11 ก.ย. 2021 เวลา 10:51 • ไลฟ์สไตล์
เมื่อความผิดพลาด กลับกลายเป็นความเกลียดชังชั่วนิรันดร์
ในช่วงต้นปี 2543 นักยุทธศาสตร์ชาวอเมริกันที่เก่งที่สุดได้ระบุว่าจีนเป็นศัตรูฝ่ายตรงข้ามคนแรกของพวกเขา
1
ในเวลานั้น ประธานาธิบดีบุช จูเนียร์ กล่าวในการปราศรัยหาเสียงของเขาว่า "จีนไม่ใช่หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา แต่เป็นคู่แข่ง"
 
ประโยคนี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันชั้นนำ มีความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ อย่างสมบูรณ์
มีสิ่งหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เพื่อแสดงมุมมองนี้ได้ คือในปี 2544 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ จัดอันดับภัยคุกคามด้านความมั่นคงของชาติ ลำดับ ณ เวลานั้นคือ จีน ที่เป็นทั้งรัฐอันธพาล และการก่อการร้าย
1
บัดนั้น..จีนได้กลายเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งในสายตาของชาวอเมริกัน
1
เหตุใดสหรัฐอเมริกาจึงไม่ดำเนินการกับจีนในขณะนั้นล่ะ แต่รอจนถึงปี 2555 หรือแม้แต่หลังปี 2559 เพื่อดำเนินการอย่างจริงจัง ชาวอเมริกันปล่อยจีนไปอย่างนั้นหรือ?
อันที่จริง มันมีเหตุผลหลักเพียงข้อเดียว
ในช่วงปลายทศวรรษ 2533 ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ได้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งแล้วครั้งเล่า
มีเพียงจีนเท่านั้นที่พึ่งพาชาติของตนเอง เพื่อรับมือกับผลกระทบระหว่างความวุ่นวายทางการเงินนี้
1
งานนี้ทำให้สหรัฐฯ ต้องหันกลับมาประเมินความแข็งแกร่งของจีนอีกครั้ง แต่ใน ขณะนั้น วิกฤตเศรษฐกิจได้ย้ายไปเข้าไปสู่สหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหม่ในสหรัฐอเมริกา
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2543 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากความเจริญรุ่งเรืองสู่ภาวะถดถอย
เนื่องจาก ณ สิ้นปีนั้นดัชนี Nasdaq ที่ร้อนแรงปรับตัวลดลง หลังจาก 1,500 จุด
1
สหรัฐอเมริกาได้เริ่มเลิกจ้างคนงานเนื่องจากมีแรงงานส่วนเกิน และอัตราการว่างงาน 6% คนงานชาวอเมริกันต้องทำงานหนักให้กับคนสองคนหรือมากกว่านั้นเพื่อรักษารายได้ปัจจุบันของพวกเขา
หลังจากเข้าสู่ปี 2544 สถานการณ์ยังคงแย่ลงเรื่อย ๆ การล้มละลายขององค์กรขนาดใหญ่ยังคงเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
ก่อนที่ "เหตุการณ์ 911" จะเกิดขึ้น มีการล้มละลายขององค์กร 38,490 ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,400 แห่ง จากปีที่แล้ว
ในครึ่งแรกของปี 2544 จำนวน บริษัท อินเทอร์เน็ตที่ล้มละลาย และจบลงด้วยการปิดกิจการที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 9 เท่าในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2543
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกมากมาย ก็อยู่ในรายชื่อบรรดาบริษัทที่ล้มละลาย ตัวอย่างเช่น Grace Company บริษัทเคมีภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างขนาดยักษ์ที่มีประวัติอันยาวนาน
บริษัท Pacific Gas and Electric ที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย
บริษัท Winstall Telecommunications Company ที่มีการดำเนินงานทั่วประเทศ
United States-Bethlehem Steel Company บริษัทค้าเหล็กที่ใหญ่เป็นอันดับสามใน United States
นอกจากนี้ยังมีบริษัทจดทะเบียน 257 แห่งที่ถูกฟ้องล้มละลาย
จำนวนบริษัทที่ล้มละลายในวิกฤตครั้งนี้ เป็นจำนวนวิกฤตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่จบสงครามมา...
สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือวิกฤตยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง และจำนวนบริษัทที่ล้มละลายยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
1
ภายในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2544 เนื่องจากการล่มสลายจากการแตกของฟองสบู่
1
โทรคมนาคม ธนาคารเพื่อการลงทุนหลายพันแห่งได้สร้างหนี้เสีย
พนักงานเกือบ 300,000 ตำแหน่งถูกบังคับให้ออก
และมูลค่าตลาดของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคมก็ระเหยไป 3.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
และนี่คือช่วงวิกฤตการเงินในเอเชียในช่วงปลายทศวรรษ 2533 มูลค่าตลาดหุ้นของทุกประเทศในเอเชียลดลงเหลือเพียง 813 พันล้านดอลลาร์
ดังนั้น สหรัฐฯ ในเวลานั้นจึงถูกครอบงำด้วยปัญหาเศรษฐกิจของตนเอง และไม่มีความขัดแย้งโดยตรงกับจีนในเวลานั้น...เพราะยังเอาตัวไม่รอด...
เกี่ยวกับช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นั้น หลายคนอาจมีความเข้าใจค่อนข้างคลุมเครือเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยคิดว่าลำดับเหตุการณ์มันจะเป็นดังนี้...
สหรัฐฯ ปล่อยจีน->สหรัฐฯ ต่อสู้กับอิรัก->จีนรีบฉวยโอกาสในการพัฒนา
แต่ไทม์ไลน์ที่แท้จริงสำหรับผม(คนเดียว)คือ....
1
ในปี 2543 มีวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา -> "เหตุการณ์ 911" ->10 พฤศจิกายน 2544 จีนตกลงที่จะเข้าร่วมองค์การการค้าโลก->2546 สหรัฐอเมริกาเปิดตัวสงครามอิรัก -> เศรษฐกิจของจีนได้รับการพัฒนา(ไปไกล)
แต่...ประเด็นสำคัญคือ ระหว่างที่ สหรัฐฯ เปิดสงครามอิรัก ...ในขณะหลังจาก...ที่จีนตกลงที่จะเข้าร่วม WTO แล้ว...นี้ต่างหาก....
เนื่องจากความยิ่งใหญ่ของเงินดอลลาร์สหรัฐทีสะพัดไปทั่วโลก
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่ในสหรัฐอเมริกา ก็ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ในโลก โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง
ด้วยเหตุนี้ กองกำลังหัวรุนแรงทางศาสนาในอาระเบียจึงเปิดแคมเปญ 911 ขึ้นมาเพื่อที่จะตอบโต้และในที่สุด ก็ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ
และเศรษฐกิจ
3
ได้ก่อให้เกิดเสียงสะท้อนและได้เดินทางมาถึงขอบเขตที่อันตรายมาก
ในกรณีดังกล่าวมีการโอนทุนจำนวนมากจากสหรัฐอเมริกา และส่วนใหญ่มาที่จีน
1
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เศรษฐกิจจีนที่จะเริ่มต้นหลังจากปี 2544
การโอนสินทรัพย์นี้มีขนาดเท่าใดล่ะ ?
ตามสถิติ ณ เวลานั้น สองในสามของอุตสาหกรรมหลักของจีนถูกควบคุมโดยบริษัทข้ามชาติ ดังนั้นเพียงแค่นี้ ในตอนนี้เราสามารถสืบพบได้ว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของยักษ์ใหญ่ในประเทศกลับกลายเป็นทุนจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด
 
ในเวลานี้จีนจึงแอบคิดอย่างจริงจังว่า...ทำไมสหรัฐอเมริกาถึงไม่สามารถกระทำการกับเขาในเวลานั้นได้?
เริ่มจากที่จีน และเมืองหลวงของสหรัฐฯ ถูกผูกไว้ด้วยกัน ซึ่งมันสร้างการต่อต้านอย่างมากต่อการกำหนดนโยบายของสหรัฐฯ
และหลังจากที่จีนเข้ายึดครองอุตสาหกรรมการผลิตของอเมริกาแล้ว (555)ด้วยค่าแรงต่ำก็สามารถส่งสินค้า(ที่มีชีวิต)ราคาถูกไปยังสหรัฐอเมริกาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงเนื่องจากมีค่าเงินที่มากเกินไป
1
ตั้งแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาได้กลายเป็นฉันและเธอ(ฉันในตัวคุณและคุณในตัวฉัน)
1
จีนต้องการเงินทุนจากอเมริกาเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ
และสหรัฐฯ ต้องการจีนเพื่อช่วยให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศมีเสถียรภาพ
ด้วยวิธีนี้จะเกิด...ความสมดุลชั่วคราวที่ยอดเยี่ยม
มีคนไม่มากที่คาดเดาว่าชาวอเมริกันไม่สนจีน หรือเพราะนักยุทธศาสตร์อเมริกันโง่ กันแน่???
เพราะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผลลัพธ์ดังกล่าวตามธรรมชาติมัน เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
แต่ๆๆๆๆ...ผมลืมบอกไปว่าความสมดุลดังกล่าวนั้นมันมีอายุสั้น ....เพราะสหรัฐอเมริกาไม่มีวันหยุดบริโภค และจีนไม่สามารถจัดหาสินค้าราคาถูกให้กับสหรัฐฯ ได้เสมอไป
1
ดังนั้นเมื่อทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนถึงระดับที่เกินจริงมากในช่วงประมาณปี 2555 ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้น
ผมจำได้ว่าตอนนั้นการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของจีนอยู่ที่ระดับสูงสุด มันเกิน 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และเงินทั้งหมดนี้เป็นเงินจำนวนหนึ่งโดยจีน
สิ่งที่ได้รับจาก OEM (Origianl Equipment Manufacturer) สามารถนำไปใช้ลงทุนในตลาดต่างประเทศได้อย่างมีเหตุมีผล และทำกำไรมหาศาล เช่นสหรัฐอเมริกา
แต่ท้ายที่สุดแล้วสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ตั้งกฎของดอลลาร์สหรัฐ และไม่อนุญาตให้ประเทศอื่น มาเพื่อลงทุนในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก
เช่นในอดีต ซาอุดิอาระเบียทำเงินจากการขายน้ำมัน และญี่ปุ่นก็รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจำนวนมากในทศวรรษ 2523 แต่กลับถูกจำกัดโดยสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มงวด
1
แล้วความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญจริง ๆ เมื่อไหร่?
ขอกลับไปในปี 2556 ที่จีนได้เสนอกลยุทธ์ "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง"
ซึ่งเทียบเท่ากับการบอกสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมาว่า "ฉันไม่ต้องการเพียงได้รับค่าธรรมเนียมในการดำเนินการเท่านั้น ฉันยังต้องการลงทุนในตลาดต่างประเทศด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ "
 
จากการกระทำดังกล่าว..ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาค่อยๆ เสื่อมถอยลง
1
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ทะเลจีนใต้ในปี 2559 ที่คนธรรมดาอย่างเราๆตระหนักดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานไปแล้ว
เอาล่ะงั้นวันนี้เราย้อนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต
1
ในปี 2544 สหรัฐฯ ไม่ยอมลดลาวาศอก มันเป็นสถานการณ์ในประเทศและต่างประเทศในขณะนั้น ที่ต้องเลือกเศรษฐกิจที่มีขนาดพอเหมาะ เพื่อช่วยให้พ้นวิกฤต
1
และจีนเองก็ต้องการอย่างเร่งด่วนเช่นกัน โดยร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐที่มีทุนมหาศาลเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศและการยกระดับอุตสาหกรรม
ดังนั้น ทั้งสองประเทศจึงเริ่มโจมตีกัน และก็มีช่วงเวลาแห่งสันติภาพมาเกือบ 10 ปี ทีเดียว....
1
เมื่อเราพูดถึงข้อดีและข้อเสีย(ของการตัดสินใจ) เราต้องจำไว้ว่า...
ทุกอย่างมีสองด้าน
3
ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯ จึงได้ชะลอการระดมความขัดแย้งภายในของตนเอง แต่ก็พลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะกลั่นแกล้งจีน และประเทศจีนได้นำทางเลือกนี้มาใช้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
3
นั่นคือ"ทองคำ" มันได้ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ซับซ้อน..ซึ่งขณะนี้มันได้เข้าไปพัวพันกับเงินทุนดอลลาร์สหรัฐ
ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง และพัฒนา
ด้วยการเปลี่ยนแปลง และการเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของชาติมหาอำนาจของทั้งสองประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก
จีนและสหรัฐอเมริกาจึงได้เปลี่ยนจากอดีตหุ้นส่วนมาเป็น.....
1
คู่แข่งกันในปัจจุบัน
ผมว่าเราต้องมองปัญหานี้อย่างใจเย็น ท้ายที่สุด สหรัฐอเมริกาสามารถใช้เงินทุนระหว่างประเทศเพื่อควบคุมราคาวัตถุดิบและพลังงาน เพื่อสร้างแรงกดดันต่อประเทศของเราๆ และจีนสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมเพื่อตอบโต้
สหรัฐฯ ออกสกุลเงินอย่างไม่เลือกปฏิบัติ(พิมพ์เป็นว่าเล่น) แต่ไม่พบภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในประเทศ
2
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากจีนได้ควบคุมราคาสินค้าอุตสาหกรรม
1
หากวันหนึ่งทั้งสองประเทศหันหน้าเข้าหากัน....ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในประเทศต่างๆ จะพุ่งทะยานขึ้น หรือไม่....อย่างไร....?
1
ที่มา...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา