23 ก.ย. 2021 เวลา 13:00 • หนังสือ
‘How to think like Einstein’
ถ้าคุณเเก้ปัญหาไม่ได้ นั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังยึดติดอยู่กับ ‘กฎเดิมๆ’ ดังนั้นทางออกคือ ‘คุณต้องเเหกกฎ’ เท่านั้น
‘ไอน์สไตน์’ เป็นนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันที่ได้สร้างความก้าวหน้าให้กับวงการวิทยาศาตร์ของโลกเป็นอย่างมาก โดยเป็นผู้คิดค้น ทฤษฎีสัมพันธภาพ ที่ต่อมานำมาต่อยอดเป็นระบบนำทางเเบบ GPS นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของวลีฮิตอย่าง ‘จินตนาการสำคัญกว่าความรู้’ วันนี้เราเลยจะพาทุกคนมาหากันค่ะว่าไอน์สไตน์ทำอย่างไรถึงสามารถเเก้ปัญหาที่ยากๆเหล่านั้นได้ รีวิวทุกอย่างที่อ่านออกเลยจะพาทุกคนมารู้จักกับ ‘ถ้าไอน์สไตน์เป็นฉันจะเเก้ปัญหานี้อย่างไร’ หรือ ‘How to think like Einstein’ กันค่ะ 🙂
ความลับที่ดูน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไอน์สไตน์สามารถเเก้ปัญหายากๆได้ คือ ‘การเเหกกฎ’ สิ่งหนึ่งที่ทำให้บอกเเบบนี้เป็นเพราะ เราพบว่าไอน์สไตน์ผู้ซึ่งสามารถไขปริศนาเรื่องอวกาศเเละเวลาได้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นนักวิทยาศาตร์ที่ประสบความสำเร็จอยู่เเล้ว เเต่เป็นคนที่เพิ่งจบมหาลัยมาได้ไม่กี่ปี ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเปิดรับความคิดใหม่ๆ เเละทำให้เขายังไม่ติดอยู่กับ ‘กฎเดิมๆ’ เเบบที่หลายคนเป็น
นี่ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เก่งๆหลายคนที่อยู่ในยุคเดียวกับไอน์สไตน์ไขปริศนาเรื่องอวกาศเเละเวลาไม่ได้ เพราะพวกเขามัวเเต่ยึดติดอยู่กับความคิดที่ว่า ‘เวลาเป็นสิ่งที่เเน่นอน’ เมื่อรู้เเบบนี้หลายคนน่าจะอยากรู้ต่อว่า เเล้วต้องทำอย่างไรเราถึงจะสามารถคิดนอกกรอบได้ ซึ่งต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ
การเสนอความคิดแปลกๆที่อาจดูไม่เข้าท่าในครั้งเเรกนอกจากเราจะถูกเเย้งโดยคนรอบข้างของเราเเล้ว ที่หลายคนยังไม่รู้คือ ระบบประสาทในสมองของตัวเราเองก็มีระบบที่ขัดขวางความคิดเหล่านี้ด้วยเช่นกัน โดยธรรมชาติของสมองเรามักจะประเมินความสูญเสียจากทางเลือกต่างๆไว้มากเกินความเป็นจริงอยู่เเล้ว ทำให้ในหลายครั้งเรามักจะปฏิเสธความคิดที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสียเล็กน้อยเเต่ได้รับผลตอบเเทนมาก ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องนำความคิดเเบบไอน์สไตน์เข้ามาช่วย
วิธีการคิดเเบบไอน์สไตน์จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 ข้อค่ะ ซึ่งเเต่ละหัวข้อนั้นจะมีหัวข้อย่อยอยู่อีกหลายหัวข้อ เราขอให้เล่าให้ฟังทุกหัวข้อเดี๋ยวจะเสียอรรถรสในการอ่าน เราเลยจะเลือกนำสิ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจของเเต่ละข้อมาเล่าให้ทุกคนฟัง เเล้วส่วนที่เหลือเราอยากเเนะนำให้ทุกคนไปอ่านในเล่มต่อ เพื่อจะได้วิธีคิดที่ครบถ้วนตามที่หนังสือต้องการจะสื่อจริงๆค่ะ
1) การเลือกปัญหาที่ยอดเยี่ยม : การระบุปัญหาเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เราต้องหาปัญหาที่เเท้จริงของเราให้เจอ ถ้าเราระบุปัญหาที่ไม่ถูกต้องเเต่เเรกเราก็จะไม่มีทางพบกับการเเก้ปัญหาที่ดีได้เลย เช่น ชายคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของสวนเเอปเปิ้ลระบุว่าปัญหาของเขาคือการหาทางพับกระดาษที่มีอยู่ให้กลายเป็นกล่องใส่เเอปเปิ้ลที่ใหญ่ที่สุดเพื่อนำไปขายที่ตลาด เเต่เเท้จริงเเล้วปัญหาของเค้าคือ การหารายได้จากการขายเยอะๆ ไม่ใช่การพับกล่องให้ใหญ่ขึ้น พอเรารู้ปัญหาที่เเท้จริงเราก็อาจเเนะนำให้เค้าแปรรูปเแอปเปิ้ลซึ่งเป็นทางออกที่ดีกว่าได้
นอกจากระบุปัญหาออกมาเเล้ว ผู้เขียนยังเเนะนำให้เราระบุสิ่งอื่นๆที่เราเจอออกมาให้เห็นชัดเจนด้วย เช่น ผลกระทบเชิงบวกเเละลบของปัญหานี้, ข้อจำกัดที่เราเจอ เเละทางเเก้ไขที่เราเคยทำเเล้วเเต่ไม่สำเร็จ โดยหลักการที่สำคัญคือเราต้องระบุปัญหาออกมาให้ชัดเจนที่สุดเเละนึกถึงมันอยู่บ่อยๆ
2) ฉีกเเบบเเผน : หัวข้อนี้เราว่าเป็นเหมือนตัวช่วยที่จะทำให้เราสามารถคิดวิธีการเเก้ปัญหาได้สร้างสรรค์มากยิ่งขึ้นเเละหลุดออกจากความคิดเเบบเดิมๆ เช่น การลองเอาความคิดตลกๆมาช่วยในการเเก้ปัญหา เเละการลองนำเอาทางออกในการเเก้ปัญหาหลายๆอย่างมารวมกันเพื่อเกิดเป็นทางเลือกใหม่
3) การเเหกกฎ : สำหรับหัวข้อนี้จะว่าด้วยเรื่องกฎโดยเฉพาะเลยค่ะ ในทุกวันนี้คนเรามักจะยึดติดกับกฎเดิมๆจนบางทีก็ลืมนึกไปว่าความจริงเเล้วกฎทุกกฎบนโลกนี้สามารถเปลี่ยนเเปลงได้เสมอถ้ามีกฎอื่นที่ดูสมเหตุสมผลกว่าขึ้นมาเเทน เเต่เราไม่ได้จะให้ทุกคนไปทำเรื่องที่ไม่ดีนะคะ การเเหกกฎในที่นี้คือการลองคิดหาทางเเก้ปัญหาที่ฉีกจากความเคยชินของเรา พูดให้ชัดขึ้นก็เหมือนกลไกการทำงานของบอลลูนที่สามารถก้าวข้ามกฎเเรงโน้มถ่วงเเล้วลอยขึ้นไปบนฟ้าได้
4) บ่มเพาะทางออก : มาถึงตอนนี้ทุกคนจะรู้ถึงปัญหาของตัวเองเเละพอมีทางออกสำหรับปัญหาคร่าวๆเเล้ว ขั้นตอนนี้จะช่วยทำให้ทางออกเหล่านี้กลายเป็นทางออกที่ทำได้จริง ซึ่งผู้เขียนก็ได้เเนะนำไว้อยู่หลายวิธี หนึ่งในนั้นคือ การมีเซ็กซ์ทางความคิด ที่หมายถึงการหยิบยืมหรือเเลกเปลี่ยนความคิดของเรากับคนอื่น เเละยิ่งถ้าบุคคลที่เราเลือกมาเเลกเปลี่ยนความคิดด้วยเป็นคนในวงการอื่นที่ต่างจากเราก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
เเต่บางคนก็อาจจะรู้สึกว่าที่เราเล่ามาดูเป็นทฤษฎีมากเกินไป จะสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงไหม ในหนังสือเล่มนี้ก็ได้บอกการนำวิธีคิดเเบบไอน์สไตน์ไปประยุกต์ใช้ในองค์กรเเละชีวิตประจำวันไว้ให้ด้วยค่ะ ในส่วนนี้เราก็จะได้เห็นว่าเเนวคิดเเบบไอน์สไตน์ไม่เพียงเเต่จะเเก้ปัญหายากๆได้ เเต่ยังใช้เเก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆประจำวันได้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งสี่ขั้นตอนที่เราได้บอกไว้ตอนต้น ผู้เขียนก็ได้สร้างตารางจดบันทึกไว้ให้ในส่วนภาคผนวก เพื่อให้ผู้อ่านใช้จดบันทึกปัญหาเเละหาทางออกตามไปด้วยได้
เราว่าวิธีการที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้เเล้วสนุกที่สุดคือเราต้องคิดปัญหาของเราตามไปพร้อมกับผู้เขียนตลอดค่ะ ในหนังสือเล่มนี้มีการเสนอเเนวทางการเเก้ปัญหาไว้มากมาย เเละเเน่นอนว่าไม่ใช่ทุกวิธีที่จะเหมาะกับปัญหาของเรา เเต่เราสามารถคิดตามผู้เขียนไปเรื่อยๆ เเล้วจดไว้เเค่ทางออกที่ดูเหมาะกับเราไปต่อยอดต่อได้ค่ะ ซึ่งเราว่าหลายคนต้องได้ทางออกดีๆไปเเน่นอน เเล้วภาพรวมการเล่าก็ไม่ได้ดูน่าเบื่อเลย เพราะทุกวิธีคิดมักจะมีการไปเปรียบกับตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นจริง เช่น การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ทำให้บางทีเราอ่านเเล้วก็เหมือนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปด้วยเลยค่ะ
พออ่านจบหนังสือเล่มนี้ทำให้เรารู้สึกว่าลองการเเหกกฎดูบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไร ถ้าเรื่องที่เราทำนั้นยังอยู่ในขอบเขตที่เราสามารถควบคุมได้เเละไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น เพราะการคิดเเบบนี้อาจจะช่วยให้เราสามารถเเก้ปัญหายากๆอย่างที่ไม่เคยมีใครเเก้ได้มาก่อนเลยก็ได้นะคะ 🙂
……………………………………………………..
ชื่อหนังสือ: ถ้าไอน์สไตน์เป็นฉัน จะแก้ปัญหานี้อย่างไร : How to Think Like Einstein
นักเขียน: Scott Thorpe
ผู้แปล: อรณี อรุณีกุล,นฎา ส่องแสงจันทร์
จำนวนหน้า: 312
ราคา: 270 บาท
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น (WeLearn)
Overall: 7.6/10
……………………………………………………..
Score Explanation
Writing Style: 8/10 เพราะมีการอธิบายพร้อมภาพหรือตารางประกอบทำให้เห็นภาพตามได้ดีมากขึ้น เเละสามารถคิดตามไปพร้อมๆกับผู้เขียนได้ในเวลาเดียวกัน
Time worthiness: 7/10 เพราะโดยภาพรวมนำเสนอได้พอดีเหมาะกับเรื่องที่ต้องการจะสื่อ
Content Usefulness: 8/10 เป็นวิธีการเเก้ปัญหาที่เเปลกใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่เจอปัญหายากๆเเล้ววิธีคิดเเบบเดิมๆไม่สามารถหาทางออกได้
โฆษณา