16 ก.ย. 2021 เวลา 00:20 • ปรัชญา
"ไม่มีเหตุผล ... ? "
" ... การที่เราอยู่ร่วมกันนี้
จะต้องมีระเบียบ
ระเบียบเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนหมู่มาก
2
ไม่ใช่จำเป็นเฉพาะบุคคลเท่านั้น
อยู่คนเดียวก็ต้องมีระเบียบ
อย่างพระวินัย
พระวินัยสมัยก่อนนี้มีนิดเดียว
พระสงฆ์ที่มาบวชในพระพุทธศาสนามีมากขึ้น
ต่างคนต่างจะทำอะไร ก็มีหลายเรื่อง
บางคนอยากจะทำอย่างนั้น
บางคนอยากจะทำอย่างนี้
ก็มีกันมาเรื่อย ๆ
เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าของเรา
ตั้งข้อกติกา คือ พระวินัยขึ้นมา
เพื่อเป็นข้อปฏิบัติ
อยู่ไปนาน ๆ ก็มีคนบางคน
ทำเรื่องมาอีกหลายอย่าง
ดังนั้น พระวินัยจึงไม่มีทางจบสิ้น
หลายล้านสิกขาบท
แต่ก็ยังไม่จบ
พระวินัยไม่มีทางจบสิ้น
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องธรรม
เรื่องธรรมะนี้มีทางจบ ก็คือ 'การปล่อยวาง'
เรื่องพระวินัย ก็คือเอาเหตุผลกัน
ถ้าเอาเหตุผลกันแล้ว ไม่จบหรอก
สมัยหนึ่ง อาตมาไปบริหารพระ
3 - 4 องค์ไปอยู่ในป่า ไฟไม่ค่อยจะมี
เพราะอยู่บ้านป่า
องค์หนึ่งก็ได้หนังสือธรรมะมาอ่าน
อ่านอยู่ที่หน้าพระประธานที่ทำวัตรกัน
อ่านอยู่ก็ทิ้งอยู่ตรงนั้น แล้วก็หนีไป
ไฟไม่มี มันก็มืด
พระองค์ที่มาทีหลังก็มาเหยียบหนังสือ
1
จับหนังสือขึ้นมา
ก็โวยวายขึ้นว่า พระองค์ไหนนี่ไม่มีสติ
ทำไมไม่รู้จักที่เก็บหนังสือ
สอบสวนถามไปถึงพระองค์นั้น
พระองค์นั้นก็รับปากว่า ผมเอาหนังสือเล่มนี้ไว้ที่นี่
: ทำไมท่านไม่รู้จักที่เก็บหนังสือ
ผมเดินมา ผมเหยียบหนังสือนี้
: โอ ... อันนั้นเป็นเพราะว่าท่านไม่สำรวมต่างหากเล่า
...
เห็นมั้ย มันมีเหตุผลอย่างนั้นจึงเถียงกัน
องค์นั้นบอกว่าเพราะท่านไม่เอาไปไว้ในที่เก็บ
ท่านไม่รู้จักเก็บหนังสือ ท่านจึงไว้อย่างนี้
องค์นี้ก็บอกว่าเป็นเพราะท่านไม่สำรวม
ถ้าสำรวมแล้ว คงไม่เดินเหยียบหนังสือเล่มนี้
มีเหตุผลว่าอย่างนั้น ก็เกิดเรื่องทะเลาะกัน
ทะเลาะกันไม่จบ ด้วยเรื่องเหตุผล
เรื่องธรรมะที่แท้จริงนั้น
ต้องทิ้งเหตุทิ้งผล
คือ ธรรมะมันสูงกว่านั้น
ธรรมะที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้
ระงับกิเลสทั้งหลายได้นั้น
มันอยู่นอกเหตุเหนือผล
ไม่อยู่ในเหตุ อยู่เหนือผล
ทุกข์มันจึงไม่มี สุขมันจึงไม่มี
ธรรมนั้น ท่านเรียกว่า ระงับ
ระงับเหตุ ระงับผล
ถ้าพวกใช้เหตุผลอยู่อย่างนี้
เถียงกันตลอดจนตาย
เหมือนพระสององค์นั้น
ธรรมที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้
ต้องอยู่นอกเหตุ เหนือผล
นอกสุข เหนือทุกข์
นอกเกิด เหนือตาย
ธรรมนี้ เป็นธรรมที่ระงับ
คนเราก็มาสงสัยอยู่นี่แหละ
ผู้ชายยิ่งสงสัยมาก
ความสงสัยนี่ตัวสำคัญ
มีเหตุผลอย่างนั้น อย่างนี้ มันจะตายอยู่แล้ว
มันไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์
ธรรมนั้นเป็นข้อปฏิบัติ เป็นทางเดิน
เดินไปเท่านั้น
ถ้ามัวคิดว่าเมื่อไปถึง
ฉันนี้สุขเหลือเกิน ไม่ได้
ฉันนี้ทุกข์เหลือเกิน ไม่ได้
แต่ถ้าฉันไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ นี่คือมันระงับแล้ว สงสัยไม่มี
ตรงโน้นมันจะมีอยู่ที่ตรงไหน
มันก็อยู่ตรงที่ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ
สุขเกิดขึ้นมา ทุกข์เกิดขึ้นมา
เรารู้มันทั้งสองอย่างนี้
สุขนี้ก็สักว่าสุข
ทุกข์นี้ก็สักว่าทุกข์ เท่านั้น
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน เราเขา
ธรรมนี้เกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นมาดับไป เท่านั้น
จะเอาอะไรกับมัน
สงสัยทำไมมันเกิดอย่างนั้น
เมื่อเกิดอีกทำไมมันไปอย่างนั้นล่ะ
สงสัยอย่างนี้มันเป็นทุกข์
ปฏิบัติไปจนตายก็ไม่รู้เรื่อง
มันทำให้เกิดเหตุ ไม่ระงับเหตุของมัน
ความเป็นจริง
ธรรมที่พวกเราปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้
ธรรมนี้นำเราไปสู่ความสงบ
สงบจากอะไร ?
