าบ้าง และสุดท้ายเป็นรูปนายทหารถูกมัดเกลือกกลิ้งกับพื้น ท่ามกลางสายตาขุนนางนายทหารที่ทำท่าดูแคลนเย้ยหยัน ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเองพลาดท่าเสียทีในอดีต แสดงว่า นี่คือภาพประจานความผิดของตัวมันเองนั่นเอง
พอถึงเวลานี้ บรรดาผู้คุมและช่างฝีมือคล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้ พากันส่งเสียงหัวร่อพร้อมจับจ้องมาที่อิกิ๋มเป็นจุดเดียว ขุนพลสูงวัยนึกรู้ว่าถูกเยาะเย้ย จนเลือดลมพลุ่งพล่าน กระอักเลือดสดๆสีดำ และค่อยๆทรุดตัวลง ก่อนที่วิญญาณจะหลุดลอยไป มันนึกถึงกระบอกน้ำที่เพิ่งดื่มไปเมื่อครู่นี้ คงจะมีปัญหาเสียแล้ว “โจผี เจ้าช่างใจดำอำมหิตยิ่งนัก”
โจหอง ถูกปลดออกจากราชการ แต่ความที่เป็นผู้อาวุโสสกุลโจ ทำให้มันได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากคนสกุลโจ และสกุลแฮหัวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ละแวกใกล้เคียงกับปราสาทนกยูงทองแดง ทันทีที่เดินทางมาถึงบ้านเดิม จึงได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าตระกูลโจและแฮหัวแทนแฮหัวป๋าที่ขยับไปทำราชการแล้ว
แต่คล้ายเคราะห์ซ้ำกรรมซัด โจหองกลับล้มป่วยเป็นอัมพาตอย่างกระทันหัน ครึ่งซึกด้านขวาไม่อาจขยับเขยื้อนเป็นปกติ ไม่อาจกล่าววาจา จนสุดท้าย ร่างกายผ่ายผอม และป่วยกระเสาะกระแสะอยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่ยังคงรักษาชีวิตรอดเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
คนทั่วไปรับรู้เพียงแค่นั้น หากแต่โจหองกลับนึกถึงคำพูดที่โจผีกระซิบก่อนจากกัน “เห็นแก่ท่านที่เป็นผู้ช่วยให้กับบิดาเรามาเนิ่นนาน เราจึงลงโทษท่านเพียงกึ่งหนึ่งก็แล้วกัน”
เตียวเฟิงหรืออดีตเปียนสี ในฐานะฮูหยินคนใหม่ของสุมาอี้รับรู้ข่าวการตายของโจสิดด้วยอาการเศร้าเสียใจ หากแม้นนางสามารถติดต่อกับโจสิดได้ก่อน คงจะสามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ได้ดีกว่านี้ แต่เป็นเพราะสุมาอี้ปิดบังนางไว้ จนลูกชายของนางต้องตายอย่างอนาถไปอีกคนเสียแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกรักอย่างลิเจียงก็ตาม
สุมาอี้คล้ายเข้าใจความคิดของนาง จึงรีบกล่าวดักคอไว้ “อย่าได้เสียใจไปเลย เฟิงน้อย ขบวนการฟ้าดินมีกำลังเข้มแข็งยิ่งนัก และครอบคลุมทั้งสามก๊กไว้แล้ว พวกเราคงได้แต่ต้องทำตัวตามกระแสการเมืองไปก่อน จงอดทนรอจังหวะต่อไป”
เตียวเฟิงหยุดชะงัก หันมาไต่ถาม “พี่ท่านคิดจะทำการใหญ่สิ่งใดหรือ”
สุมาอี้แย้มยิ้ม ชี้มือขึ้นสู่เบื้องบน “แล้วแต่เขาจะลิขิต อีกไม่นาน เจ้าคงได้สมใจ”
“เขา?” เตียวเฟิงทวนคำอย่างงุนงง ท่าชี้มือนั้นจะหมายถึงสิ่งใดกัน ฟากฟ้า สวรรค์ ตะวัน จันทรา เมฆา มังกร หรือ ปักษา ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเบื้องบนทั้งสิ้น หรือว่า กุนซือเต่าจำศึลยังมีขุมกำลังอื่นใดหนุนหลังอยู่อีก
ค่ำคืนผ่านไป สุมาอี้หลับไหลไปก่อนแล้ว แต่เตียวเฟิงกลับยังนอนตาค้าง คิดเรื่องราววุ่นวาย พลางใช้ความคิด “ที่แท้ มันก็มีเบื้องหลังอันซับซ้อนอยู่อีก แต่กลับงำประกายมาเนิ่นนาน ช่างสมกับเป็นกุนซือเต่าสมถะเสียจริงๆ”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา