12 ก.ย. 2021 เวลา 05:53 • ความคิดเห็น
ก่อนที่จะไปพูด คำว่า ศาสนา เรามาทำความเข้าใจ ว่าจิตแต่ละดวงประกอบไปด้วยอะไร
จิตคืออะไร ตัวเราเป็นจิตดวงหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ในกายเป็นสังขารที่ก่อตัวขึ้นมาด้วยอากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อายตนะสิบสอง พร้อมด้วยจิตรวมกันเป็นสังขาร
อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมตัวกันด้วยอายตนะที่ก่อตัวรวบรวมกรรมประกอบขึ้นมาจากกรรมที่ทำไว้ จิตนั้นเป็นสังขตที่พัวพันกับธาตุสี่อายตนะและอารมณ์
จิตเราจึงหลงวนเวียนกับโลกที่เกิดขึ้นในตน ยึดถือในสิ่งที่เกิดในตนทั้งอุปทาน อารมณ์ วิบากที่เกิดในตนในลักษณะอัตตา เป็นกิเลสที่ร้อยรัดสรรพสัตว์ไว้ด้วยนิสัยสันดานสัญชาติญาณให้จมอยู่ในเวรกรรม โดยมิมีสติตื่นขึ้นมาดูกลั่นกรองหาเหตุหาผลให้รู้แจ้งสิ่งที่เกิดในตนเป็นลักษณะของอารมณ์ที่เป็นศัตรูเข้ามาทำร้ายจิตของตน อารมณ์เหล่านี้ไม่มีตัวตน หากจิตเรามีสติรู้สึกตัวระลึกรู้จักสิ่งที่เกิดในตนนั้นไม่มีตัวตน หากจิตไปยึดถืออารมณ์ไว้ ความเป็นตัวตนของอารมณ์ก็มีอิทธิฤทธิ์ต่อจิตของตน ต้องเป็นทาสของอารมณ์ ผู้ที่มีสติระลึกรู้ก็รักษาจิตของตนก็ระมัดระวังจิตของตนให้ปราศจากอารมณ์เข้ามาคลุกเคล้าจิตของตน ให้จิตอิสระจากอารมณ์ด้วยสติไม่ประมาทอารมณ์ที่เกิดในตนเพื่อมิให้เกิดกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
เพราะสิ่งที่เรียกว่ากิเลสร้อยรัดสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่มีที่ไปที่มาสะสมมาแตกต่างกัน คือมาจากนรกสัตว์เปรตอสุรกายเทพยดาอินทร์พรหม จำแนกไปเกิดตรงนั้นตรงนี้ เมื่อมาอาศัยสังขารมนุษย์ คำว่า นิสัยสันดานกรรม ที่ติดตามมา ที่ไหลออกมาเป็นทิฐิความติดเห็น ความยึดมั่นในตัวตนของตน มีสัญดานเยี่ยงอย่างอะไรมา ก็ต้องรับรู้แสดงออกมาที่กายวาจาใจ ของตน เรื่องราวของศาสนา เค้าสอนให้ชำระล้างจิตใจของตน ลดละเหตุเรามีกรรม ลดละโลภโกรธหลง เป็นเหตุที่ตนเองทำขึ้นเอง ก่อทุกข์ขึ้นเอง ก่อไฟเผาตัวเอง นั้นคืออะไร รู้แล้วพบทางแล้ว ก็กระทำขึ้นมาด้วยกายวาจาใจ หลีกหนีกรรม หลีกหนีสร้างเวรกรรม ยังทำไม่ได้ ก็ค่อยๆกระทำด้วยตนของตนเอง ไม่มีใครเค้าไปบังคับจิตของเราได้หรอก
คราวนี้การใช้ชีวิตของเรา มันเดินอยู่รอยของเส้นทางโลภโกรธหลง แล้วมันพาไปทางไหน ไปหาทุกข์หรือสุข คนที่รู้จักทุกข์รู้จักว่ามันเป็นกรรม ก็เสาะแสวงหา หนทางที่จะพ้นทุกข์ ได้มาเจอะเจอคำว่า อริยสัจสี่ เส้นทางทุกข์ เส้นทางที่พ้นทุกข์ คนที่เห็นมีความสำคัญ ก็มีความศรัทธา ในรอยคำสอน ก็ศึกษาให้รู้จัก อะไรคือทาน อะไรคือบุญ อะไรคือบารมี ศึกษาทำขึ้นมา ให้รู้จักเป็นที่ประจักษ์แก่จิตของตนเอง เมื่อเป็นที่ประจักษ์ ก็มีความมั่นใจ ในคำสอนในรอยขององค์พระสิทธัตถะ รอยที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระทำขึ้น จนพ้นทุกข์ จึงเป็นเรื่องราวของคำว่าศาสนาพระโคดม องค์พระสัมมาพระพุทธเจ้า เมื่อเรามีศรัทธา เราก็สนใจในเรื่องราวชาดกที่ท่านกระทำมา เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติขึ้น เริ่มตั้งแต่การสร้างทาน สร้างบุญ สร้างบารมี ให้จิตมีปัญญา ที่แก้ไขเรื่องราวกรรมของตัวเอง
คนที่ไม่รู้จัก ไม่ศึกษาให้ดี เข้ามาในศาสนา ว่าเหตุผลที่อยู่ศาสนานั่นเรื่องอะไร เข้าไปทำอะไร เพื่อให้เกิดอะไรขึ้นมา แก่จิตใจของตน เพราะไม่ใช้เหตุผลไม่พิจารณา เห็นตนเองดีเสมอ ก็พกทิฐิ วิพากษ์วิจารณ์ ด้วยอารมณ์ความคิดเห็นของตนเข้ามา ที่เคยชินอยู่กับโลกมายา ต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เที่ยววิ่งจะแก้ไข เรื่องนั้นเรื่องนี้คนนั้นคนนี้ ด้วยทิฐินึกคิดที่เกิดในอารมณ์ของตน เป็นเหมือนรถบดถนน บดขยี้อวดด้วยทิฐิมานะที่ตนมี ไม่ได้เข้ามาแก้ไขนิสัยสันดานตน ก็กินอยู่ในศาสนาเยี่ยงอย่างใคร ชาวบ้านทำแบบไหนก็ทำตามนั้นแหละ ที่คนนิยมชมชอบ จึงยากที่จะหาผู้ที่เดินในรอยคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง
เข้ามาในศาสนา ดำรงตนว่าข้านี่เป็นนักบวช บ้างก็ท่องคาถา เวทมนต์ ตะกรุด ผ้ายันต์ เอาไอ้นี่มากันไอ้นั้นมากัน อวดศักดาอิทธิโลกีย์ ให้หลงว่ามีแล้วร่ำรวยยศฐานบรรดาศักดิ์ อวดสรรพคุณแอบอ้าง ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะดลบันดาลได้ ตามแต่จะนึกได้จำมาได้ หรือ บางพวกก็เลี้ยงผีบ้าง มีผีกุมารให้มาเป็นพรายกระซิบ ทำนายทายทัก บ้างก็อวดว่าทำบุญมากๆ ก็ได้บุญมากๆเป็นเหมือนคนมีอารมณ์โลภมาก คนรู้ไม่เท่าทันเชื่อเค้าก็ถูกคนหัวดีเรียนมาก หลอกเอาสิ้นเนื้อประดาตัวก็มีให้เห็น คนโง่เป็นเหยื่อของคนหัวดี คนหํวดีเป็นเหยื่อของกรรม คล้องเวรกรรมกันไป แล้วเราก็มาเปรียบเทียบ กับสิ่งที่พระสิทธัตถะกระทำ สละอะไรออกไป ท่านสร้างวัตถุสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ยึดถือหรือไม่ ท่านสละทุกอย่างให้หลุดพ้น จนจิตท่านหลุดพ้น แล้วทุกวันนี้ที่นำสิ่งนั้นสิ่งนี้ มาให้ยึดถือ ใครทำกัน ??? มันจึงจมอยู่กับความโลกโกรธหลง ไหลไปที่สูงหรือต่ำ
ถ้าเราดูด้วยสติพิจารณาด้วยเหตุผลสักนิด จะเห็นว่าสิ่งที่เราเห็นนั้น เค้าอวดอะไรกัน อวดว่าข้าเป็นผู้จมอยู่กับกรรม ดูแล้วก็สนุก..อดขำไม่ได้…เรามันโง่เองหรือนี่ สรรพคุณกันแก่เจ็บตายได้ นี่แหละยุคกึ่งพุทธกาล แล้วปลายศาสนาจะเป็นอย่างไร เหมือนรอยในพื้นทรายจากไปตามกาล
เรื่องวัด ..คนโบราณเค้าสร้างวัดมา ไม่ใช่มีไว้ให้คนเค้าสร้างกรรม เค้าสร้างวัดเพื่อให้คนมาสร้างทาน บุญ กุศลบารมี เพื่อสละปัจจัยที่ตนหามายึดถือ ด้วยความเหนื่อยอยากด้วยแรงกายของกายบิดามารดา จิตเราเป็นผู้ใช้กายไปเสาะแสวงหาปัจจัย ได้มาก็มายึด มาจุนเจือสังขาร จุนเจืออารมณ์ สะสมไว้ด้วยกรรม ด้วยความโลภโกรธหลงที่เรามองไม่เห็น เราก็นำปัจจัยนำแบ่งออกมา นำมาแปลงเป็นทานกุศลบารมี เหมือนสละความโลภโกรธหลงออกไปจากจิตเพราะสิ่งที่ไปหามานั้นมันทุกข์ยึดตัวทุกข์โดยไม่รู้ตัว
เราทำเราสร้างบุญกุศลไปเรื่อยๆเป็นนิจสิน เราก็สั่งเกตจิตใจ ของเรามีการเปลี่ยนแปลง อย่างไร จากทีอารมณ์หงุดหงิด อารมไม่พอใจไม่ชอบใจ มันค่อยเจือจางเบาบางลงไปๆ พออารมณ์พวกนี้ไม่เกิดขึ้น กายก็ไม่ลุกลี้ลุกลนเหมือนแต่ก่อน นั่นก็แสดงว่ากายของเราเริ่มมีบุญ ซึ่งเราควรศึกษาเรื่องราวของบุญ เรื่องราวของคำว่าเนื้อนาบุญนั้นเป็นอย่างไร แล้วเราจะเข้าใจว่าเค้าสร้างวัดมาทำไม แล้วเรื่องการสร้างบุญ เราก็ต้องรู้จักว่าต้องทำอย่างไรให้เกิดเป็นบุญกุศล
เมื่อเราทำความเข้าใจ เรื่องราวของวัด ที่คนยุคก่อนสร้าง เค้าสร้างวัดมาเพื่ออะไร แล้วเราก็มาดู คนสมัยนี้ เข้าวัดไปทำอะไรกัน เค้าเข้าไปเสาะแสวงหา ไปชม ไปเที่ยว บูรณะ สร้างสรรอะไรกัน วัดสมัยนี้ก็กลายสภาพเป็นฌาปนกิจสถาน ทำกันใหญ่โต มีกิจกรรมมากมาย มันเกิดอะไรขึ้น กับผู้คนยุคนี้ ถ้ามองลึกพิจารณา ลึกๆลงไป ร่องรอยดีๆของจิตเดินทางมาอาศัยสังขารมนุษย์เพื่อสร้างคุณความดีให้แก่จิตอาศัยกายมนุษย์แค่แปดสิบปีก็จากไปแล้ว เวลาแปดสิบปีไม่อาศัยกายมนุษย์มาสร้างบุญกุศล มันน่าเสียดายโอกาส เพราะจิตต้องเดินทางต่อ ไปอยู่ตรงนั่นตรงนี้ ที่ขึ้นอยู่กับกรรม กรรมดีกรรมชั่วจะนำพาไป สู่ทุกคติหรือสุขคติ ถึงวันนั้นก็จะเสียใจก็ไม่ได้ เพราะกรรมดึงไปอยู่ในสถานที่ของกรรม มีกายเป็นสัตว์อบาย ทุกข์ทรมานไป ไปเป็นพันเป็นหมื่นๆปี มันทุกข์ยาวนาน เทียบไม่ได้กับชีวิตมนุษย์แปดสิบปีร้อยปี
1
แล้วมันก็มีคำพูดคำหนึ่ง เดี๋ยวนี้ มีแต่พระจูงผี หาพระจูงคนไม่เจอ ยิ่งจูงผู้ที่เป็นมนุษย์รู้ดีรู้ชั่วยิ่งไม่มีเลย เป็นนักบวชเค้าให้สันโดษมักน้อย ร่องรอยเหล่านี้ มันเหมือนลอยอยู่ในอากาศ ไม่มีใครคว้าไปประพฤติปฏิบัติ เป็นนักบวชนักสร้าง สร้างตะกรุด สร้างผ้ายันต์ สร้างอะไรๆโบสถ์ศาลาใหญ่ๆโตสวยงาม สร้างแล้วก็ไม่ดูแลรักษา เพราะมันใหญ่เกินตัว เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนผู้อื่นให้ละโลภโกรธหลง แต่ไม่หันมามองตนเอง อะไรล่ะที่มีแต่เอาเข้ามาในตัวตนของนักบวช เอามาสะสมมากมาย แล้ววันหนึ่งจิตออกจากร่างๆ สิ่งที่เอาเข้ามานั่นแหละ จะกดจิตของนักบวชผู้นั้นให้จมธรณี ไม่ได้จมแบบธรรมดา นรกอเวจีไปที่อยู่ต่อไป
โฆษณา