จากสิ่งที่ชื่นชอบ
จากสิ่งที่ชอบใจ
จากสิ่งที่ไม่ชอบใจ
ถ้าเราชอบสิ่งที่เราชอบใจ
ไม่ชอบสิ่งที่เราไม่ชอบใจ
มันไม่หมด ธรรมนี้ไม่ใช่ธรรมระงับ
ธรรมนี้เป็นธรรมก่อทุกข์ขึ้นมา
ให้เข้าใจอย่างนั้น
ฉะนั้น เราจึงสงสัยตลอดเวลา
แหม วันนี้ฉันได้มาแล้ว พรุ่งนี้ทำไมหายไปแล้ว
มันหายไปไหน
ฉันนั่งเมื่อวานนี้ มันสงบดีเหลือเกิน
วันนี้ทำไมมันวุ่นวาย มันไม่สงบ
เพราะอะไร ?
อย่างนี้ก็เพราะเราไม่รู้เหตุของมัน
ครั้นปล่อยวางว่า มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้
เห็นมั้ย 'มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้'
วันนี้มันสงบแล้ว ไม่แน่นอนหนอ
เราต้องเห็นโทษมันอย่างนี้
สงบแล้ว มันก็ไม่แน่นอน ฉันไม่ยึดมั่นไว้
สงบก็สงบเถอะ
ความไม่สงบ ก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน
ฉันไม่ว่า ฉันเป็นผู้ดูเท่านั้น
ที่สงบ ฉันก็รู้ว่าเรื่องมันสงบ
ที่ไม่สงบ ฉันก็รู้ว่า ไม่สงบ
แต่ว่าฉันไม่ยึดมั่นถือมั่น
ในเรื่องที่ว่ามันสงบ หรือไม่สงบ
เห็นไหม ?
เรื่องมันเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น
อย่างนี้มันก็ระงับ มันก็ไม่วุ่นวาย
มันจะสงบ
ฉันก็รู้ว่ามันเรื่องของมัน ฉันจะดูอยู่แค่นี้
ดูเรื่องที่มันสงบ มันก็ไม่แน่นอน
ดูเรื่องที่มันวุ่นวาย มันก็ไม่แน่นอน
มันแน่นอนอยู่แต่ว่า
มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
เราอย่าไปเป็นกับมันเลย
ถ้าอย่างนี้ มันก็สบายและสงบ
เพราะว่าเรารู้เรื่องมัน
ไม่ใช่ว่าเราอยากให้เรื่องนั้นเป็นอย่างนั้น
อยากให้เรื่องนี้เป็นอย่างนี้
มันสงบเพราะเรารู้เรื่องว่าเป็นอย่างนั้น
แล้วก็มีการปล่อยวาง
ลองคิดดูซิว่า ถ้าคนทุกคนต้องพูดให้ถูกใจฉัน
คนทุกคนต้องทำให้ถูกใจฉัน
ฉันจึงจะสงบ ฉันจึงจะสบาย
คนทั้งโลกจะให้เค้ามาพูดถูกใจเรามีมั้ย
จะมาทำให้ถูกใจเราทุกคนน่ะมีมั้ย ... ไม่มี
เมื่อไม่มี เราก็เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราไม่มีการปล่อยวาง ... "
.
พระธรรมเทศนาพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
แห่งวัดหนองป่าพง
เรื่อง การปล่อยวาง
นาทีที่ 1.12 - 8.41
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา