31 ส.ค. 2021 เวลา 04:09 • หนังสือ
#67 เล่ม 3 บทที่ 14 หน้า 336 ~ 344
...
...
...
N : โอเคครับ เข้าใจล่ะ ผมเข้าใจว่าตอนนี้ผมสามารถออกไปฆ่าใครก็ได้ เพราะถ้าคนๆนั้นไม่ยินยอมผมก็คงฆ่าไม่ได้อยู่แล้ว❗
G : จริงๆเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ทำแบบนั้นอยู่แล้ว น่าสนใจที่เธอทำเป็นรับไม่ได้ พวกเธอก็ทำแบบนั้นมาโดยตลอดอย่างกับมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สามารถทำได้อยู่แล้ว
หรือที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเธอฆ่าคนโดยคนที่ถูกฆ่าไม่ได้สมัครใจด้วย อย่างกับว่าการฆ่าใครสักคนนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ ทำไปเถอะไม่เป็นไรหรอก❗
N : มันเป็นไรอยู่แล้วครับ❗ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราต้องการนั้น ‘สำคัญกว่า’
พระองค์ไม่เข้าใจหรือครับ❓ ตอนที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆฆ่าใครสักคน เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นไม่เป็นไร มันหยิ่งผยองเกินไปที่จะคิดอะไรแบบนั้น แค่ว่าสิ่งที่เราต้องการนั้นสำคัญกว่า
G : เข้าใจล่ะ ด้วยเหตุนั้นเธอจึงยอมรับได้ง่ายขึ้นว่ามันไม่เป็นไรหรอกที่จะฆ่าคนอื่นโดยที่คนๆนั้นไม่สมัครใจ เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ต้องถูกลงโทษ (ไม่ผิด) ที่ทำไปเพราะเธอรู้สึกว่าเจตจำนงของเขานั้นเป็นสิ่งผิด
N : ผมไม่ได้พูดแบบนั้นนะครับ มนุษย์ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น
G : ไม่เหรอ❓ เดี๋ยวฉันจะแสดงให้เห็นอาการปากว่าตาขยิบของพวกเธอบางคนให้ดู
พวกเธอบอกว่าไม่เป็นไรที่จะฆ่าใครสักคนโดยที่คนๆนั้นไม่สมัครใจตราบใดที่พวกเธอมี ‘เหตุผล’ ที่ดีพอให้เขาตาย เช่น ในสงคราม หรือในการประหารชีวิต (หรือแพทย์ในลานจอดรถของคลินิกทำแท้ง) แต่ถ้าใครก็ตามที่รู้สึกว่าตัวเขามีเหตุผลที่ดีพอจะให้ตัวเองตาย พวกเธอจะไม่ยอมช่วยให้เขาตายเด็ดขาด เพราะจะเป็นการ “ช่วยให้ผู้อื่นฆ่าตัวตาย”★ ซึ่งเป็นเรื่องผิด❗
1
★assisted suicide ถ้าแปลเป็นภาษาทางการหรือภาษากฏหมาย อาจแปลได้ว่า “การฆ่าตัวตายด้วยการช่วยเหลือทางการแพทย์” — ผู้แปล
N : พระองค์ทำให้พวกเราเป็นตัวตลก
G : ไม่หรอก พวกเธอต่างหากที่ทำให้ฉันเป็นตัวตลก
💢 พวกเธอบอกว่าฉันไม่ถือโทษที่พวกเธอฆ่าใครบางคนโดยที่เขาไม่สมัครใจ ขณะเดียวกันก็ถือโทษที่พวกเธอฆ่าใครบางคนตามความสมัครใจของเขา ‘นี่คือความเสียสติ’
💢 พวกเธอไม่เพียงไม่เห็นความเสียสติตรงนี้ แต่ยังบอกอีกด้วยว่าคนที่ชี้ให้เห็นความเสียสตินี้ต่างหากคือ คนที่เสียสติ
💢 พวกเธอคือคนที่มีความคิดมีวิจารณญาณ ส่วนคนอื่นนั้น (คนที่ชี้ให้เห็นความเสียสติ) คือพวกชอบสร้างปัญหา
💢 และนี่ก็เป็นหลักเหตุผลที่วิปริต ซึ่งเป็นแนวคิดที่เป็นรากฐานของการสร้างวิถีการดำเนินชีวิตและศาสนศาสตร์ทั้งหมดของพวกเธอ
N : ผมไม่เคยมองอะไรแบบนั้นเลย
G : ฉันจะบอกกับเธอว่า : 🔸มันถึงเวลาที่เธอต้องมองเรื่องราวต่างๆด้วยสายตาแบบใหม่แล้ว🔸
นี่คือห้วงยามของการเกิดใหม่ของเธอทั้งในฐานะปัจเจกและในฐานะสังคม ในเวลานี้เธอต้องสร้างโลกของเธอขึ้นมาใหม่ ก่อนที่ความเสียสติของพวกเธอจะทำลายมันจนพินาศ
เวลานี้ ‘จงฟังฉัน’
🟠 พวกเราทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน
🟠 มีเราเพียงหนึ่งเดียว (คนเดียว) เท่านั้น
🟠 เธอไม่ได้แยกขาดจากฉัน แล้วเธอก็ไม่ได้แยกขาดจากคนอื่น
🟠 ทุกอย่างที่เรากำลังทำ เรากำลังทำไปพร้อมกับคนอื่นๆ
2
🟠 ความเป็นจริงของเรา คือความเป็นจริงที่ถูกสร้างขึ้นร่วมกัน
🟠 หากเธอทำแท้ง เราก็ทำแท้ง เจตจำนงของเธอ คือเจตจำนงของฉัน
🟠 ไม่มีปัจเจกภาคใดของพระเจ้าจะมีพลังเหนือกว่าอีกปัจเจกภาคของพระเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่วิญญาณดวงหนึ่งจะส่งผลต่อวิญญาณอีกดวงโดยที่วิญญาณดวงนั้นไม่ยินยอม
🟠 ไม่มีเหยื่อ และ ไม่มีผู้ร้าย
1
เธอไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้จากมุมมองอันคับแคบจำกัดของเธอ แต่ฉันกำลังบอกกับเธอว่า มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะเป็น ทำ หรือมีสิ่งใดๆ นั่นก็คือ 🔸เพื่อประกาศถึงตัวตนที่เธอเป็น🔸
ถ้าตัวตนของเธอในฐานะปัจเจกและในฐานะสังคม เป็นไปตามที่เธอเลือกและปรารถนาที่จะเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น
1
ในทางกลับกัน หากเธอเชื่อว่ามันยังมีประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่า (ยังมีการสำแดงตัวตนของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน) รอคอยอยู่ ก็จงเคลื่อนเข้าหาความจริงนั้นเถิด
1
🔸เพราะพวกเราทั้งหมดต่างเป็นผู้ร่วมสร้าง🔸
มันอาจเป็นประโยชน์ต่อพวกเราเองที่จะทำสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อชี้ให้คนอื่นเห็นถึงทางที่พวกเราบางส่วนบอกว่าต้องการไป
เธอสามารถเป็นผู้ชี้ทางที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตในแบบที่เธออยากสร้างสรรค์ขึ้น และเชื้อเชิญผู้อื่นให้ทำตามตัวอย่างจากเธอ
เธออาจถึงขั้นพูดว่า “เราเป็นชีวิตและเป็นทางนั้น จงตามเรามา” แต่ระวังเอาไว้ให้ดี เพราะมีบางคนถูกตรึงกางเขนจากการประกาศอะไรแบบนี้
N : ขอบคุณครับ ผมจะใส่ใจในคำเตือน จะทำตัวให้สงบเสงี่ยมและอยู่แบบเงียบๆเข้าไว้
G : เธอก็ทำได้ดีอยู่นะ
N : เวลาที่เราบอกว่าเรากำลังสนทนากับพระเจ้าอยู่ มันก็ยากที่จะอยู่แบบเงียบๆได้นะครับ
G : อย่างที่ใครบางคนได้ค้นพบ
N : ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ดีที่ผมจะสงบปากสงบคำเอาไว้
G : ช้าไปแล้วมั้ง
N : ความผิดของใครละครับเนี่ย❓
G : ฉันเข้าใจความหมายของเธอ
N : ไม่เป็นไรครับ ผมยกโทษให้
G : จริงเหรอ❓
N : จริงครับ
G : เธอให้อภัยฉันด้วยวิธีไหน❓
N : เพราะผมเข้าใจว่าทำไมพระองค์ถึงทำแบบนั้น เข้าใจว่าทำไมพระองค์ถึงเข้ามาในชีวิตผมแล้วก็เริ่มการพูดคุยนี้ และเมื่อผมเข้าใจเหตุผล ผมก็เลยสามารถให้อภัยกับความยุ่งยากทั้งหลายที่เกิดขึ้นตามมาได้
G : อืมมม น่าสนใจทีเดียว เธอสามารถคิดแบบนี้ได้ไหม
💥‘คิด’ ว่าพระเจ้านั้น
💥ยิ่งใหญ่เทียบเท่าเธอ
N : ได้ครับ
G : เธอมีความสัมพันธ์กับฉันในแบบที่ไม่ธรรมดา
🔆 ในบางกรณีเธอก็คิดว่าตัวเองไม่มีวันยิ่งใหญ่ได้เท่าฉัน
🔆 และในอีกหลายกรณีเธอก็คิดว่าฉันไม่มีทางยิ่งใหญ่ได้เท่าเธอ
เธอไม่คิดว่ามันน่าสนใจหรือ❓
N : น่าสนใจจริงๆ
G : 📌 นี่เป็นเพราะเธอคิดว่าเรานั้นแยกขาดจากกัน มโนคตินี้จะหายไปหากเธอคิดว่าเรานั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน
นี่คือความแตกต่างหลักๆระหว่างวัฒนธรรมของเธอ (ที่ยังเป็นวัฒนธรรม “แบเบาะ” / เป็นวัฒนธรรมที่ยังล้าหลังหรือยังไม่พัฒนา) กับวัฒนธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงอื่นๆในจักรวาล
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดก็คือ : ในวัฒนธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงทั้งหลายเหล่านั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างรู้ชัดว่า — ✨ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างพวกเขากับสิ่งที่พวกเธอเรียกว่า “พระเจ้า”✨
พวกเขายังรู้ชัดอีกว่า — ✨ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างตัวของพวกเขาเองกับคนอื่น✨
พวกเขารู้ว่า — ✨แต่ละคนต่างมีประสบการณ์ถึงความเป็นองค์รวมในแบบของตัวเอง✨
N : โอ้ ดีเลยครับ ตอนนี้พระองค์กำลังจะเข้าประเด็นของสังคมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงในจักรวาลแล้วใช่ไหม❓ รอมานานล่ะ
G : ใช่ ได้เวลาที่จะสำรวจแง่มุมในเรื่องพวกนี้กันแล้ว
N : แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้น ผมต้องขอย้อนกลับไปที่ประเด็นเรื่องการทำแท้งเป็นครั้งสุดท้าย
พระองค์ไม่ได้กำลังจะบอกอย่างนี้ใช่มั้ยว่า ไม่เป็นไรที่เราจะฆ่าคน เพราะไม่มีอะไรที่สามารถเกิดขึ้นได้หากวิญญาณของเขาไม่ยินยอม
พระองค์ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นใช่ไหม❓ พระองค์ไม่ได้กำลังบอกว่าการทำแท้งไม่ผิด ไม่ได้กำลัง “หาทางออก” ให้กับพวกเราในเรื่องนี้ใช่มั้ย❓
G : 📌 ฉันไม่ได้บอกว่าการทำแท้งผิดหรือไม่ผิด พอๆกับที่ไม่ได้บอกว่าสงครามผิดหรือไม่ผิด
คนของทุกประเทศคิดว่าฉันไม่ถือว่าสงครามที่ฝ่ายตนกำลังก่ออยู่เป็นเรื่องผิด แล้วก็คิดว่าฉันถือว่าสงครามของฝ่ายตรงข้ามต่างหากที่เป็นสิ่งผิด
คนของทุกประเทศเชื่อว่า “พระเจ้านั้นอยู่ข้างตน” อุดมการณ์ทุกอย่างก็มีสมมติฐานแบบนี้ ในความเป็นจริงแล้ว ‘ทุกๆคน’ ต่างก็รู้สึกแบบเดียวกันนี้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงเวลาที่ต้องตัดสินใจหรือเลือกทำอะไรสักอย่าง
แล้วเธอรู้ไหมว่าทำไมทุกคน (และสิ่งมีชีวิตทั้งหมด) ถึงเชื่อว่าพระเจ้านั้นอยู่ข้างตน❓
💥 ก็เพราะฉันเป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะสิ
💥 สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างหยั่งรู้เรื่องนี้อยู่ลึกๆ
🟠 นี่คืออีกวิธีที่จะพูดว่า “เจตจำนงที่เธอมีต่อตัวเองคือเจตจำนงที่ฉันมีต่อเธอ”
🟠 แล้วนั่นก็เป็นอีกวิธีที่จะพูดว่า “ฉันได้มอบเจตจำนงอิสระอย่างเต็มที่แก่เธอ”
📌 ไม่ใช่เจตจำนงอิสระหรอกหากการใช้มันไปในทางใดทางหนึ่งแล้วทำให้ต้องถูกลงโทษ
📌 นั่นทำให้เจตจำนงอิสระกลายเป็นเรื่องตลกและกลายเป็นเรื่องเท็จไป
▶️ ในส่วนที่เกี่ยวกับการทำแท้ง หรือ สงคราม
▶️ การซื้อรถสักคัน หรือ แต่งงานกับใครสักคน
▶️ การมีเซ็กซ์ หรือ ไม่มีเซ็กซ์
▶️ “การทำตามหน้าที่” หรือ “การไม่ทำตามหน้าที่”
✴️ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าถูกและผิด
✴️ และฉันก็ไม่ได้ชอบเรื่องหนึ่งมากกว่าอีกเรื่อง
✴️ ฉันไม่มีความชอบหรือไม่ชอบอะไรทั้งนั้น
🌟 พวกเธอทั้งหมดต่างอยู่ในกระบวนการของการนิยามตัวเอง
🌟 ทุกการกระทำคือการให้นิยามตัวเอง
📌 หากเธอพอใจหรือมีความสุขกับวิธีที่เธอสร้างตัวเองขึ้นมา หากมันเป็นประโยชน์ต่อเธอ เธอก็จะทำแบบนั้นต่อไป — แต่หากเธอไม่พอใจหรือไม่มีความสุข เธอก็จะหยุด
นี่แหละคือ ✨วิวัฒนาการ✨
💢 ที่กระบวนการมันช้าก็เพราะในขณะที่เธอกำลังวิวัฒนาการ เธอเปลี่ยนความคิดว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเธออยู่ตลอด เธอเอาแต่เปลี่ยนแนวคิดว่าอะไรที่ทำให้เธอ “มีความสุข”
จงจำสิ่งที่ฉันเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า เธอจะบอกได้ว่าใครหรือสังคมไหนพัฒนา (หรือวิวัฒน์) ไปมากเพียงใด โดยดูจากสิ่งที่คนๆนั้นหรือสังคมนั้นเรียกว่า “ความสุข” และจากสิ่งที่คนๆนั้นหรือสังคมนั้นบอกว่าเป็นประโยชน์ต่อตน
ถ้าการก่อสงครามและการฆ่าคนอื่นเป็นประโยชน์ต่อเธอ เธอก็จะทำอย่างนั้น ถ้าการทำแท้งเป็นประโยชน์ต่อเธอ เธอก็จะทำอย่างนั้น
มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เปลี่ยนไปในขณะที่เธอวิวัฒนาการก็คือ 🔸แนวคิดว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเธอ — และนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอคิดว่าตัวเองกำลังพยายามทำอะไรอยู่🔸
หากเธอจะไปเมืองซีแอตเทิล มันก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อเธอที่จะมุ่งหน้าไปทางเมืองซานโฮเซ่ มันไม่ใช่เรื่อง “ผิดศีลธรรม” ที่จะไปซานโฮเซ่ มันแค่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเธอ
ฉะนั้น คำถามที่ว่า 🔸เธอกำลังพยายามทำอะไรอยู่🔸 จึงกลายเป็นคำถามที่ “สำคัญที่สุด” (เป็นคำถามแรกสุดที่ควรต้องถาม) ไม่ใช่แค่กับชีวิตโดยรวม แต่กับทุกๆห้วงขณะในชีวิตของเธอโดยเฉพาะ เพราะ ‘ในแต่ละห้วงขณะ’ ของชีวิตนั่นเองที่ก่อร่างสร้างตัวชีวิตขึ้นมา
เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ถูกอธิบายไว้โดยละเอียดแล้วในตอนเริ่มต้นของการสนทนาอันศักดิ์สิทธิ์ที่เธอเรียกว่า ‘เล่ม 1’ ฉันพูดซ้ำอีกครั้งตรงนี้เพราะดูเหมือนว่าเธอจำเป็นต้องได้รับการย้ำเตือน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามฉันเรื่องการทำแท้ง
▶️ ดังนั้นเวลาที่เธอเตรียมทำแท้ง
▶️ หรือเวลาที่เธอเตรียมสูบบุหรี่
▶️ หรือเวลาที่เธอเตรียมทอด และกินเนื้อสัตว์
▶️ และเวลาที่เธอเตรียมขับรถปาดหน้าคันอื่นบนท้องถนน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกครั้งสำคัญหรือไม่สำคัญ มีเพียงคำถามเดียวให้คิดพิจารณาก็คือ :
นี่คือตัวตนของฉันจริงๆหรือเปล่า❓
นี่คือตัวตนที่ฉันเลือกจะเป็นตอนนี้ใช่ไหม❓
และจงเข้าใจว่า :
💥ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่มีผลลัพธ์ตามมา ทุกสิ่งทุกอย่างส่งผลเสมอ ซึ่งผลก็คือ “ตัวตนและสิ่งที่เธอเป็น”
💥 เธอกำลังอยู่ในขั้นตอนของการนิยามตัวเองอยู่ในตอนนี้แล้ว
⏩ นั่นคือคำตอบต่อคำถามของเธอเรื่องการทำแท้ง
⏩ นั่นคือคำตอบต่อคำถามของเธอเรื่องสงคราม
⏩ นั่นคือคำตอบต่อคำถามของเธอเรื่องการสูบบุหรี่และการกินเนื้อสัตว์
⏩ และต่อทุกคำถามเกี่ยวกับทุกพฤติกรรมที่เธอเคยมี
🌟 ทุกการกระทำคือ :
🌟 การให้นิยามตัวเอง
ทุกสิ่งที่เธอคิด พูด และทำ
คือการประกาศว่า...
💥 นี่คือ ตัวตนของฉัน
💥 นี่คือ สิ่งที่ฉันเป็น
(จบ – บทที่ 14)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา