Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
29 ก.ย. 2021 เวลา 02:12 • นิยาย เรื่องสั้น
6.27. แผนล่อเสือออกจากถ้ำ
ลิเงียม งออี้ งอปั้น ขุนพลสายเอ๊กจิ๋ว
สถานการณ์สงครามทางแดนใต้เริ่มตึงเครียดยิ่งขึ้น กองทัพเสฉวนราวสามสิบหมื่นชูธงกษัตริย์เล่าปี่เป็นแม่ทัพใหญ่กำลังเดินทางมาอย่างเปิดเผย ประกาศล้างแค้นแทนกวนอู เตียวหุย ฮองตง และกษัตริย์เหี้ยนเต้ ทำให้พัวเจี้ยงที่รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองเกงจิ๋ว แทนซุนเกา และจูเหียน ในฐานะที่ปรึกษา ได้แต่เร่งรีบระดมพลจากหัวเมืองใกล้เคียง หมายตั้งหลักรับมือให้ถึงที่สุด ในช่วงเวลาอันสั้น ยังพอได้ไพร่พลขึ้นมาที่ยี่สิบหมื่นนาย สมควรจะป้องกันเมืองไว้ได้สักพักหนึ่ง และส่งข่าวของกำลังสนับสนุนไปยังเมืองกังตั๋ง ทั้งๆที่รู้ดีว่า เจ้านครซุนกวน และเสนาบดีฝ่ายบู๊ ลกซุน ยังไม่กลับถึงเมืองตามกำหนดที่ควรเป็น
แต่กองทัพเล่าปี่กลับใช้แผนการรบประหลาดยิ่งนัก เพราะมาปักหลักตั้งทัพชูธงอยู่ที่นอกเมือง โดยไม่มีทีท่าจะออกมาท้ารบ ปล่อยให้ขุนพลมีชื่ออย่างจูล่ง อุยเอี๋ยน ผลัดกันซ้อมรบอยู่เนิ่นนานหลายวันแล้ว คล้ายรอคอยสิ่งใดอยู่ ทำให้พัวเจี้ยง จูเหียนยังไม่กล้าแตกหักด้วย เพราะยังหวั่นเกรงในบารมีของขุนพลสวรรค์ทั้งสองอยู่บ้าง
และแล้ว แผนหลักก็เปิดเผยขึ้น กองทัพที่แท้จริงของกษัตริย์เล่าปี่ เสียวเอียนจื่อ ลิเงียม อีกห้าสิบหมื่น ถึงกับปรากฏตัวขึ้นที่ชายแดนเตียงสาทางใต้ห่างลงไปอีกหลายร้อยลี้ รุกคืบเข้าใกล้เมืองชีสอง ฐานทัพหลักของกองทัพเรือกังตั๋งแล้ว การศึกด้านนั้นกลับดำเนินการรุกกระหน่ำอย่างรวดเร็ว ใช้กองกำลังสายเสฉวนเก่าอย่างเช่น ลิเงียม งอปั้น งออี้ เล่าป๋า แยกคุมทัพเล็กกระจายกันตีเมืองหน้าด่านแตกพ่าย ยึดครองพื้นที่ได้หลายตำบล โดยที่พัวเจี้ยง จูเหียน ไม่กล้ายกกองทัพลงมาช่วย เพราะกริ่งเกรงพวกจูล่ง อุยเอี๋ยน จะฉวยโอกาสชิงดินแดนทางเกงจิ๋วไปด้วย จึงดูคล้ายกับรูปแบบสงครามสามทางที่เกิดขึ้นแถบชายแดนตะวันตกเมื่อหลายปีก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สถานการณ์ของกังตั๋งจึงย่ำแย่ยิ่งนัก เพราะมีกองกำลังทหารมากมาย แต่ขาดผู้นำทัพที่เข้มแข็ง ขุนพลมีชื่ออย่างลกซุน กำเหลง และเล่งทอง ล้วนแต่ยังหายสาบสูญไปพร้อมกันกับเจ้านครซุนกวน ส่วนชีเซ่ง เตงฮองที่พอมีชื่อเสียงก็ยังออกทะเลไปตามหาคนอีกทอดหนึ่ง สุดท้าย เตียวเจียว โกะหยง จูกัดกิ๋น สามขุนนางหลักสายบุ๋นปรึกษากันแล้ว จึงได้แต่เชื้อเชิญซุนลอง ผู้มีอาวุโสสูงสุดของสกุลซุนมาหารือ
“พวกท่านต้องการคนสกุลซุนสักคนไปเป็นแม่ทัพรับศึก ร่วมกับขุนพลชราเจียวขิมที่เมืองชีสอง เช่นนั้นหรือ” ซุนลองทวนคำ “ทายาทซุนเต๋งต้องรอรับความเปลี่ยนแปลงภายในต๋องง่อ ย่อมไม่อาจให้เสี่ยงเดินทางในเวลานี้”
ซุนลองยังคงปกปิดเรื่องราวของหลานสาวซุนลู่ปัน จึงได้แต่ใช้ชื่อเรียกซุนเต๋งเช่นเดิม อ้างระเบียบกฏเกณฑ์ของตระกูลในช่วงการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ ไม่อาจส่งให้ซุนลู่ปันไปสุ่มเสี่ยงทำศึกให้พลาดพลั้งเสียแผน
เตียวเจียวกับพวกมองหน้ากันแล้ว เป็นจูกัดกิ๋นที่กล่าวขึ้นเบาๆ “เจียวขิมเป็นขุนพลปลดระวาง รับตำแหน่งครูทหารที่ฐานทัพเรือมานาน แม้ว่ามีฝีมือทางน้ำพอตัว แต่ยังขาดบารมีในการนำทัพ พวกเราฟังว่า ท่านยังมีคนสกุลซุนนาม ฮกหวน อีกผู้หนึ่ง ขอเพียงท่านเรียกหามันด้วยแซ่ซุน ก็สามารถสร้างขวัญกำลังใจให้ไพร่พลได้มากแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ ฮกหวน หรือ ซุนหวน ที่ไม่เคยมีชื่อเสียงปรากฏ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ เดินทางไปสมทบกับขุนพลเจียวขิมไปรับศึกเสฉวนที่เมืองชีสองในทันที
…
กองทหารฝ่ายกังตั๋งตั้งยันข้าศึกอยู่ที่เมืองเกงจิ๋ว และเมืองชีสองด้วยจำนวนทหารที่น้อยกว่าหลายหมื่น แต่จังหวะนี้ กองทัพฝ่ายเสฉวนก็ไม่อาจมีเปรียบมากนัก เนื่องจากทหารจำนวนมากนั้น ล้วนเป็นทหารเกณฑ์ใหม่จากหัวเมืองรายทาง ไม่เคยฝึกปรือการรบร่วมกันมาก่อน ทำให้พวกเล่าปี่เองต้องยอมสูญเสียเวลาไปในการฝึกฝนฝีมือการรบอย่างเร่งด่วน เพราะเมื่อซุนหวนปรากฏชื่อขึ้น ถึงกับกระตุ้นขวัญกำลังใจพวกทหารได้จริงๆ
ในมุมมองของฝ่ายเสฉวนแล้ว เบื้องแรกที่ขยายผลการสงครามได้ดี กลืนกินดินแดนกังตั๋งได้หลายตำบลจนมาถึงตำบลอิเหลงในเขตแดนเมืองชีสอง เพราะใช้กองทหารจากเสฉวนเป็นหลักในการรบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนทหารกลุ่มดังกล่าวก็ลดน้อยลง ต้องเริ่มพึ่งพาอาศัยกองทหารเกณฑ์ใหม่เสริมเติม จึงทำให้ประสิทธิภาพการรบตกต่ำลง ทำให้ขุนพลวิหคสวรรค์ต้องมอบหมายให้พวกลิเงียมเข้ามาจัดการฝึกซ้อมทหารใหม่โดยเร็ว พร้อมทั้งสั่งการให้ฝั่งทัพจูล่งเริ่มการเคลื่อนไหวกดดันบ้าง
แต่แล้ว ข่าวร้ายกลับโหมกระหน่ำ กองทัพเสบียงรอบใหม่จากเมืองเซงโต๋ผ่านมาทางเมืองเลงเหลงกลับถูกกองทัพไม่ทราบสังกัดแย่งชิงไปจนหมดสิ้น ทหารที่รอดตายรายงานว่า น่าจะเป็นฝีมือของพวกชนเผ่าม่านจากแดนใต้ สร้างความประหลาดใจต่อพวกเล่าปี่ เพราะชนเผ่าดังกล่าวไม่เคยเคลื่อนไหวเช่นนี้มาก่อน แต่เสียวเอียนจื่อกลับพอคาดเดาได้ว่า คงถึงเวลาแล้วที่ชนเผ่าม่านจะออกมาสร้างความปวดหัวให้กับดินแดนเสฉวน “ฟังว่า เผ่าม่านมีนักรบเบญจพิษ อันประกอบไปด้วย ตะขาบ อสรพิษ แมงป่อง คางคก และกิ้งก่า คราวก่อนที่เงียมหงันแปลงร่างเป็นอสุรกายอ้วนใหญ่คล้ายดั่งคางคก ทำให้ข้าคาดเดาว่า มันคือหนึ่งในนักรบเบญจพิษ มาแอบแฝงตัวอยู่ในเสฉวนตั้งเนิ่นนานแล้ว และมีส่วนในการลงมือทำร้ายบิฮองให้กลายเป็นอสูรร้ายในจวนเมืองกังตั๋งไปด้วยเช่นกัน พอมันตกตายไป จึงทำให้พวกม่านเริ่มเปิดเผยตัวตนออกมา”
เล่าปี่ได้ยินก็ยิ่งกังวลใจ การศึกเฉพาะหน้ากับพวกกังตั๋ง และความขัดแย้งกับขงเบ้งยังไม่ทันจบสิ้น พวกม่านก็ออกมาเคลื่อนไหวซ้ำอีก นับว่า น่าหนักใจยิ่งนัก ทำให้เสียวเอียนจื่อต้องออกโรงปลอบใจ “ท่านเพียงแค่แจ้งเรื่องนี้ต่อจูกัดเหลียงเท่านั้น มันก็จะเป็นผู้กังวลใจในเรื่องนี้แทนท่าน ตัวมันมุ่งหวังดินแดนเสฉวน แต่ชายแดนนั้นติดกันกับเผ่าม่าน ย่อมต้องเป็นหน้าด่านการรบต่อศึกชนเผ่าอย่างแน่นอน”
ปัญหาชนเผ่าม่านนับว่าแก้ไขไปได้เปลาะหนึ่ง หากแต่เสบียงที่ถูกปล้นชิงนั้นก็เป็นปัญหาค้างคาอยู่เช่นกัน ลิเงียม เล่าป๋าจึงขันอาสาไประดมเสบียงจากหัวเมืองใกล้เคียงเป็นการเร่งด่วนก่อน พวกเล่าปี่ที่เหลือยังไม่อาจรุกคืบในเวลาอันสั้นนี้ จึงได้แต่สร้างที่พักเป็นแนวยาวตลอดลำน้ำ ฝึกซ้อมรบให้กับทหารใหม่ไปพลาง
…
ทางฝ่ายจูล่ง อุยเอี๋ยน ได้รับคำสั่งให้เดินหน้าเข้าตีเมืองเกงจิ๋ว จึงแบ่งทัพสามสิบหมื่นออกเป็นห้าระลอก ให้เตียวเอ๊กเป็นทัพแรก เตียวเปาเป็นทัพที่สอง กวนหินเป็นทัพที่สาม อุยเอี๋ยนเป็นทัพที่สี่ และจูล่งคุมทัพสุดท้ายตามลำดับ ผลัดกันเข้าตีเมืองอย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายพัวเจี้ยง จูเหียน นำไพร่พลขึ้นรับมือที่กำแพงเมือง ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์เท่าที่มี ตั้งยันทัพระลอกแรกของเตียวเอ๊กไว้ได้แล้วรอบหนึ่ง พอเห็นทัพระลอกสองของเตียวเปามาผลัดเปลี่ยน จึงเริ่มเดาแผนการรบได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามหมายจะใช้สดชื่นซ้ำเติมอ่อนล้า แต่พัวเจี้ยงสังเกตเห็นว่า ฝ่ายตรงข้ามยังคงนำทัพมาด้วยขุนพลระดับรอง จึงตัดสินใจให้จูเหียนคุมทัพรักษากำแพงเมืองไว้ ส่วนตนเองยอมเสี่ยงเปิดประตูเมือง นำกองทัพเข้าประจันหน้าท้าดวลกับผู้นำทัพ เพื่อหวังลดทอนความห้าวหาญของฝ่ายตรงข้ามลงบ้าง
จังหวะที่พัวเจี้ยงนำทัพออกมา ก็เป็นรอบการโจมตีของกองทัพระลอกสามที่นำมาโดยกวนหินพอดี พอรู้ว่า ผู้นำทัพออกมาคือพัวเจี้ยง ที่ถือง้าวมังกรเขียวของกวนอูออกมาท้าดวล ก็รู้สึกเคืองแค้นมากยิ่งขึ้น สั่งการให้หยุดการโจมตีไว้ชั่วคราว แล้วกวนหินในฐานะบุตรชายกวนอู จึงควบม้าออกมาเผชิญหน้ากับพัวเจี้ยงด้วยความมั่นใจในฝีมือของตนเอง โดยเฉพาะวิชาง้าวสยบมังกรที่ได้ร่ำเรียนมาเพิ่มเติมภายหลัง
ตั้งแต่พวกเล่าปี่กลับมาจากเมืองหลวงฮูโต๋นั้น ทั้งเสียวเอียนจื่อ และจูล่งคล้ายมีความเอ็นดูต่อขุนพลน้อยกวนหิน เตียวเปามากกว่าเดิม ถึงกับเร่งรัดถ่ายทอดวิชาระดับสูงให้พร้อมออกศึกสงคราม คงถึงเวลาแล้วที่คนรุ่นหลังจะต้องออกมารับภาระแทนคนรุ่นเก่า
เสียงง้าวของทั้งสองคนปะทะกันดังสนั่น พละกำลังและชั้นเชิงกระบวนยุทธ์พอสูสีคู่คี่กัน หากแต่พัวเจี้ยงนั้น ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าของกังตั๋งได้แล้ว ย่อมมากประสบการณ์ในการรบ อีกทั้งคุ้นเคยกับกระบวนท่าสยบมังกรของพวกสกุลกวนเป็นอย่างดี จึงแสร้งทำพลาดท่าเสียทีล่อให้กวนหินประมาทไล่ตาม แล้วใช้กระบวนท่าโต้กลับที่ฝึกฝนมาอย่างดี ผนวกกับน้ำหนักอันมหาศาลของง้าวมังกรเขียว กระแทกจนง้าวคู่มือของกวนหินหลุดจากมือ ยังดีที่กวนหินตาไว เบี่ยงตัวหลบคมง้าวได้ทัน และรีบควบม้าล่าถอยกลับมา พร้อมกับบาดแผลที่ใบหน้าและไหล่ซ้ายเพียงเล็กน้อย
เตียวเปาซึ่งพักคุมเชิงให้กับกวนหิน สหายรักด้วยความเป็นห่วงอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นกวนหินเสียกระบวนก็รีบควบม้าออกมารับหน้าแทน ใช้ทวนอสรพิษของบิดาเข้าต่อสู้กับง้าวมังกรเขียวของพัวเจี้ยงได้อย่างสมศักดิ์ศรี หากเปรียบพละกำลังแล้ว กวนหินอาจจะเหนือกว่าเตียวเปาอยู่บ้าง แต่หลายเดือนที่ผ่านมา เตียวเปาได้ฝึกฝนกระบวนท่าวิหคสวรรค์เพิ่มเติมเป็นพิเศษ จึงใช้รับมือกับพัวเจี้ยงที่มีความได้เปรียบเรื่องพละกำลังได้อย่างทัดเทียมกัน
และแล้ว พัวเจี้ยงก็พลาดท่าเสียจังหวะจนต้องรีบควบม้าล่าถอยบ้าง เตียวเปาได้ทีจึงรีบรุกไล่ พร้อมระวังการโต้กลับจากพัวเจี้ยง แต่คราวนี้ พัวเจี้ยงเป็นเพียงตัวหลอกอีกแล้ว พอถึงตำแหน่งก็เบี่ยงตัวหลบเปิดช่องให้ตัวจริงซึ่งก็คือจูเหียนที่เฝ้ารออยู่บนกำแพงเมือง ใช้เกาทัณฑ์ยิงสวนเข้าใส่เตียวเปาอย่างแรง
แนวทางเกาทัณฑ์ของสกุลจูไม่อ่อนด้อยไปกว่าฮองตง อดีตจ้าวแห่งเกาทัณฑ์ โดยเฉพาะมีจุดเด่นในเรื่องความรวดเร็ว เห็นอยู่ว่า เตียวเปากำลังจะถูกลูกเกาทัณฑ์ปักทะลุอก แต่แล้ว กลับเป็นเงาร่างของทหารองครักษ์พุ่งทะยานเข้าขวางหน้า ใช้เพียงมือเปล่าตวัดรับลูกเกาทัณฑ์ของจูเหียนได้อย่างง่ายดาย พอสะบัดหมวกทหารออก จึงเห็นเป็นแม่ทัพใหญ่ ขุนพลท่องเมฆา จูล่ง ปลอมแปลงมานั่นเอง
พัวเจี้ยงสะดุ้งใจในทันที เพราะไม่นึกว่าจะต้องมาเผชิญกับขุนพลที่เลื่องชื่อ ตระหนักว่าตกหลุมพรางของศัตรูเข้าแล้ว จึงรีบควบม้าหมายกลับเข้าเมือง แต่แล้ว กลับมีอีกเงาร่างหนึ่งลอยตัวโฉบลงมาจากฟากฟ้า กระชากตัวมันหลุดจากหลังม้า ร่วงหล่นลงสู่พื้น เป็นอุยเอี๋ยน ขุนพลพายุคลั่ง อีกหนึ่งขุนพลสวรรค์ที่ใช้ปีกพิเศษเหินบินได้ดั่งใจนึกนั่นเอง
จูเหียนที่อยู่บนกำแพงเมือง เห็นชัดตาว่า อุยเอี๋ยนอาศัยกระเช้าลอยฟ้าขนาดใหญ่ร่อนมาตามกระแสลมแรงเหนือหมู่เมฆ แล้วค่อยทิ้งตัวลงมาด้วยปีกพิเศษ จึงสามารถโจมตีได้อย่างกระทันหัน จึงใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงใส่อุยเอี๋ยน เพื่อถ่วงเวลาให้พัวเจี้ยงได้ทันตั้งตัว แต่อีกด้านหนึ่ง จูล่งก็ใช้ดาบสยบมังกรตรงเข้าจัดการกับพัวเจี้ยงในทันทีเช่นกัน
พัวเจี้ยงพยายามใช้ง้าวมังกรเขียวกราดเหวี่ยงเข้าใส่ แต่จูล่งเหนือชั้นกว่ามาก เพียงขยับตัววูบก็ก้าวผ่านวงแหวนของง้าวเข้ามาประชิดตัว ตวัดดาบตัดคอพัวเจี้ยงได้ในพริบตา แล้วจูล่งคว้าหัวของพัวเจี้ยงชูขึ้น กระชากขวัญกำลังใจทหารฝ่ายกังตั๋งแทบหมดสิ้น ส่วนกวนหิน เตียวเปารีบนำกำลังทหารมาคุ้มครองแม่ทัพใหญ่ และกวนหินยังเก็บเอาง้าวมังกรเขียวของบิดามาใช้สังหารทหารฝ่ายตรงข้ามที่ติดตามพัวเจี้ยงออกมาด้วย
นับว่า แผนการล่อเสือออกจากถ้ำของจูล่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จูล่งได้รับพลังมังกรจักรวาลเพิ่มพูนสติปัญญาจนเทียบเทียมกับพวกอัจฉริยะทั้งหลาย พอประเมินว่าพัวเจี้ยงคือเสาหลักแห่งจิตใจของทหารฝ่ายตรงข้าม จึงแสร้งออกอุบายเดินทัพแบบห้าระลอก เริ่มต้นจากคนที่อ่อนด้อยก่อน เพื่อหลอกให้พัวเจี้ยงออกมาเผชิญหน้าด้านนอกเมือง แล้วตนเองกับอุยเอี๋ยนค่อยซ้อนกลแฝงตัวอยู่ด้านข้าง ใช้ความสามารถพิเศษจัดการสังหารเสียโดยเร็ว เป็นการจู่โจมที่จิตใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง
กองทัพทั้งห้าระลอกล้วนมุ่งหน้าบีบเข้าสู่ตัวเมืองเกงจิ๋ว โดยเฉพาะกองทัพพายุคลั่งของอุยเอี๋ยนเริ่มร่อนโฉบลงมาจากกระเช้าลอยฟ้าขนาดใหญ่ทั้งสิบลำ สิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ที่อัจฉริยะหญิง ฮองเย่อิง จัดส่งมาเปิดตัวในสงครามครั้งนี้ เห็นเหล่าทหารปีศาจร่อนบินฉวัดเฉวียงพร้อมเหวี่ยงโยนประทัดไฟ กระปุกระเบิดที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเมื่อครั้งศึกฮันต๋งไปอีกขั้นหนึ่ง โจมตีทหารบนกำแพงเมืองจนต้องล่าถอยออกไปจากพื้นที่ประจำการณ์ อาวุธแปลกใหม่ทำให้ฝ่ายรับแตกตื่นขวัญผวา ไม่กล้าสู้รบจริงจัง เปิดช่องให้ทหารเสฉวนสามารถใช้บันไดสวรรค์ปีนป่ายขึ้นกำแพงเมืองได้บ้างแล้ว เห็นทีเมืองเกงจิ๋วจะแตกได้ในไม่ช้า
แต่แล้ว ทหารฝ่ายกังตั๋งกลับคึกคักขึ้นมาใหม่ หันกลับมาต่อสู้ป้องกันเมืองอีกครั้ง เมื่อหนึ่งในกระเช้าลอยฟ้าถูกยิงร่วงหล่นลงมา พร้อมกับเสียงเครื่องยิงลูกไฟที่คุ้นเคยดังเข้ามาจากลำน้ำไต้กัง กองทัพเรือเหล็กอันเกรียงไกร ชูธง “ลกซุน” “กำเหลง” “จูกัดกิ๋น” เป็นสามทัพเรือโผล่พ้นแม่น้ำใหญ่เป็นแนวยาว ตรงเข้ามาที่ชายฝั่ง ใช้ความได้เปรียบเรื่องอาวุธระยะไกลโจมตีเข้าใส่กองทัพเสฉวนทั้งบนฟ้าและพื้นดินแบบไม่ยั้งมือ
จูล่ง แม่ทัพใหญ่ เห็นสถานการณ์เปลี่ยนแปลง การศึกคงจะยืดเยื้อ สมควรจะหยุดยั้งความสำเร็จไว้เพียงเท่านี้ก่อน จึงสั่งล่าทัพกลับฐานที่มั่น กองทัพห้าระลอกจึงค่อยทะยอยจากไป ทิ้งร่องรอยการต่อสู้ และร่างไร้ศีรษะของขุนพลพัวเจี้ยงไว้เป็นหลักฐานแห่งชัยชนะของทัพเสฉวน
ฝ่ายจูเหียน เมื่อเปิดประตูเมืองต้อนรับขบวนทัพเรือ กลับไม่พบเห็นลกซุน กำเหลง แต่อย่างใด มีเพียงจูกัดกิ๋น ชีเซ่ง เตงฮอง ที่เป็นผู้นำทัพที่แท้จริงเข้ามาพักผ่อนตามสมควร จูกัดกิ๋นค่อยเฉลยความนัยว่า พวกตนเพียงแต่อาศัยชื่อเสียงบารมีของลกซุนกำเหลง ข่มขวัญให้ศัตรูล่าถอยไปก่อน แล้วการศึกครั้งใหญ่ที่อิเหลงจะเป็นตัวตัดสินสงครามล้างแค้น ทางซุนกวน ลกซุน จึงระดมผู้คนสำคัญไปทางด้านนั้นแทน ทางเมืองเกงจิ๋วเพียงให้ระวังป้องกันเมืองไว้ให้นานที่สุด พัวพันพวกจูล่ง อุยเอี๋ยนเอาไว้ทางด้านนี้ก็เพียงพอ แต่เสียดายที่พวกตนเดินทางมาช้าไปเล็กน้อย จึงต้องสูญเสียขุนพลพัวเจี้ยงไปเสียก่อน
…
ทางฝ่ายกองทัพห้าสิบหมื่นของเล่าปี่ กำลังรอคอยเสบียงเสริมจากลิเงียม เล่าป๋า อย่างใจจดใจจ่อ เพราะเสบียงที่หลงเหลืออยู่ อาจจะเพียงพอใช้กินได้แค่สามสี่วันเท่านั้น แต่แล้ว ลิเงียม เล่าป๋า ก็นำพาข่าวร้ายกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เสบียงเสริมรอบใหม่ที่อุตส่าห์รวบรวมมาจากหัวเมืองใกล้เคียงได้นั้น กลับถูกกองทัพชนเผ่าปล้นชิงไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ เป็นชนเผ่าเย่ ทางใต้ของฝ่ายกังตั๋งเอง ไม่ใช่เผ่าม่าน เหมือนเมื่อคราวก่อน แสดงว่า พวกชนเผ่าพื้นเมืองกลับกลายเป็นปัญหากวนใจต่อกองทัพเสฉวนอีกแล้ว
