10 ก.ย. 2021 เวลา 11:08 • ปรัชญา
"บ้านที่แท้จริง "
" ... เราอาศัยอยู่กับโลก
ไม่นานเราก็จะต้องจากโลกนี้ไป
ในโลกไม่มีบ้านที่แท้จริง บ้านที่แท้จริงของเรา
ถ้าเราภาวนาเราจะเห็น
บ้านที่แท้จริงของเราคือพระนิพพาน
2
ถ้านอกนั้นยังเป็นที่ที่ไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน
ต้องหมุนเวียนอยู่ ใจที่มันไม่หลงโลกมันเตือนตัวเอง
ในโลกไม่มีบ้านที่แท้จริง ถ้าเราภาวนาเราจะเห็น
บ้านที่แท้จริงของเราคือพระนิพพาน
ใจที่มันไม่หลงโลกมันเตือนตัวเอง
อะไร ๆ ในโลกเห็นมันเป็นของชั่วคราวทั้งหมด
1
บ้านนี้ก็ชั่วคราว
คนที่เราอยู่ด้วยรอบ ๆ ตัวเราก็อยู่กันชั่วคราว
จะรักหรือจะเกลียดก็อยู่ชั่วคราว
อะไร ๆ ในโลกเห็นมันเป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย
ทั้งวัตถุสิ่งของทั้งผู้คน สุดท้ายกระทั่งร่างกาย
สติปัญญามันสอดส่องลงมาในร่างกาย
1
ร่างกายเป็นบ้านของจิต บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านชั่วคราว
มันชำรุดทรุดโทรมตรงนั้นตรงนี้
เราก็มีวัตถุเข้าไปเสริมเข้าไปแต่ง
เพื่อประคับประคองให้ร่างกายนี้มันอยู่ได้
อย่างร่างกายมันหิว มันอิดโรย มันอดน้ำอะไรอย่างนี้
อดอาหารอดน้ำเราก็ซ่อมแซมร่างกาย
กินข้าวกินน้ำ ค่อย ๆ สะสมคล้าย ๆ ซ่อมบ้านอย่างนี้
เวลาไม่สบายไปหาหมอ กินยา ผ่าตัดทำโน้นทำนี้
ก็คือการซ่อมบ้าน ใจมันรู้สึกอย่างนี้ มันไม่ใช่ตัวเรา
มันเป็นบ้านหลังหนึ่งที่มาอาศัยอยู่
ถ้าภาวนาดี ๆ เราจะรู้สึกนี่เป็นบ้านหลังสุดท้ายแล้ว
ก่อนที่เราจะทิ้งบ้านหลอก ๆ นี้ ไปสู่บ้านที่แท้จริง
1
เรายังไม่รู้สึกหรอก พวกเราว่านี่คือบ้านหลังสุดท้าย
ร่างกายนี้คือบ้านหลังสุดท้ายแล้วนี่ไม่รู้สึก
เพราะเรายังมีบ้านอย่างนี้อีกเยอะ
ยังมีกิเลสอยู่ก็ยังไปสร้างบ้านใหม่
บ้านเก่าพังไปก็สร้างบ้านใหม่ ไปเกิดในภพใหม่
ก็มีกายใหม่ขึ้นมาอีก เป็นบ้านใหม่
พออยู่ชั่วคราวก็พังอีก
3
ฉะนั้นจะเป็นบ้าน วัตถุสิ่งของ หรือกระทั่งร่างกาย
ก็เป็นบ้านที่เราอยู่อาศัยได้ชั่วคราว
อย่างบ้านที่เราซื้อเป็นที่อาศัยของร่างกาย
เพราะร่างกายก็เป็นบ้านที่อาศัยของจิตใจ
ฉะนั้นตัวเจ้าของบ้านที่แท้จริง ก็คือตัวจิตใจนั่นเอง
ต้องค่อย ๆ ฝึก จิตใจให้มันค่อยฉลาด ๆ ขึ้น
มันค่อยคลายความยึดถือ
1
ทีแรกมันก็คลายของที่อยู่ห่างก่อน มันคลายง่าย
คลายความยึดถือง่าย
ของที่มาถึงตัวเราเองมันคลายยาก
ต้องอาศัยสติอาศัยปัญญามาก
มีใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว เรียกว่ามีสมาธิที่ถูกต้อง
พอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
มีสติคอยระลึกรู้อยู่ในร่างกายในจิตใจนี้เรื่อย ๆ ไป
เราก็จะเห็นว่านี่มันเป็นบ้านหลังหนึ่ง
ร่างกายนี้เป็นโพรง เป็นถ้ำ เป็นที่อาศัยของจิต
แล้วก็เป็นเครื่องมือไปทำสิ่งโน้นสิ่งนี้
เพื่อสนองความต้องการของจิต
จิตมันใช้ร่างกายไปทำงาน
สิ่งที่มันอยากได้คือความสุข
...
จากหยาบสู่ละเอียด
ถ้าเราสติปัญญาละเอียดขึ้นมาเราจะเห็นอีก
ความสุข ความสงบ ความดีทั้งหลาย
ก็เป็นบ้านของจิตเหมือนกัน
เป็นบ้านชั้นละเอียด
อย่างร่างกายเราเป็นบ้านของจิตในกามาวจร
แล้วร่างกายที่เป็นทิพย์ เป็นบ้านของจิตในรูปาวจร
ในรูปพรหม หรือในเทวดา
กายก็เป็นทิพย์ก็เป็นบ้านของจิต
ถ้าภาวนาไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นตัวเจตสิกธรรมทั้งหลาย
ตัวความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ตัวความจำได้หมายรู้
ตัวสังขารความปรุงดีปรุงชั่ว
มันเป็นบ้านของจิตอีกชั้นหนึ่ง
อยู่ละเอียดข้างในอีกชั้นหนึ่ง
เราค่อย ๆ เรียนจากของหยาบเข้าสู่ความละเอียดเป็นลำดับ
จากของที่อยู่ข้างนอกเรียนเข้ามาสู่ข้างใน
จากของที่อยู่ไกลเรียนเข้ามาสู่ที่ใกล้
จากของที่หยาบเรียนเข้าสู่ความละเอียด
บ้านที่ละเอียดที่สุดเลยก็คือฌานสมาบัติ
ฌานสมาบัติไม่ใช่ร่างกาย
มันเป็นอารมณ์ทางใจ ปีติ สุข เอกัคคตา
อุเบกขาอะไรพวกนี้ เป็นบ้านที่จิตเข้าไปทรงอยู่
เวลาอยู่ในรูปฌาน อรูปฌาน ตัวอารมณ์กรรมฐาน
อารมณ์ของฌาน องค์ฌานทั้งหลายนั้นคือบ้าน
อันนี้เป็นบ้านชั้นในแล้ว
บ้านชั้นในจริง ๆ แล้ว
ร่างกายหยาบ ๆ นี่เป็นบ้านชั้นนอก
บ้านเรายิ่งห่างออกไปอีก
โลกทั้งโลกที่บ้านเราตั้งอยู่ยิ่งห่างออกไปอีก
จักรวาลที่โลกนี้ตั้งอยู่ก็ยิ่งห่างออกไปอีก
เป็นบ้านเป็นชั้นๆๆๆ ออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ
อย่างดาวที่ไหนมันจะระเบิดแตกไปสักดวง
เราไม่ได้เดือดร้อนอะไรมันไกลเกินไป
ถ้าบ้านเราถูกพายุพัดพัง เดือดร้อนแล้ว
รู้สึกมันใกล้ตัว
ถ้าบ้านคนอื่นถูกพายุพัดพัง ยังไม่เดือดร้อนเท่าไร
สงสารก็ช่วยเหลือกันไป
แต่ถ้าบ้านเราที่ซื้อมาเช่ามาพังไปนี้เดือดร้อน
ถ้าร่างกายนี้จะผุพังไป
เดือดร้อนมากกว่าที่บ้านจะพังอีก
ค่อยภาวนาจะเห็นเหมือนเรามีบ้านที่ซ้อนๆๆ กันไป
จากไกลเข้ามาสู่ใกล้ จากหยาบมาสู่ความละเอียด
บ้านที่ละเอียดก็คือตัวเจตสิกธรรมทั้งหลายนี่ล่ะ
เป็นที่อาศัยอยู่ของจิต
เราภาวนาต่อไปเราก็จะเห็นความสุขก็พึ่งไม่ได้
ความทุกข์ก็ห้ามมันไม่ได้ ความดีก็พึ่งไม่ได้
ความดีเราจะรักษาไว้ก็ไม่ได้
ความชั่วเราก็พึ่งมันไม่ได้
จะรักษามันไว้หรือจะปฏิเสธมันก็ทำไม่ได้
สติปัญญามันเห็นไตรลักษณ์
เห็นบ้านอันนี้ที่เป็นนามธรรม มันก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
เหมือนกับรูปธรรมทั้งหลาย
เหมือนกับโลกข้างนอกทั้งหลาย
ฉะนั้นการเห็นไตรลักษณ์นี้จะทำให้เราเข้าใจ
แล้วเราก็ค่อย ๆ วาง
วางจากสิ่งที่หยาบไปสู่การวางอย่างละเอียด
แล้วสิ่งที่ละเอียดที่สุด เวลาเราภาวนาเราจะรู้
สิ่งที่ละเอียดที่สุดคือตัวจิตผู้รู้นั่นล่ะ
ตัวจิตผู้รู้นั้นละเอียดที่สุดเลย
ฉะนั้นถ้าเราเห็นจิตผู้รู้เป็นไตรลักษณ์
เราก็จะวางจิตผู้รู้ลงไป
คราวนี้เราจะไม่เอาขันธ์ 5
มาเป็นบ้านของเราอีกต่อไปแล้ว
ขันธ์ 5 ท่านบอกว่าเป็นโลก เป็นที่อาศัย
ค่อยวาง ๆ รูปไป ร่างกายอาศัยไม่ได้
เดี๋ยวมันก็แก่ มันก็เจ็บ มันก็ตาย
เวทนา สัญญา สังขารอะไรก็อาศัยไม่ได้
มีแต่ความแปรปรวน มีแต่การควบคุมบังคับไม่ได้
ตัวจิตก็ยึดถืออะไรไว้ไม่ได้แปรปรวนเหมือนกัน
เดี๋ยวก็มีผู้รู้ เดี๋ยวก็มีผู้หลง
ผู้หลงก็มีตั้งเยอะแยะ
ผู้หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส
หลงไปรู้สัมผัสทางกาย หลงไปคิดนึกทางใจ
หลงไปเพ่งทางใจ ผู้หลงมีเยอะแยะเลย
ผู้รู้มีหลายแบบเหมือนกัน
ผู้รู้บางตัวมีแต่สติไม่มีปัญญา
ผู้รู้บางตัวมีทั้งสติทั้งปัญญา
แล้วบางทีเรารู้ตัวขึ้นมา
จิตอยู่กับผู้รู้ รู้เฉย ๆ อยู่อย่างนั้น มันไม่มีปัญญา
ผู้รู้บางตัวมันเจริญปัญญาได้
สติระลึกรู้ลงในรูป จิตเป็นผู้รู้ ก็เกิดญาณทัสสนะเข้าใจ
ว่ารูปทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สติระลึกรู้ในเวทนา สัญญา สังขาร
หรือในตัวจิตเองคือวิญญาณ
ผู้รู้ตั้งมั่นเป็นคนรู้คนดูอยู่ก็จะเห็น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นดับทั้งสิ้น
ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา
พอเสร็จแล้วมันจะเข้ามาที่ตัวผู้รู้เอง
ตรงนี้อย่าจงใจเข้ามา มันต้องเข้ามาเอง
ถ้าจงใจเข้ามาดูผู้รู้จะติดสมาธิที่แก้ยาก
คือติดสมาธิชนิดอรูป แก้ยากเพราะมันละเอียด
มันประณีตมาก มันมองให้เห็นทุกข์ยากที่สุด
เราก็ต้องใช้วิธีอย่าไปเพ่งตัวผู้รู้
แล้วเห็นผู้รู้นี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
กลายเป็นผู้ดู ผู้ฟัง ผู้ดมกลิ่น ผู้ลิ้มรส
ผู้หลงไปสัมผัสทางกาย ผู้หลงไปคิดนึกทางใจ
หรือไปเป็นผู้เพ่งอารมณ์กรรมฐานต่าง ๆ
รู้ทันไปเรื่อย ๆ
1
จะเห็นวิญญาณ หรือตัวจิตที่เกิดทางทวารทั้ง 6
เอาเป็นสาระแก่นสารไม่ได้ ก็วางมันลงอีก
ตรงที่เราเพ่งตัวผู้รู้ไว้ เราเอาตัวผู้รู้เป็นบ้าน
ตัวนี้เป็นบ้านที่ละเอียดที่สุดแล้ว
บ้านข้างนอกนี้ดูง่าย โลกข้างนอกดูง่าย
ร่างกายก็ดูยากขึ้น
เจตสิกคือเป็นบ้านของจิตก็ดูยากขึ้น
สุดท้ายตัวผู้รู้มันยังเป็นบ้าน
มันเป็นบ้านของอะไร เป็นบ้านของอวิชชา
เป็นที่ ๆ อวิชชาแฝงอยู่ ค่อยๆ เรียนค่อยๆ รู้
จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริง ว่าตัวจิตผู้รู้ยังเป็นบ้านอยู่อีก
เรานึกว่านี่คือเจ้าของบ้านตัวจริง นี่ยังเป็นบ้าน
บ้านของอวิชชา ไม่รู้ความจริงของอริยสัจ
ไม่รู้ว่าตัวรู้นี้ก็ยังเป็นตัวทุกข์
พอเราล้างอวิชชาได้ ตัวรู้ก็สลายตัวลงไป
เป็นธาตุ ธาตุรู้มีอยู่ ธาตุรู้ไม่เป็นบ้าน
เพราะไม่มีเจ้าของบ้าน ไม่มีเจ้าของบ้านอีกต่อไปแล้ว
เพราะฉะนั้นเวลาท่านผู้ใดท่านบรรลุถึงพระนิพพานแล้ว
ไปถามท่านว่านิพพานใครเป็นเจ้าของ ไม่มีเจ้าของ
นิพพานแล้วไปไหน จิตไปไหน ไม่มีคำถามอย่างนั้น
ถามได้แต่ไม่มีคำตอบให้
เพราะไม่มีการไปการมาอีกต่อไปแล้ว
ไม่ใช่นิพพานแล้วจิตพระอรหันต์ไปอยู่ที่ไหน
นั่นเป็นความรู้สึกของพวกเราที่ยังต้องมีบ้านอยู่
กระทั่งตัวจิตผู้รู้ที่เราคิดว่าคือตัวเราที่แท้จริง
ยังเห็นเลยมันคือบ้านอีกหลังหนึ่ง
แล้วเป็นบ้านที่ของอวิชชาอยู่
พอฆ่าอวิชชาตายแปรสภาพขึ้นเป็นธาตุรู้
ธาตุรู้นี้ไม่มีเจ้าของแล้ว
เพราะฉะนั้นพระนิพพานไม่มีเจ้าของ
ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพาน
ธาตุรู้ทรงพระนิพพานไว้ สัมผัสพระนิพพาน
พระนิพพานนั้นมีความสุข
ธาตุรู้ทรงอยู่กับพระนิพพาน ธาตุรู้นี้ก็มีความสุข
ถ้าถามว่าพระอรหันต์ตายแล้วไปไหน ไม่มีคำตอบ
ถ้าไปถามว่าท่านบรรลุพระอรหันต์แล้วหรือ
ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น
พระอรหันต์ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์
เพราะมันไม่มี
มันไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกต่อไปแล้ว
สิ่งเหล่านี้วันหนึ่งพวกเราจะเห็นด้วยตัวของเราเอง
เราภาวนาไป
วันนี้เราแค่เห็นว่าร่างกายเป็นบ้านที่จิตอาศัยอยู่
จิตก็ชอบใช้บ้านหลังนี้
เป็นสถานประกอบความชั่วทั้งหลาย
ก่อกรรมทำชั่วทั้งหลายก็อาศัยอยู่ในบ้านนี้
อาศัยอยู่ในกายนี้ ไปลัก ไปขโมย ไปจี้ ไปปล้น
ไปข่มขืนเขา ไปโกหกหลอกลวงเขา
ก็อาศัยบ้านนี้เป็นสถานประกอบการ
ฉะนั้นเราพยายามฝึกตัวเองเรื่อย ๆ ไป
บางทีพวกเราใจร้อนเกินไป ชาวพุทธเรา
เราอยากนิพพาน
เราก็วาดภาพพระนิพพานเอาไว้เสียพิลึกพิลั่น
วาดภาพไว้มากมาย
สิ่งที่เราวาดภาพขึ้นมาไม่ใช่นิพพาน
ให้วาดเก่งแค่ไหนก็ไม่ใช่นิพพาน
มันคือความปรุงแต่งของจิตเท่านั้นเอง ... "
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
4 กันยายน 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา