11 ก.ย. 2021 เวลา 07:15 • อาหาร
“ล้อมวงกินสำรับ: นอกจากเพิ่มความครึกครื้นทางสายตา รสหลากหลาย และเรื่องเล่าจากเพื่อนร่วมวงร่วมแบ่งปัน”
บางคนอาจจะชอบกินข้าวแบบอาหารจานเดียว แม้แต่เวลาอยู่บ้านและมีอาหารหลายอย่างก็จะตักกับข้าวหลายอย่างหรือทุกอย่างที่มีราดลงบนข้าวแล้วเอาไปนั่งกินหน้าทีวีหรือวางบนตักกินไปไถมือถือไป และก็มีหลายคนที่เคยเห็นรวมทั้งรู้จักคุ้นเคยรวมทั้งตัวผม ชอบกินข้าวแบบสำรับ มีกับข้าวใส่ถ้วยจานชามอย่างละเล็กละน้อย เหตุผลก็คือ ได้ความรู้สึกถึงศิลปะการกิน ไม่เหงาตา และเพิ่มความอยากอาหารดี
2
ข้าวถ้วยแกงถ้วยจากแต่ละบ้านกลายเป็นสำรับขนาดใหญ่ถวายพระภิกษุสามเณร พบเห็นได้ทั่วไปบนศาลาวัดในชุมชนวัฒนธรรมดั้งเดิม (ในภาพ วัดสุธรรมวดี เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ) ในวันพระ วันธรรมสวนะ หรือเทศกาลสำคัญทางศาสนา กิจกรรมหลังพระฉันแล้ว ชาวบ้านจะทยอยอาหารคาวหวานเหล่านี้ออกมาพ้นจากอาสนะสงฆ์ ชาวบ้านล้อมวงร่วมกันกิน สนทนา เก็บล้าง ที่เหลือแบ่งปันแลกเปลี่ยนกลับไปอร่อยต่อที่บ้าน
ความชอบกินอาหารสำรับของผมเป็นมาแต่เด็ก ผมไม่ชอบกิน “ข้าวจานแกงถ้วย” หรืออาหารจานเดียวที่บังคับไม่ให้มีทางเลือก ตักแกงจากชามเดิมซ้ำๆ ใส่จานข้าวใบเดียวซ้ำๆ แล้วตักใส่ปากเคี้ยวอาหารรสเดียวซ้ำๆ ชอบที่จะกินข้าวที่มีถ้วยจานชามใบเล็กใบน้อย ใส่กับข้าวนั่นนิดนี้หน่อย ให้มีฉากตรงหน้าสำหรับกวาดตามองเห็นความหลากหลายในมื้ออาหาร ไม่ให้การกินนั้นเป็นเพียงแค่ใส่อาหารพอเต็มท้อง คือต้องไม่เงียบเหงาและขาดสีสันจนเกินไป
วัยเด็กของผมโตมาในครอบครัวชาวสวน เรียนโรงเรียนวัดซึ่งอยู่ห่างจากบ้าน 10 กิโลเมตร ต้องนั่งเรือข้ามคลอง เดินลัดเลาะผ่านสวนชาวบ้านไปกลับทุกวัน พ่อ แม่ พี่ชาย และพี่สาวเข้าสวนเข้าป่าที่ไกลออกไปจากบ้านหลังที่อยู่กันแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับมากันอีกทีก็มืดค่ำ ขนาดผมเดินกลับจากโรงเรียนก็ถึงบ้านแค่ไม่เกินสี่โมงเย็น ทั้งเหนื่อยทั้งหิว หากต้องรอพ่อแม่และพี่ๆ กลับจากป่าจากสวนมาหุงหาให้กินคงตาลายพอดี เป็นความจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนหุงข้าวกับกับข้าวด้วยตัวเองให้ได้โดยไม่มีใครสอนมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถม 3-4
1
ทำอาหารเก่งไหม? ทำได้แต่เมนูง่ายๆ ไอ้ที่ยากๆ สมัยนั้นแม่กับพี่สาวจะเป็นคนลงมือ ผมก็มีหน้าที่เป็นลูกมือ หรือเรียกว่าเป็นกรรมกรไร้สังกัดมูลนายประจำครัว แล้วแต่แม่กับพี่สาวจะบังคับใช้แรงงาน เช่น หั่นผัก ปอกหอมกระเทียม โขลกเครื่องแกง วิ่งออกสวนหลังบ้านไปเก็บพริก ผักชี ตัดตะไคร้ ขุดข่า กระชาย หรืองานใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็เก็บมะพร้าว ซึ่งรวมทั้งการปอก ผ่า ขูด และคั้นเป็นกะทิสำหรับแกงเผ็ดหรือทำขนม
พออายุ 18 จบมัธยมปลายได้เวลาเรียนต่อมหาวิทยาลัย ก็ต้องเข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่เรียนจนจบและทำงานก็ยังพักอาศัยอยู่ที่นี่ ต่อเนื่องยาวนานจนกระทั่งทุกวันนี้ นาทีนี้ แต่ละปีจะได้กลับบ้านตามแต่วันหยุดเทศกาลจะเอื้ออำนวย ตกปีละไม่เกิน 5-6 วัน บางปีน้อยกว่านั้น จึงแทบไม่มีโอกาสได้เข้าครัวที่ไหนอีก ดังนั้นฝีมือทางด้านการทำอาหารไม่ต้องพูดถึง หรือพูดให้ตรงกว่าก็คือ แทบไม่มี
เมื่อจะต้องทำอาหารแต่ละครั้ง เป็นไปตามความจำเป็นเพราะงานเร่ง ไม่อยากเสียเวลาออกไปตลาด หรือนั่งกินตามร้าน รวมทั้งวิกฤติการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ต้องเวิร์คฟรอมโฮมเช่นตอนนี้ ส่วนเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ จำเป็นต้องทำกินเองเพราะความคิดถึงอาหารรสมือแม่ (Mum Recipes) มันพลุ่งพล่าน หาซื้อกินที่ไหนไม่ได้ เช่น แกงเนื้อบ้านเกาะ แกงกระเจี๊ยบ แกงมะตาด แกงพุทราใส่ดอกแคปลาสด น้ำพริกมอญ ปลาทูต้มมะดัน และพล่ากุ้ง ก็ต้องลงมือทำเอง อาศัยสูตรที่เคยเห็นและกลเม็ดเคล็ดลับที่เคยได้ยินแม่จ้ำจี้จ้ำไชพี่สาวและตกค้างเวียนวนติดหัวมาตั้งแต่สมัยเป็นกรรมกรในครัว
สรุปว่า ผมทำอาหารไม่เก่ง หรือทำอาหารแทบไม่ได้เรื่องเลย อาศัยจินตนาการ ความพยาบาท และอารมณ์นำทางล้วนๆ ครับ
1
ย้อนกลับไปเมนูอาหารที่ผมทำเมื่อสมัยประถมนั้นไม่มีอะไรยากง่ายซับซ้อน กลับจากโรงเรียนเหวี่ยงกระเป๋าหนังสือเข้าบ้าน เปลี่ยนชุดนักเรียนแล้วตั้งหม้อข้าว สมัยนั้นไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงบ้าน ยังเป็นการหุงข้าวเช็ดน้ำด้วยเตาฟืน จากนั้นก็ต้องไปหาแหล่งโปรตีน เปิดดูเล้าเป็ดเล้าไก่ ไม่ก็คว้าสวิงโดดลงร่องสวนหลังบ้านหรือคลองหน้าบ้าน ช้อนกุ้ง ปลา พร้อมกับหาเด็ดผักในสวนติดมือมาด้วย พวกบวบ มะเขือ ตำลึง ผักบุ้ง กระถิน ผักปลัง หัวปลี ดอกจากอ่อน กะเพรา โหระพา ดอกแค ยอดแค ยอดมันสำปะหลัง และเห็ดหูหนู ได้เครื่องปรุงมาแล้วก็ลงมือทำกับข้าวง่ายๆ แค่ต้ม ทอด ผัด ปิ้ง ย่างธรรมดา อย่างแกงส้ม ต้มยำ (สมัยนั้นยังไม่มีต้มยำน้ำข้นเกิดขึ้นบนโลก) ไข่เจียว พล่ากุ้ง (ใส่กะเพราขาว) และน้ำพริกผักจิ้มทั่วไป เอาแค่พอกินได้กินบำบัดอาการหิวเบื้องต้น แต่ก็ทำเผื่อสำหรับคนอื่นๆ ด้วยทีเดียว
1
ถึงเวลาพ่อแม่และพี่ๆ กลับจากสวนก็มักจะมีปูกุ้งปลาสดๆ ที่หาได้ติดมือมาต้มแกงดีๆ เพิ่มเติม ผมก็มักจะร่วมแจมกับพวกเขาอีกรอบ ในเมื่อเสียงหั่นสับโขลกและผัดเครื่องแกงบนเตาส่งกลิ่นลอยมาเตะจมูกทั้งที่ตั้งใจจะทำการบ้านอ่านหนังสือ
เว้นแต่วันไหนที่ทุกคนกลับมาถึงบ้านมืด ในวันที่น้ำแห้งขอดคลอง กว่าจะเข็นเรือพ้นโคลนเลนออกมาจากคลองซอยถึงบ้านได้ก็มืดค่ำพร้อมด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยหมดเรี่ยวหมดแรง แม่กับพี่สาวเปิดตู้กับข้าวเห็นกับข้าวที่ผมทำไว้ และหากได้ยินเสียงใครสักคนพูดว่า “กับข้าวเต็มสำรับ น่ากินทั้งนั้นเลย งั้นมื้อนี้ไม่ต้องทำแล้ว” เป็นอันว่ามือนั้นอดกับข้าวจากมืออาชีพ
1
ภาพที่แม่ พี่สาว และพี่ชายมักจะเห็นแล้วว่า “กับข้าวน่ากิน” ไม่ใช่เรื่องรสชาติหรอก แต่เป็นเพราะผมชอบทำให้มันเต็มถาดเต็มสำรับ บางทีกับข้าวจานหลักก็มีแค่กุ้งนาง กุ้งกระเปาะ และปลาตัวเล็กตัวน้อยที่ช้อนได้ผัดพริกแกงใส่ผักบุ้งนา อาจมีไข่เจียวอีกอย่าง และน้ำพริกกะปิที่เหลือจากมื้อก่อนๆ แต่ผมจะเด็ดผักมาหลายๆ อย่าง แบ่งต้ม ก็จะได้ผักจิ้มน้ำพริกทั้งสดและต้ม แยกคนละจาน ถ้าขยันก็แบ่งไปต้มกะทิ พวกหัวปลี และดอกจาก สองอย่างนี้มีรสฝาดนิดๆ เข้ากันดีกับกะทิสดคั้นเองซึ่งหวาน เพิ่มเครื่องเคียงสักหน่อย แค่น้ำปลา บีบมะนาว ซอยพริกขี้หนูและหอมแดงลงไปก็จะได้น้ำปลาพริกหรือพริกน้ำปลาอีกถ้วย
กับข้าวของเด็กประถมล้นสำรับอยู่เสมอ แม้ว่าถ้าดูดีๆ แล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไร นั่นเป็นเพราะว่าผมเป็นนักสร้างภาพมาแต่ไหนแต่ไร
โฆษณา