27 ก.ย. 2021 เวลา 02:00 • ท่องเที่ยว
Chapter 10 : While Away Myself in Pattaya
ได้เวลาไปหาทะเลอีกแล้ว 😊
เขียน ณ วันที่ 31 Dec 2020
หู้วววว แป๊บๆ ก็สิ้นปีอีกละ เวลามันผ่านไปเร็วชะมัดเลย (เค้าว่าคนเรายิ่งแก่ยิ่งรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว 🤣) โดยเฉพาะปี 2020 ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการจดจำสำหรับมนุษยชาติมากที่สุดก็ว่าได้ มันมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ และกระทบกับชีวิตของเราในทุกมิติ ทั้งการทำงาน การใช้ชีวิต รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ โดยเฉพาะกะตัวเราเอง เราคิดว่าปี 2020 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกะตัวเราอย่างมากมาย
Chapter นี้คงจะเป็น chapter สั้นๆ เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกะตัวเราเอง มันเป็นสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิด ความรู้สึกของเราแบบที่เรียกได้ว่าสิ้นเชิง ซึ่งเรามองว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์กะคนอื่นได้บ้างที่ต้องเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กะเรา
เราอกหัก 🥴 อกหักมา 8 เดือนละ (ไม่อยากบอกเลย อาย ปูนนี้ละ 🤣🤣🤣) จริงๆ อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แหละเพียงแต่ยังไม่หายสนิท ยังคงมีความคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาอยู่เสมอ แต่มันไม่ใช่ความโกรธเกลียดใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราไม่อยากโกรธเกลียดใครให้ใจมันหนัก เผื่อวันนึงตายไปจะได้ไม่เอาความรู้สึกนี้ไปด้วย ขอไปแบบโล่งๆ ดีกว่า 5555
อย่างที่เราบอก ความรักครั้งนี้มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ในใจเราเสมอ มันไม่หลุดออกไปซะที จนเรารู้สึกเหนื่อยเพราะเรายังไม่รู้วิธีจะดีลกับมัน สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำร้ายจิตใจเราก็จริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราได้เปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งยิ่งใหญ่
จริงๆ มันก็เจ็บอั้กละนะ กว่าจะผ่านมาได้แต่ละวัน เราต้องคอยหาอะไรทำให้ใจมันไม่หมกมุ่นพลุ่งพล่านฟุ้งซ่านไปกะความโกรธความเกลียด ช่วงนั้นเอง เราก็ได้รู้จักกับการดูหมอดูใน Youtube 😳
ไม่รู้ว่ามันมีเครื่องดักฟังหรืออะไร ทุกวันนี้ยังสงสัยว่า Youtube มันได้ยินสิ่งที่เราคุยกะเพื่อนด้วยหรือไงเนี่ย 🧐 มันถึงรู้ว่าเราสนใจเรื่องนี้แล้วก็โชว์ "Content ที่คุณอาจจะสนใจ" มาให้เราเพียบเลย 😵 (เคยได้ยินแต่ FB ที่ชอบแอบฟังคนเค้าคุยกัน)
ช่วงนั้นเรานี่หลงไหลไปกะการดูหมอดูใน Youtube มาก ดูเพื่อขอกำลังใจว่าเดี๋ยวเค้าจะสำนึกผิด เดี๋ยวเค้าจะกลับมา เดี๋ยวอะไรๆ มันจะดีขึ้น เดี๋ยวเราจะเจอคนใหม่ สารพัดเดี๋ยวที่เราคิดว่าจะต้องเป็นเรื่องดี 🤣
แรกๆ เราก็ไม่เชื่อหรอกนะ เพราะเราเคยแต่ดูดวงที่เราต้องเป็นคนหยิบไพ่เอง มันจะเป็นไปได้ไงวะที่คนอื่นหยิบไพ่ละมันจะตรงกะชีวิตของเรา ไม่เชื้อไม่เชื่อ แต่พอได้ดู เห้ย ไมมันตรงกะตูงี้อ่ะ คำทำนายมันช่างตรงกะสิ่งที่เกิดขึ้นกะเรา ตรงกะความรู้สึกเราหยั่งกะเราเป็นคนหยิบไพ่เองเลย ว้าวมาก
นอกจากนั้น มันไม่ได้มีแต่คำพูดปลอบใจที่เราอยากได้ยินนะ หมอดูบางคนยังสอนให้เรารู้จักพัฒนาร่างกายและจิตใจของตัวเองอีกด้วย โดยหากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ทำซะ เช่น ไปออกกำลังกาย ไปทำงานศิลปะ วาดรูป ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ เป็นจิตอาษาอ่านหนังสือเสียงให้คนตาบอด อะไรที่ทำแล้วดีกะตัวเองและผู้อื่น เมื่อเรารู้สึกดีกับตัวเองเราก็จะคลายความเศร้าไปได้ทีละเปลาะๆ ซึ่งเราทำหมดเลย 555 รู้สึกดีกะตัวเองมาก 😊 และการสวดมนต์นั่งสมาธิ ตอนได้ยินครั้งแรกบอกตามตรงรู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำเลย (นั่งสมาธิเนี่ยนะ 555) แรกๆ ก็พยายามลองทำดูนะ แต่มันยากจังเลย งั้นขอแค่สวดมนต์ก่อนก็แล้วกัน 😬
เราพยายามใช้เวลาอยู่กับคนอื่นให้มาก หาอะไรทำเพราะมันจะทำให้เราไม่ว่างที่จะคิดถึงอดีต แต่พอต้องอยู่คนเดียว มันก็จะมาหลอนเราอีก มันวนเวียนเป็นวงกลม เราเลยรู้สึกว่าคงไม่ได้ละ เราคงต้องหาทางแก้ไขจริงจังละ เราเลยเริ่มหันมาศึกษาการนั่งสมาธิว่ามันจะช่วยเราได้ยังไง
ในความเข้าใจของเรา การนั่งสมาธิคือการทำให้เรารู้ตัว รู้สิ่งที่เกิดขึ้นกะใจเรา และแค่รับรู้มันแต่ไม่ไปคิดตามมัน พอใจมันคิด จิตรับรู้และบอกตัวเองว่า โอเคเราคิดเรื่องนี้อยู่นะ พอรู้ตัวแล้วก็ให้หยุดและกลับมาอยู่กะสมาธิอีก การรู้ทันใจแบบนี้แหละที่จะทำให้เกิดสติ
แรกๆ มันทำยากมากกกก เพราะใจเราว่อกแว่กคิดโน่นนี่เป็นร้อยครั้งได้มั้ง 555 มันทำให้เราได้เห็นว่าใจตัวเองนี่โคดดิ้นเลย มันไม่เคยเชื่อฟังเราเลยซักนิดนะ มันจะแว่บไปโน่นนี่ตลอด ถึงแม้เราจะบอกมันว่า "อย่าไปคิด" มันก็ไม่เคยสน แถมเรายังไปคิดต่อจากมันอีกทีนี้เลยไปกันใหญ่เลย พอคิดถึงอดีตก็โกรธโมโหเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ทำไมต้องเป็นเราด้วยวะ ทำไมทำไมทำไม และก็ไปคิดถึงอนาคตด้วยนะว่าถ้าเรื่องมันไม่ได้จบแบบนี้มันจะเป็นยังไงต่อไปนะ เราคงมีชีวิตที่ดีโน่นนี่เนอะ เพ้อไปอีก 😖 ซึ่งมันแย่มากเลยนะ
ตอนนี้เราคิดว่าเราเข้าใจ concept ของการนั่งสมาธิละ เราก็ยังทำได้ไม่ดีมากเท่าไหร่ แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนที่ยังไม่นั่งสมาธิมาก
กลับมาที่เรื่องหมอดู เราก็ยังคงชอบดูดวงไปพร้อมๆ กับหัดสวดมนต์นั่งสมาธิ แต่พอดูๆ ไปซักพัก เราเริ่มรู้สึกว่า ไอ้เรื่องที่เราพยายามจะลืมทำไมมันยังอยู่ในหัวในใจเราตลอดเวลา ทุกครั้งที่ฟังคำทำนายมันจะมาสะกิดต่อมความรู้สึกของเราให้ไม่ดับซะงั้น มันกลับทำให้เราฟุ้งซ่านมากขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้น เราเลยเริ่มรู้สึกว่าเราคงต้องออกมาจากตรงนั้นละ
ไม่ใช่ว่าหมอดูเหล่านั้นไม่ดีหรืออะไรนะ แต่เรารู้สึกว่ามันทำให้เราเกิดความหวังกับสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงรึป่าว และมันทำให้ใจเรามันค้างเติ่งติดอยู่กะคนๆ นั้นแบบสลัดไม่ออก ซึ่งมันแย่มาก เค้าเรียกว่ายัง "move on" ไม่ได้นั่นเอง (แน่ะศัพท์วัยรุ่นเนอะ 😆) พอคิดได้ เราก็เลิกดูหมอดูทั้งหลายเลย (จริงๆ ยังเหลือบางคนที่เรายังติดตามอยู่เพราะเค้าไม่ได้เน้นเรื่องความรักอย่างเดียวแต่เน้นเรื่องการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นด้วย)
และพอเราสนใจศาสตร์การพัฒนาตัวเอง เชื่อมะ อยู่ๆ เราก็ไปเจอ course นึงที่เค้าจะสอนให้เราเห็นจุดบกพร่องที่ทำให้เราพัฒนาศักยภาพของตัวเองไม่ได้ สิ่งนั้นอาจจะเป็นอดีตที่ฝังอยู่ในใจเป็นปมเล็กๆ หรือเป็นคำพูดหรือการกระทำบางอย่างของคนอื่นที่ทำกะเรา หรือเราทำกะตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วจิตใต้สำนึกดันไปจดจำมันไว้ว่า เราแย่อย่างที่คนอื่นพูด เราไม่ดีอย่างที่เราพูดถึงตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวปิดกั้นไม่ให้ศักยภาพของเราได้ถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่
เราเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เรามาเจอกะ course นี้เข้า และเราก็ตัดสินใจไปเข้า class นั้น ซึ่งมันดีมากในความรู้สึกเรา มันทำให้เราได้ปลดปล่อยบางอย่างที่เป็นสารพิษตกค้างในความคิดลึกๆ ของเรา พอเราให้อภัยสิ่งนั้นได้ เราก็รู้สึกโล่งขึ้น จิตใจที่เคร่งเครียดเป็นทุกข์ก็รู้สึกปล่อยวางได้มากขึ้น แล้วพอเรารู้สึกโล่งขึ้น ก็ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ทำงานสนุกมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
หลังจากนั้นมีคนสอนเราอีกว่า การที่เรายังคิดเครียดกะเรื่องงาน เครียดกะเจ้านาย มันเป็นเพราะเรามีอัตตาตัวตนมากเกินไป ซึ่งเราโคตรงงว่าอัตตาคืออะไร เราก็เลยหันมาศึกษาเรื่องนี้อีก ก็เลยรู้ว่า อัตตาคือการยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวกู ของกู
พอเรามาคิดๆ เออมันจริงหมดเลยแฮะ สิ่งที่ทำให้ใจเรามัวหมอง มองแต่เรื่องแย่ๆ ไม่ได้มาจากคำพูดของคนที่พูดกะเราหรือแสดงกะเรา แต่มันเป็นตัวเราเองต่างหากที่ยึดมั่นถือมั่นว่าเค้าด่า "กู" เค้าด่าตัว "กู" ซึ่งเราต้องปกป้องตัว "กู" ไม่ให้ใครมาดูถูก
การที่เรายึดติดกับคำว่า "ตัวกู" "ของกู" มันทำให้เราไม่ปล่อยวาง เราเก็บทุกอย่างมาเป็นของเราหมด ทั้งที่คนพูดเลิกคิด เลิกรู้สึกแบบนั้นไปนานแล้ว แต่เรายังเอามายึดไว้กับตัว เก็บมาคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์ นั่งว่างๆ ก็นึกถึงตอนที่เจ้านายด่า แล้วก็มาโกรธว่าดูเด๊ะ ด่าแต่ "กู" ว่าแต่ "กู" ทั้งๆ ที่ไอ้คนพูดเค้าไปมีความสุขที่ไหนๆ แล้ว ไอ้คนฟังยังแบกมันไว้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่เราควรทำคือการพิจารณาว่าคำด่าเหล่านั้นเป็นจริงรึเปล่า ถ้าเป็นจริงก็เอามาปรับใช้ แก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น แต่อย่านำมันมาฝังไว้ในใจ
ตอนนี้เราคิดได้แล้วว่า อัตตา ที่เรายึดไว้มันทำร้ายตัวเราใจเราให้เป็นทุกข์มานานขนาดไหน ไม่ใช่แม้แต่เรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์ก็เช่นกัน เรายึดคนๆ นั้นว่าต้องเป็นอย่างที่เราต้องการ ต้องมาเป็นคู่ของเรา พอไม่ได้เป็นอย่างที่หวังก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา
ที่เล่ามาทั้งหมดอาจจะฟังดูงงๆ เราแค่อยากจะบอกว่า ถ้าวันนั้นเราไม่เจอความทุกข์ เราคงไม่ได้พบเจอสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงตัวเราได้มากขนาดนี้ และเราก็อยากจะเป็นกำลังใจให้คนที่อาจจะกำลังท้อเรื่องอะไรอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องงาน หรือเรื่องอื่นๆ ให้ผ่านมันมาให้ได้
เราเคยผ่านจุดที่เสียใจมากมาแล้ว เรารู้ เราเข้าใจว่ามันยากที่จะใช้ชีวิตในแต่ละวัน แต่การเอาตัวเองไปจมกับมัน คอยแต่หวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้น คิดว่าเดี๋ยวเค้าคงกลับมา แล้วก็เอาแต่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ คิดว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราต้องเลิกกัน มันไม่ได้ช่วยให้ตัวเราดีขึ้นหรือมีความสุขขึ้นเลย
ถ้าเราหันไปมองรอบๆ ตัวเรา ยังมีคนอีกมากมายนะที่เค้ารักเรา ที่เค้าปรารถนาดีกับเรา อย่าปล่อยให้คนๆ เดียวมาลบคุณค่าของคนอีกหลายสิบคนที่เค้ารักเรา นอกจากนั้นสิ่งที่เราควรทำคืออย่าปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่กะอดีต พยายามเอาตัวเองออกมาทำกิจกรรมหรืออะไรก็ได้ ที่ไม่ปล่อยให้เราว่างจนเกินไป
เห็นพระอาทิตย์มั้ยล่ะ พระอาทิตย์มีขึ้นทุกวันและก็มีตกทุกวัน เหมือนความทุกข์ของคนเรานั่นแหละ มีเข้ามาก็ต้องมีออกไปเสมอ อยู่ที่ตัวเราเป็นคนกำหนดว่าจะให้มันออกไปจากชีวิตเราเมื่อไหร่ ถ้าเราเก็บไว้แบกมันไว้ มันก็จะอยู่กะเราอีกนาน แต่ถ้าเราเลือกตัดมันออกไป มันก็จะค่อยๆ เลือนหายไป
เราไม่ได้บอกว่าตัดมันออกไปแล้วมันก็จะสลายหายวับไปนะ แต่มันจะค่อยๆ จางไปจากความรู้สึกของเรา จนเหลือเป็นแค่ประสบการณ์นึงในชีวิตที่ผ่านเข้ามา และขอให้เราเก็บประสบการณ์นั้นไว้เพื่อเป็นครูสอนเราไม่ให้ทำพลาดแบบนั้นอีกในอนาคต
เราคงกำหนดโชคชะตาตัวเองไม่ได้ว่าจะเจออะไรบ้าง แต่เรากำหนดได้ว่า เราจะทำทุกอย่างให้ดี ปฏิบัติกะคนอื่นให้ดี ตั้งใจทำงานให้ดี สิ่งที่มันจะเกิดถ้าดีก็โอเคไปกะมัน แต่ถ้าไม่ดี อย่างน้อยเราก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ
หลังจากพล่ามมาตั้งนาน อยากจะบอกว่า สิ้นปี 2020 เรามาเที่ยวพัทยาคนเดียวแบบปลีกวิเวก เพราะเราชอบการอยู่คนเดียว (บางครั้งเองนะ ไม่ใช่ตลอดเวลา 😆) และเราเลือกมาทะเลเพราะเราชอบทะเลที่สุด ชอบนั่งมองมันจากไกลๆ มันสงบดี มันช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น คิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกะเราในปีที่ผ่านมา
เราเชื่อว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิด คนทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเรา มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นสิ่งที่ถูกลิขิตไว้แล้วให้เราต้องพบเจอ ทุกเรื่องเข้ามาเพื่อสอนอะไรเราบางอย่างเสมอ สอนให้เราไม่ยึดติดกับอะไรๆ ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์สลับกันเข้ามาเสมอ แต่เราสามารถมองความทุกข์ที่เกิดขึ้นให้เป็นเรื่องบวก มันไม่ได้ทำให้เราตาย แต่มันทำให้เราเป็นคนที่แข็งแรงขึ้น รู้วิธีรับมือกับปัญหาได้ดีขึ้น
การมาทะเลครั้งนี้ทำให้เรามีความสุขมาก ไม่รู้ดิ อยู่ๆ มันก็รู้สึกเป็นสุข สุขที่ได้นึกถึงช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา ว่าเราได้เรียนรู้อะไรๆ มากมายจากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกะเรา เราว่าตอนนี้จิตใจเราดีขึ้นเกิน 100% จากปกติเลยแหละ เราคิดบวกกับตัวเองมากขึ้น คิดบวกกะคนรอบข้างมากคิด แม้แต่คิดบวกกะคนที่เราไม่ชอบมากขึ้นด้วยนะ 😊
ขอบคุณปี 2020 นะ ที่สอนให้เราเป็นคนที่แกร่งขึ้นและดีขึ้น หวังว่าปี 2021 จะยิ่งเป็นปีที่ดีขึ้นสำหรับเรา และสำหรับทุกๆ คนนะคะ
ปล. ลืมไปเลย เอารูปโรงแรมมาฝากด้วย
ครั้งนี้เราไปนอนที่ U Jomtien Pattaya โรงแรมดีมาก ใหม่ สะอาด ปลอดภัย facility ครบ แนะนำเลยค่ะ มาคนเดียวไม่น่ากลัวเลย 😁👍
U Jomtien Pattaya
ห้องน้ำแบบ see through จ้า มาเป็นคู่ก็ไม่ต้องเขินกันเลย 😆
U Jomtien Pattaya
วิวจากห้องนอนเรา ชอบมากเลย
U Jomtien Pattaya
ใส่หน้ากากถ่ายรูปเป็นที่ระลึก 🤣
เรากลับกรุงเทพฯ วันเดียวกะที่พัทยาประกาศ lock down อีกรอบพอดี 😱
U Jomtien Pattaya
กับบรรยากาศ New Year's Eve ที่โรงแรม ปีใหม่นี้ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน blog นี้นะคะ และสวัสดีปีใหม่ค่ะ 😊
โฆษณา