“ชนเผ่าเย่เคยมีปัญหาขัดแย้งกันกับพวกกังตั๋งจนถึงขั้นสู้รบกันอย่างหนักมาเนิ่นนานแล้ว หากแต่ช่วงหลังที่จิวยี่ส่งลกซุนไปดูแลจัดการ ความรุนแรงจึงคลี่คลายไปได้ระดับหนึ่ง เปลี่ยนเป็นรูปแบบต่างคนต่างอยู่ หลีกเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยวกัน แต่ก็เชื่อว่า พวกเผ่าเย่เพียงรอคอยส้องสุมกำลังให้แข็งแกร่งขึ้นมาใหม่ จึงยอมเจรจาประวิงเวลาต่อกัน ในครั้งนี้ พวกลิเงียมนำไพร่พลไปน้อย จึงพลาดท่าเสียทีในถิ่นของพวกมัน” เสียวเอียนจื่อประเมินสถานการณ์ตามข้อมูลที่ได้รับ “ในเมื่อพวกเราเหลือเสบียงเพียงสามสี่วันเช่นนี้ เห็นทีว่าจะต้องเร่งมือให้รุกคืบไปข้างหน้า ชิงเมืองชีสองเอาเสบียงศัตรูมาใช้เสียแล้ว”
กษัตริย์เล่าปี่พยักหน้าเห็นด้วย ฝ่ายตรงข้ามในวันเวลานี้มีเพียงซุนหวน จิวเขียม เป็นผู้นำ ยังไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก อีกทั้งข่าวการตายของพัวเจี้ยงที่เมืองเกงจิ๋ว ก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจอยู่ไม่น้อย หากหักหาญด้วยกำลังพลห้าสิบหมื่น ผนวกกับพลังพิเศษที่ตนมีอยู่ ก็น่าจะทำได้ จึงสั่งการนัดหมายให้พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้นัดหมายจะออกรบแต่เช้า ก่อนที่กำลังเสริมจากกังตั๋งจะมาช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก
…
ในช่วงเวลาค่ำคืน งอปั้น เล่าป๋าที่คุมทัพอยู่ปลายแถวด้านตะวันออก พลันได้รับคำสั่งพิเศษจากทหารข่าวที่ถือตราประจำตัวของเล่าปี่มาเป็นสัญลักษณ์ สั่งการให้เคลื่อนพลล่วงหน้าไปก่อนเป็นการลับ สองนายทัพเข้าใจว่าเป็นแผนการรบ ไม่ทันสังเกตว่าเป็นตราเก่า จึงนำทหารร่วมสิบหมื่นเดินทางออกไปเข้าสู่ทุ่งสังหาร โดยไม่รู้ว่าเป็นกลลวงของฝ่ายตรงข้าม พอเริ่มการปะทะกัน ฐานที่มั่นก็ถูกโจมตีแล้วเช่นกัน
ฝั่งทิศตะวันตกซึ่งเป็นแนวลำน้ำไต้กังที่สมควรปลอดภัยจากการจู่โจม กลับมีกองทัพเรือเหล็กนำโดยเจียวขิม ปักหลักเป็นแนวยาวขนานไปตามลำน้ำ ระดมยิงเครื่องยิงลูกไฟเข้าใส่กองทัพเสฉวนโดยพร้อมเพรียงกัน ทำลายที่พักบนชายฝั่ง และกองทหารที่กำลังนอนหลับพักผ่อน จนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย โดยไม่อาจตอบโต้คืนได้ เพราะเป็นตำแหน่งผาสูงตลิ่งชัน กลับกลายเป็นเป้านิ่งของอาวุธระยะไกลโดยแท้ แสดงว่า พวกกังตั๋งคงเล็งเห็นจุดได้เปรียบตรงนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงวางสมรภูมิรบไว้ที่ตำบลอิเหลงแห่งนี้
ทางด้านเหนือซึ่งเป็นแนวป่าเขารกร้าง บัดนี้ กลับมีกองเพลิงลามเข้ามาถึงฐานทัพ เป็นท่อนไม้ใหญ่ที่ติดไฟ ถูกผลักกลิ้งลงมาเป็นระยะๆ เป็นกองทัพซุนหวนที่ควบคุมให้กองไฟลุกลามเข้ามากดดันกองทัพเป็นวงกว้าง แสงไฟลุกโชนในยามค่ำคืนสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนได้ไม่แพ้กันกับเสียงเครื่องยิงลูกไฟที่ยังดังสนั่นไม่ขาดสายเลย
และแล้ว ทางฝั่งตะวันออก กองทัพหลวงจากกังตั๋งที่นำมาโดยซุนกวน ซุนเต๋ง ลกซุน และเล่งทอง บดขยี้กองทัพเสฉวนที่ถูกล่อลวงออกจากที่มั่น ด้วยกำลังพลที่มากกว่าอย่างกระทันหัน จนงอปั้น เล่าป๋าล้วนตายในที่รบ ทหารเดนตายล่าถอยกลับมายังฐานที่มั่น พร้อมความหวาดกลัวเสียขวัญจนควบคุมไว้ไม่อยู่แล้ว
…
เล่าปี่ เสียวเอียนจื่อ ตันเตา และทหารองครักษ์ไม่กี่คน หลบหนีขึ้นมาอยู่เชิงเขาได้แล้ว มองดูหายนะที่เกิดขึ้นตรงหน้า กองทัพห้าสิบหมื่นล้วนล่มสลายไปตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นลิเงียม งออี้ พยายามควบคุมไพร่พล ชะลอความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่อาจกอบกู้สถานการณ์ขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น
กองทหารกังตั๋งเริ่มรุกคืบเข้ามาใกล้ จนตันเตาต้องนำองครักษ์ออกไปยับยั้ง ปล่อยให้เล่าปี่อยู่กับเสียวเอียนจื่อตามลำพัง ฉับพลัน เล่าปี่คล้ายตระหนักเรื่องราวอันใดขึ้นมาได้ เหลียวมองดูรอบกาย แล้วโพล่งขึ้น “ที่แท้เป็นเพราะเจ้านี่เอง เอียนจื่อ นี่คือสิ่งที่เจ้าวางแผนเอาไว้หรอกหรือ จึงจงใจนำพากองทัพของเรามาพักรอ ณ ที่แห่งนี้”
เสียวเอียนจื่อหน้าซีดขาว ปล่อยให้น้ำตาหลั่งรินไปตามใบหน้า ไม่ตอบคำใดๆ เล่าปี่ตาแดงฉานด้วยความโกรธ ไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้เหมือนเวลาปกติ จนพูดไม่ออก ได้แต่ยกมือชี้หน้าเสียวเอียนจื่อ เพราะรู้ตัวว่า ฝีมือห่างชั้นกว่าฝ่ายตรงข้ามเกินไป
เสียงขวับดังขึ้นจากแขนเสื้อ เล่าปี่ทดสอบยิงเกาทัณฑ์น้อยใส่เสียวเอียนจื่อ ทั้งๆที่รู้ว่า ฝ่ายตรงข้ามสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ เห็นเกาทัณฑ์ปักใส่กลางอกของกุนซือหญิง แล้วค่อยๆเลื่อนหลุดออกมาเอง แต่แล้ว ดวงตาของเล่าปี่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวเรืองรอง เสียวเอียนจื่อสังเกตพบ รับรู้ได้ว่า เล่าปี่กำลังจะใช้พลังเนตรมังกรแล้ว จึงรีบใช้พลังดรรชนีสกัดจุดเล่าปี่ให้เป็นอัมพาตไปชั่วคราว หยุดยั้งพลังพิเศษเอาไว้ได้ทันท่วงที
“ขออภัยด้วยพี่ใหญ่” นางแอ่นใช้เสียงเตียวหุย กล่าวคำพูดจากใจ ““ข้ารู้ว่าท่านรู้ว่าข้าคือใครมานานแล้ว และข้าก็นับถือที่ท่านสะกดกลั้นเก็บความลับมาได้ตั้งหลายสิบปีเช่นนี้ เพียงแต่บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในบั้นปลายชีวิตแล้ว”
ตามข้อมูลพงศาวดารฉบับที่นางแอ่นรับรู้มานั้น เล่าปี่พ่ายศึกใหญ่อิเหลง ถูกสังหารตายในที่รบอย่างลึกลับ มันจึงเพียรพยายามหลอกล่อให้เล่าปี่นำกองทัพใหญ่ลงมาทางใต้ แยกตัวขุนพลชั้นดีไปทางเมืองเกงจิ๋วจนหมดสิ้น แล้วนึกไม่ถึงว่า เป็นมันนี่เองที่ต้องจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้น อดีตน้องสามกลับต้องหักหลังพี่ใหญ่ร่วมสาบานเสียแล้ว
นางแอ่นยื่นมือไปชักกระบี่คู่ อาวุธคู่มือของเล่าปี่ที่ตนเองมอบให้กับมือเมื่อหลายสิบปีก่อนออกมา หมายจะปลิดชีวิตพี่ร่วมน้ำสาบานให้เป็นไปตามประวัติศาสตร์อีกครั้ง แต่นางกลับทำพลาดไปชั่ววูบ เผลอสบสายตากับเล่าปี่ที่เสี่ยงโชคครั้งสุดท้าย ใช้พลังเนตรมังกรออกมาจนได้ ทั้งๆที่ถูกสกัดจุด หมดสิ้นหนทางต่อสู้แล้ว
แสงสีเขียวสว่างวูบ เห็นขุนพลวิหคสวรรค์ตัวลอย ผงะล้มลงไปกับพื้น เล่าปี่เพิ่งถอนหายใจ ยินดีที่รอดตาย แต่แล้ว เสียงปรบมือกลับดังขึ้นจากด้านหลัง แล้วเจ้าของเสียงค่อยเดินออกมายิ้มเยาะกึ่งหยอกล้อ เป็นจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง ศัตรูคู่แค้นตลอดกาล
“แผนล่อเสือออกจากถ้ำอันประเสริฐ จูล่งใช้แผนนี้กับพัวเจี้ยงที่เกงจิ๋ว เสียวเอียนจื่อใช้แผนนี้กับท่านที่อิเหลง แต่ที่จริง เราเองก็ใช้แผนนี้กับมันด้วยเช่นกัน หากท่านกับกุนซือหญิงจะตกตายอยู่ในที่รบด้วยกันที่นี่ ผู้คนคงจะทำใจรับกษัตริย์คนใหม่อย่างอาเต๊าได้ง่ายขึ้นแล้วกระมัง” จูกัดเหลียงเฉลยแผนการอันซับซ้อนต่อเล่าปี่ด้วยข้อความสั้นกระชับ พลางหยิบเอากระบี่คู่ที่ตกอยู่กับพื้นดิน ขึ้นมาถือไว้แล้ว
“อาจจะเป็นพวกเราที่ใช้แผนล่อเสือกับท่านต่างหาก จูกัดขงเบ้ง” เสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียวเอียนจื่อที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกล คล้ายรอคอยมาแล้วพักหนึ่ง “ท่านต่างหากที่สมควรสิ้นชีพอยู่ที่นี่พร้อมกับเล่าปี่อย่างมีเงื่อนงำ เราจึงต้องลำบากจัดฉากละครโรงใหญ่เช่นนี้”
ที่แท้ พงศาวดารที่บันทึกไว้นั้น ถึงกับเป็นการตายในศึกครั้งสำคัญของสองบุคคลที่ยิ่งใหญ่ เล่าปี่และขงเบ้ง ปิดฉากความรุ่งเรืองชั่ววูบของอาณาจักรจ๊กก๊ก เหตุการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่นางแอ่นพยายามจัดฉากให้สำเร็จ ผ่านตัวละครตั้งมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะลกซุน พันธมิตรลับคนสำคัญของหน่วยปักษาสวรรค์
เห็นกุนซือพยัคฆ์คะนอง ลกซุน ถือกระบี่เดินออกมาจากพุ่มไม้ คุมเชิงปิดทางถอยขงเบ้งอยู่อีกทางหนึ่ง พลางเฉลย “ศิษย์พี่สี่ นางขอให้ข้าร่วมมือจัดฉากครั้งนี้ เสนอแนวทางจบสิ้นปัญหาจ๊กก๊กด้วยความตายของท่านทั้งสองคน และกำจัดกองทัพห้าสิบหมื่นให้หมดไป ดินแดนกังตั๋งก็จะสุขสงบไปอีกยาวนาน แผนการของนางนับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก จนมิอาจสุ่มเสี่ยง ดังนั้น ข้าจึงยอมเสียสละใช้ตราเก่าของเล่าปี่ ส่งจดหมายเชื้อเชิญศิษย์พี่สี่มาในคืนนี้ และพร้อมจะช่วยนางส่งวิญญาณของพวกท่านลงสู่ปรโลกแล้ว”
ทุกคนล้วนมีวาระซ่อนเร้นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตน หากลกซุนร่วมมือกับเสียวเอียนจื่อจริง จูกัดเหลียงก็คงไม่รอดเงื้อมมือของพญามัจจุราชเสียแล้ว
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 6 - พญายมถล่มแดนดิน
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย