13 ก.ย. 2021 เวลา 02:19 • หนังสือ
#76 เล่ม 3 บทที่ 18 หน้า 390 ~ 395
...
N : ขอย้อนกลับไปหน่อยนะครับ ขอกลับไปที่คำถามก่อนหน้านี้ ผมยังอยากรู้ว่าทุกสายพันธุ์ในระบบค้ำจุนสายพันธุ์จะได้รับการตอบสนองตามความจำเป็นของแต่ละสายพันธุ์อย่างเท่าเทียมกันได้ยังไง❓
...
...
...
G : ความจำเป็นทั้งหมดจะได้รับการตอบสนองอย่างเท่าเทียม แต่ตัวความจำเป็นเองไม่ได้เท่ากันทั้งหมด มันเป็นเรื่องของสัดส่วนที่เหมาะสมและความสมดุล
⏺️ สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ถูกเลือกให้อยู่ภายใน ‘ระบบค้ำจุนสายพันธุ์’ นี้มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการตอบสนองถ้าจะให้รูปธรรมทางกายภาพทั้งหลายเหล่านี้ (ที่ทั้งสร้างและค้ำจุนระบบ) อยู่รอด
⏺️ พวกเขายังเข้าใจอีกว่าความจำเป็นเหล่านี้ไม่ได้เหมือนกันหรือเท่ากันทั้งหมดเมื่อดูจากสภาพเงื่อนไขของตัวระบบเอง
ขอใช้ระบบค้ำจุนสายพันธุ์ของพวกเธอเป็นตัวอย่าง
N : โอเคครับ...
G : ขอใช้สิ่งมีชีวิตสองสายพันธุ์ที่พวกเธอเรียกว่า “ต้นไม้” กับ “มนุษย์”
N : เชิญครับ
G : เห็นได้ชัดว่าต้นไม้ไม่จำเป็นต้องได้รับการ “ดูแลเอาใจใส่” มากเท่ากับมนุษย์ เพราะฉะนั้นความจำเป็นของสองสายพันธุ์นี้จึงไม่เท่ากัน แต่ทว่ามันเกี่ยวพันกัน นั่นก็คือ สายพันธุ์หนึ่งต้องพึ่งพาอีกสายพันธุ์หนึ่ง
พวกเธอต้องใส่ใจความจำเป็นของต้นไม้ให้มากเท่ากับที่ใส่ใจความจำเป็นของมนุษย์ แต่ตัวความจำเป็นเองนี่ไม่ต้องมากเท่า 💢และหากเธอละเลยความจำเป็นของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่ง เท่ากับพวกเธอทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย💢
หนังสือที่ฉันพูดถึงก่อนหน้านี้ว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลาวิกฤตนี้ (The Last Hours of Ancient Sunlight) ได้อธิบายทุกอย่างตรงนี้ไว้อย่างเยี่ยมยอด มันอธิบายว่าต้นไม้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ แล้วใช้ส่วนที่เป็นคาร์บอนของก๊าซในบรรยากาศนี้เพื่อสร้างคาร์โบไฮเดรต นั่นก็คือ ‘เพื่อการเติบโต’
(เกือบทุกสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นต้นไม้ ทั้งราก ลำต้น ใบ หรือแม้กระทั่งเปลือกและดอกผล คือคาร์โบโฮเดรต)
ในขณะเดียวกัน ต้นไม้ก็จะคายส่วนที่เป็นออกซิเจนของก๊าซนี้ออกมา เพราะมันคือ “ของเสีย” ของต้นไม้
ในอีกด้านหนึ่ง มนุษย์จำเป็นต้องได้รับออกซิเจนเพื่อมีชีวิตรอด หากไม่มีต้นไม้คอยเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมดในบรรยากาศให้กลายเป็นออกซิเจน (ซึ่งมีไม่มาก) สายพันธุ์มนุษย์จะตายหมด ไม่มีทางรอด
ในทางกลับกัน มนุษย์ก็ปล่อย (หายใจออก) คาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดของต้นไม้ออกมา
เธอเห็นสมดุลตรงนี้ไหม❓
N : เห็นครับ เป็นระบบที่ชาญฉลาดมาก
G : ขอบคุณ ทีนี้ได้โปรดหยุดทำลายป่าไม้
N : ไม่เอาน่า ทุกหนึ่งต้นที่เราตัด เราจะปลูกเพิ่มสองต้นนะครับ
G : ใช่ และมันก็ใช้เวลาแค่ 300 ปีเองที่ต้นไม้พวกนั้นจะโตจนแผ่กิ่งก้านใบสูงใหญ่จนผลิตออกซิเจนออกมาได้มากเท่ากับบรรดาต้นไม้ดึกดำบรรพ์ที่พวกเธอตัดโค่นลง
2
ต้องใช้เวลาราวสองถึงสามพันปีพวกเธอถึงจะปลูกต้นไม้ให้มีสมรรถภาพที่จะปรับสมดุลในบรรยากาศได้เทียบเท่าโรงงานผลิตออกซิเจนที่พวกเธอเรียกว่าป่าฝนอเมซอน ไม่ต้องกังวลหรอก พวกเธอแค่ทำลายมันราบเป็นพันๆเอเคอร์★ต่อปี ไม่ต้องกังวลหรอก
[★1 เอเคอร์ เท่ากับ 2.53 ไร่ - แอดมิน]
N : ทำไมล่ะครับ❓ ทำไมพวกเราถึงทำแบบนั้น❓
G : พวกเธอถางป่าเพื่อใช้ทำปศุสัตว์ แล้วก็นำพวกมันมาฆ่าและกิน คนท้องถิ่นหรือชนพื้นเมืองในประเทศเขตป่าฝนถูกบอกว่าการทำปศุสัตว์จะสร้างรายได้ให้มากกว่า ทั้งหมดนี้ถูกบอกว่าเป็นการทำให้ผืนดิน ‘เกิดประโยชน์’
💢 ทว่าในอารยธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง การบ่อนทำลายระบบค้ำจุนสายพันธุ์ไม่ถือว่าเป็นประโยชน์ แต่เป็นอันตราย
🛑 ดังนั้น “สวส.” จะหาวิธีสร้างสมดุลแก่ความจำเป็นโดยรวมของระบบค้ำจุนสายพันธุ์ พวกเขาทำแบบนี้แทนที่จะสนองความปรารถนาของคนส่วนน้อยของระบบ เพราะตระหนักชัดว่าไม่มีสายพันธุ์ใดในระบบจะอยู่รอดได้หาก ‘ตัวระบบถูกทำลาย’
N : ให้ตายเหอะ มันชัดเจนมาก ชัดเจนจนน่าปวดใจ
G : “ความชัดเจน” ของมันจะทำให้โลกเจ็บปวดยิ่งกว่านี้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า★ หากสายพันธุ์หลักยังไม่ยอมตื่นขึ้น★★
[★เจ็บปวดยิ่งจริงๆด้วย
★★แต่สายพันธุ์หลักก็ตื่นขึ้นจนได้ เพราะสนทนาฯ เล่ม 4 ออกมาแล้ว มีชื่อว่า Awaken the Species (การตื่นขึ้นของสายพันธุ์) พระองค์ถึงกลับมาให้องค์ความรู้เพิ่มสินะ เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์พร้อมแล้วที่จะรู้เรื่องนี้ ซึ่งเล่ม 3 ห่างจากเล่ม 4 ถึง 20 ปี (จริงๆก็ไม่นานเท่าไหร่นะ) — แอดมิน]
N : เข้าใจครับ เข้าใจมากๆเลยด้วย และผมก็อยากทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้ แต่ผมรู้สึกไร้พลังมาก บางครั้งมันก็รู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย ผมจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครับ❓
G : ไม่มีอะไรที่เธอต้องทำ แต่มีหลายอย่างที่เธอ ‘เป็น’ ได้
N : ช่วยอธิบายหน่อยนะครับ
G : มนุษย์พยายามแก้ปัญหาต่างๆจากระดับของ “การกระทำ” มานานแล้วแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ นั่นเพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากระดับของ “การเป็น” ไม่ใช่ “การทำ”
แน่นอนว่าพวกเธอได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ พวกเธอมีความรุดหน้าทางเทคโนโลยี และในบางลักษณะมันก็ทำให้ชีวิตของพวกเธอสะดวกสบายขึ้น แต่ยังไม่ชัดเท่าไหร่ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ทำให้ชีวิตของพวกเธอ ‘ดีขึ้น’
และในประเด็นใหญ่ๆทางด้านศีลธรรม (หลักการปฏิบัติต่อกันและกัน) ถือว่าพวกเธอก้าวหน้าได้ช้ามาก พวกเธอกำลังเผชิญกับปัญหาทางด้านศีลธรรมแบบเดียวกับที่โลกนี้ได้เผชิญมาหลายร้อยปีแล้ว
แนวคิดของพวกเธอที่ว่าการมีอยู่ของโลกก็เพื่อให้สายพันธุ์หลัก ‘ได้หาประโยชน์’ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี
ชัดเจนว่าพวกเธอจะไม่เปลี่ยนสิ่งที่พวกเธอ ‘กำลังทำอยู่นี้’ จนกว่าพวกเธอจะเปลี่ยนวิธีที่พวกเธอ ‘เป็น’
🛑 พวกเธอต้อง ‘เปลี่ยนแนวคิด’ ที่พวกเธอมีต่อตัวเองว่าพวกเธอคือใครในความสัมพันธ์กับสิ่งที่แวดล้อมพวกเธออยู่ รวมถึงทุกสิ่งในนั้น ก่อนที่พวกเธอจะแสดงออกหรือมีพฤติกรรมที่ต่างไปจากเดิมได้
🌟 มันเป็นเรื่องของการตระหนักรู้
🌟 พวกเธอต้องยกระดับการตระหนักรู้ก่อนถึงจะเปลี่ยนจิตสำนึกได้
N : แล้วพวกเราต้องทำยังไงครับ❓
G : 🛑 หยุดเงียบในเรื่องราวทั้งหมดนี้ จงพูดมันออกมา จุดกระแสขึ้น จุดประเด็นขึ้น ช่วยกันยกระดับการตระหนักรู้โดยรวมของผู้คน (ช่วยกันยกระดับจิตสำนึกมวลรวมของผู้คน)
เอาแค่ประเด็นเดียวอย่างเช่น ทำไมไม่ปลูกกัญชงแล้วนำเส้นใยของมันมาทำกระดาษ❓
พวกเธอรู้หรือเปล่าว่าต้องใช้ต้นไม้มากขนาดไหนเพื่อเอามาทำหนังสือพิมพ์ในแต่ละวัน❓ ยังไม่ต้องพูดถึงแก้วกระดาษ กล่องกระดาษ และกระดาษชำระ
กัญชง (Hemp) เป็นพืชที่ปลูกง่าย ต้นทุนในการปลูกน้อย ดูแลง่าย ราคาถูกและเก็บเกี่ยวง่าย และไม่ใช่แค่ทำกระดาษได้เพียงเท่านั้น แต่ยังทำเป็นเชือกที่เหนียวที่สุดและเครื่องนุ่งห่มที่ทนที่สุดได้ หรือแม้กระทั่งทำเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษามากที่สุดในโลกได้ จริงๆแล้วกัญชาก็ด้วย (cannabis) ที่สามารถปลูกได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก ปลูกและดูแลได้ง่ายมาก รวมทั้งมีประโยชน์มหัศจรรย์หลากหลายรูปแบบมาก แต่ก็มีกลุ่มผลประโยชน์ขนาดใหญ่ที่ขัดขวางไม่ให้มันเป็นสิ่งถูกกฏหมาย
หลายคนต้องเสียผลประโยชน์มหาศาลหากยอมให้โลกปลูกพืชที่เรียบง่ายชนิดนี้ (ซึ่งสามารถปลูกได้เกือบทุกพื้นที่บนโลก)
💢 นี่เพียงแค่ตัวอย่างเดียวที่ความโลภเข้ามาแทนที่สามัญสำนึกในเรื่องของความประพฤติและการดำเนินชีวิตของผู้คน
🛑 ฉะนั้นจงให้หนังสือเล่มนี้แก่ทุกคนที่เธอรู้จัก ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้เท่านั้น แต่ยังเพื่อให้เข้าใจเรื่องอื่น ๆ ที่เหลือทั้งหมดที่หนังสือเล่มนี้จะบอก และก็ยังมีอีกหลาย ๆ เรื่อง
แค่เปิดหน้าต่อไป...
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา