Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
15 ก.ย. 2021 เวลา 03:27 • ประวัติศาสตร์
ขุนศึกเพียงหนึ่งเดียวผู้หาญกล้าขัดพระราชโองการระหว่างศึกของ"องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"ในหน้าประวัติศาสตร์ ขุนศึกผู้ไม่เคยหวาดหวั่นเเม้ความตายจะมาอยู่เบื้องหน้าในทุกการรบของท่านต้องเผชิญหน้ากับทัพข้าศึกที่มีมากกว่าของตนเองหลายเท่าตัวเเทบจะทุกสมรภูมิ
ขุนศึกผู้เกิดมาเพื่อเป็นมือพิฆาตให้เเผ่นดิน ยอมรบพลีกายพลีใจถวายเเด่องค์สมเด็จพระนเรศวรเเละเเผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน ศึกเหนือเสือใต้หนักหนาขนาดไหนท่านไม่เคยหวาดหวั่น พวกเราคนรุ่นลูกรุ่นหลานรู้จักชื่อเสียงวีรกรรมเเละความห้าวหาญของท่านผ่านบันทึกประวัติศาสตร์โดยท่านมีนามว่า
"พระราชมนู"
ศึกเเรกของพระราชมนูในหน้าประวัติศาสตร์คือ ศึกรับทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ โดยเเม่ทัพที่นำทัพกำลังพล 15,000 คน มี 2 คน คือ นันทะกะยอสู กับ ไชยะกะยอสู มากวาดต้อนผู้คนรวมถึงเสบียงเพื่อเตรียมการในการเข้าตีกรุงศรีอยุธยาให้กับทัพเชียงใหม่ต่อไป
โดยสมเด็จพระนเรศวรมีพระราชบัญชาให้กำลังพล 3,000 คน เเก่ พระราชมนูเเละขุนรามเดชะขึ้นไปดักสกัดทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ในศึกคราวนี้เพื่อไม่ให้ทำอันตรายชาวเมืองรวมถึงริบทรัพย์เก็บเสบียงเพื่อเป็นประโยชน์เเก่ข้าศึก
เมื่อทัพของพระราชมนูเเละขุนรามเดชะ ยกเข้าใกล้ทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่จึงได้ส่งกองสอดเเนมไปดูทัพข้าศึก จึงได้รู้ว่าทัพข้าศึกมีมากกว่าตนเองถึง 5 เท่า เเต่เเทนที่ท่านจะถอดใจหรือตั้งทัพรอความช่วยเหลือจากสมเด็จพระนเรศวร พระราชมนูได้ออกอุบายเเต่งกองโจรปล้นค่ายทัพหน้าพระเจ้าเชียงใหม่
คือท่านได้จัดกองโจรหมู่ย่อยเป็นหลายกอง เเยกเข้าเผาค่ายข้าศึกในตอนกลางคืน พอข้าศึกออกมาจะรบด้วย ท่านก็ให้ทหารวิ่งหนีเข้าป่าด้วยชำนาญชัยภูมิกว่า รวมถึงตีตัดเสบียงเเละปล้นช้างม้าของทัพข้าศึกเป็นว่าเล่น ทั้งกลางวันเเละกลางคืน เรียกว่าไม่ให้ข้าศึกได้อยู่อย่างสงบทีเดียว รวมถึงเก็บเสบียง ช้าง ม้า อาวุธ ที่ข้าศึกซ่อนไว้ได้เป็นอันมาก
เเละเเผนการของท่านก็สำเร็จ โดยความสามารถของท่านในคราวนี้ได้ทำให้ทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ตั้งอยู่ไม่ได้จนต้องล่าถอยกลับไป ในขณะที่ทัพของพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งมีกำลังพลถึง 100,000 คน
ก็ไม่กล้ารุกลงมาตีทัพของอยุธยา เนื่องจากสภาพของทัพหน้าที่ถูกตีกระเจิงกลับไปนั้นมีสภาพขวัญหนีดีฝ่อขยาดในฝีมือของพระราชมนูเเละทหารอยุธยา จนเป็นเหตุให้พระเจ้านันทบุเรงทรงกริ้วเป็นอันมาก
ความสามารถของท่านในศึกคราวนี้นั้นว่าไปก็น่าประหลาดนัก เพราะท่านใช้คนเเค่ 3,000 คนในการทำศึกเเต่กลับสามารถหยุดทัพใหญ่เรือนเเสนของพระเจ้าเชียงใหม่จนไม่กล้ายกลงมาต่อตีในคราวนั้นได้
จะว่าไปเเล้วมันก็น่าคิดทีเดียวว่าในตอนนั้น ท่านทำให้ทัพหน้าของเชียงใหม่ตกอยู่ในสภาพใดจนทัพใหญ่ถึงกับหยุดชะงักทั้งที่มีกำลังพลมากมายกว่าอยุธยาในคราวนั้นก็มาก
เเละในศึกต่อมากับทัพเชียงใหม่อีกเช่นเดียวกัน เมื่อสมเด็จพระนเรศวรใช้ให้พระราชมนูคุมทัพ 10,000 คน เข้าไปหยั่งเชิงกำลังข้าศึกเนื่องจาก การข่าวได้เงียบไปหลายวันดูมีพิรุธ
เมื่อทัพของพระราชมนูได้ยกขึ้นไปนั้นก็ได้เจอกับทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ที่ยกลงมาหวังเข้าตีกรุงศรีอยุธยา โดยทัพของเชียงใหม่ที่ยกพลมาในคราวนั้นมีจำนวน 60,000 คน พระราชมนูจึงนำทัพ 10,000 คนเข้าปะทะกับทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่
ในระหว่างนั้นทัพของสมเด็จพระนเรศวรเเละสมเด็จพระเอกาทศรถ ถือกำลังพล 30,000 คน ค่อยๆเคลื่อนทัพตามหลังมานั้น ได้ยินเสียงปืนใหญ่เเละเสียงไพร่พลเข้าห้ำหั่นกันมาเเต่ไกล พระองค์ท่านก็รู้ในทันทีว่าพระราชมนูได้ปะทะกับทัพข้าศึกเเล้ว สมเด็จพระนเรศวรจึงวางกลศึกให้ทัพทั้งหมดเเยกออกเป็นสองฝั่งซุ่มอยู่ตามป่าจิก ที่เป็นทางที่ทัพข้าศึกจะผ่านลงมาเเล้วค่อยกระหนาบตี
เเต่เเผนนี้จะสำเร็จได้ต้องใช้ให้พระราชมนูเเกล้งทำเป็นเเพ้ เเล้วถอยหนีล่อพาข้าศึกมาถึงพื้นที่สังหารให้ได้ พระองค์จึงใช้ให้ข้าหลวงขี่ม้าเร็วนำพระกระเเสรับสั่งของท่านไปบอกพระราชมนูเป็นการด่วน
เเต่เมื่อไปถึงหน้างานครั้งเเรก พระราชมนูท่านไม่เเจ้งในกลศึกของสมเด็จพระนเรศวร จึงทูลเเก่ท่านข้าหลวงให้ไปบอกองค์สมเด็จพระนเรศวรว่า ยังไม่ถอยเนื่องจากทัพยังพอยันสู้ข้าศึกได้อยู่ ให้ข้าหลวงกลับไปกราบบังคมทูล
ครั้งที่สองสมเด็จพระนเรศวร ท่านก็ส่งท่านข้าหลวงบอกให้พระราชมนูถอยลงมา พระราชมนูท่านก็ไม่ถอย โดยทูลเกล้าบอกท่านข้าหลวงว่าหากถอยจะเสียรูปทัพไม่เป็นขบวนจะทำให้ทัพหลวงเสียเปรียบในการศึก ท่านข้าหลวงก็ย้อนกลับไปหาสมเด็จพระนเรศวรอีกรอบ
"ถ้ามันไม่ถอย ก็ให้ตัดหัวมันมา" ทรงพระพิโรธในตัวขุนศึกเอกของท่านเป็นอย่างมากที่ไม่เเจ้งในกลศึกนี้ เมื่อท่านข้าหลวงนำพระกระเเสรับสั่งถึงตัดหัว พระราชมนูจึงสั่งถอยทัพในทันที เมื่อพระราชมนูเเตกทัพลงมานั้น ทัพพระเจ้าเชียงใหม่ก็ชะล่าใจไล่ตามลงมาหวังริบทรัพย์จับเชลย ช้างม้าต่างๆลงมากันไม่เป็นกระบวน
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเห็นทัพเชียงใหม่ยกลงมาไม่เป็นกระบวนเเบบนั้น ก็สมประสงค์ดังอุบายที่พระองค์ได้วางเอาไว้ เมื่อทัพเชียงใหม่เข้าสู่พื้นที่สังหารพระองค์จึงสั่งให้ทัพที่ซ่อนอยู่ออกมากระหนาบตีเเละทัพของพระราชมนูก็รวมตัวกันกระหน่ำซ้ำเข้าไปอีกทางนึง ทัพเชียงใหม่เสียหายย่อยยับเป็นที่สุดจากศึกคราวนี้ เพราะสมเด็จพระนเรศวรท่านไล่ตีไปถึงทัพหลวงของพระเจ้าเชียงใหม่เลยทีเดียว
ผลของการศึกในคราวนี้ทัพเชียงใหม่เสียหายย่อยยับสุดคณานับเจ้านายเชียงใหม่หลายพระองค์ก็มาสิ้นพระชนม์ในศึกคราวนี้ สมเด็จพระนเรศวรสามารถจับเชลย ทรัพย์สิน ช้าง ม้า อาวุธ ได้เป็นอันมาก รวมถึงเครื่องราชูปโภคของพระเจ้าเชียงใหม่ด้วย เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระเจ้านันทบุเรงต้องเสด็จยกทัพมาทำศึกใหญ่กับอยุธยาในปี 2129
พระราชมนูได้ติดตามองค์สมเด็จพระนเรศวรไปในทุกสมรภูมิรบ เเม้เเต่สมรภูมิยุทธหัตถีที่เหล่าเเม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างพากันโดนอาญาทัพ โทษถึงประหาร ด้วยฐานที่ปล่อยให้ช้างทรงพระที่นั่งของพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ต้องเข้าไปตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึกศัตรู
เเต่พระราชมนูนั้นเป็นหนึ่งในขุนศึกเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์สำคัญของชาติไทยเราคือศึกยุทธหัตถีขององค์สมเด็จพระนเรศวร ด้วยกองทหารม้าเเละกองทะลวงฟันของพระราชมนูก็เข้าตะลุมบอลกับข้าศึกพร้อมกับพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ในครั้งนั้นเอง
หลังการศึกยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรได้มีพระราชดำริว่าการศึกข้างพม่านั้นคงจะเบาบางลงเเล้ว เนื่องจากทัพของพระเจ้านันทบุเรงนั้นได้เอาชีวิตไพร่พลพม่ารามัญรวมถึงพระมหาอุปราชมาทิ้งในเมืองสยามไว้เสียมาก
เเละไม่น่าจะมีทางที่จะสามารถฟื้นกำลังไพร่พลกลับเข้าหักตีอยุธยาได้ในเร็ววันเป็นเเน่เเท้ คงต้องมีความวุ่นวายภายในราชสำนักหงสาวดีที่เกิดขึ้นจากนโยบายการปราบกบฏอยุธยาที่จะสั่นคลอนพระราชบัลลังค์ของพระเจ้านันทบุเรง
องค์สมเด็จพระนเรศวรจึงเห็นเป็นโอกาสที่ว่างศึกกับหงสาวดี เป็นการจัดกองทัพเข้าตีกรุงละเเวกของทางเขมรให้เด็ดขาดในคราวนี้ เนื่องด้วยสมเด็จพระนเรศวรไม่ไว้วางพระราชหฤทัยพระยาละเเวก(นักพระสัฐฐา)
เพราะชอบคอยหาโอกาสซ้ำเติมอยุธยาทุกครั้งที่ทำได้ ไม่ว่าจะยกทัพมากวาดต้อนผู้คน ช้าง ม้า เเถวทางชายเเดนตะวันออก หรือส่งไส้ศึกเข้ามาล้วงความลับจากทางอยุธยา ซึ่งในสองครั้งหลังสุดถูกสมเด็จพระนเรศวรเล่นงานจนไม่กล้ายกทัพเข้ามาย่ำยีอยุธยาอีกเลย
เมืองละเเวก มีสองเมืองสำคัญที่เป็นด่านหน้าก่อนเข้าถึงกรุงละเเวกคือ เมืองโพธิสัตว์ เเละ พระตะบอง โดยในศึกคราวนี้สมเด็จพระนเรศวรโปรดเกล้าให้พระราชมนูคุมทัพหน้าถือกำลังพล 25,000 คน เข้าตีสองเมืองหน้าด่านเพื่อเปิดทางให้ทัพหลวง
เเต่ด้วยความโหดของท่านพระราชมนูนั้นคือ ท่านสามารถใช้เพียงทัพหน้าเข้าตีเมืองพระตะบอง เเละสามารถตีเเตกได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมเเล้ว เเต่ท่านได้อาศัยความชำนาญในการศึกเเละความบ้าบิ่นของท่านพร้อมทั้งความฮึกเหิมของไพร่พลที่เพิ่งได้รับชัยชนะมาเข้าตีเมืองโพธิสัตว์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ต่อเนื่องอีกเมืองเลยทันที
พระราชมนูน่าจะเป็นขุนศึกเพียงหนึ่งเดียวในหน้าประวัติศาสตร์ที่ใช้เพียงทัพหน้าในการเข้าตีเมืองข้าศึกศัตรูให้เเตกพ่ายย่อยยับลงได้ ที่สำคัญสองเมืองรวดเดียวด้วยครับ เพราะหน้าที่หลักของทัพหน้าคือการยันปะทะข้าศึกตัดทอนกำลังศัตรูให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ทัพหลวงจะเข้ามาปิดบัญชี ซึ่งถ้าจะให้พูดก็คือท่านเก่งเกินจริงไปเยอะครับ
เเม้เเต่องค์สมเด็จพระนเรศวร เมื่อทรงทราบข่าวเเล้วว่าพระราชมนูตีเมืองพระตะบองเเตกเเล้วเเละกำลังยกทัพเข้าตีเมืองโพธิสัตว์ต่อไปนั้น โดยพระองค์ท่านมีพระราชดำริว่าเเค่ทัพหน้าของพระราชมนูคงไม่สามารถตีเมืองโพธิสัตว์ได้จึงได้รีบเสด็จเร่งทัพหลวงตามขึ้นไปสมทบกับทัพหน้าพระราชมนู เเต่เมื่อพระองค์ไปถึงโพธิสัตว์ก็ถูกพระราชมนูตีเเตกเเล้ว
ดังนั้นทัพหลวงของสมเด็จพระนเรศวรจึงเคลื่อนพลเข้าสู่เมืองละเเวกโดยสะดวก เเละทัพหน้าของพระราชมนูได้กลับเข้าสมทบกับทัพหลวงตั้งล้อมกรุงละเเวกเป็นสี่ทิศ ตั้งล้อมอยู่ได้สามวันก็สามารถตีกรุงละเเวกเเตกได้สำเร็จ ส่วนเรื่องพระยาละเเวกถูกทำพิธีปฐมกรรมตัดหัวเอาเลือดมาล้างพระบาทสมเด็จพระนเรศวรหรือไม่นั้น ก็ได้มีอีกบันทึกของทางฝั่งเขมรว่าท่านลงเรือหนีไปได้
หลังการศึกกรุงละเเวกในคราวนั้นสมเด็จพระนเรศวรก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลโดยความชอบเเก่พระราชมนูให้เป็นที่
''เจ้าพระยาอัครมหาเสนาธิบดี สมุหพระกลาโหม''
พระราชทานพานทอง เต้าน้ำทอง เจียดทองซ้ายขวา กระบี่ฝักทอง เครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมากโดยฐานาศักดิ์
หลังได้รับการอวยยศเเล้วท่านสมุหพระกลาโหมก็ได้ใกล้ชิดติดตามองค์สมเด็จพระนเรศวรในการทำศึกกับหงสาวดีเเละตองอูในทุกสมรภูมิที่พระองค์ไป จวบจนวาระสุดท้ายเเห่งพระชนม์ชีพของพระองค์ท่านเเละภายหลังจากพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขององค์สมเด็จพระนเรศวร
ท่านสมุหพระกลาโหมได้ทูลเกล้าขอสมเด็จพระเอกาทศรถ ลาออกจากราชการเนื่องจากพอบ้านเมืองเริ่มสงบจากศึกสงครามก็ถึงคราวที่เหล่าขุนน้ำขุนนางต้องชิงดีชิงเด่นเเก่งเเย่งอำนาจกันเป็นวัฏจักรสืบไป ตัวท่านคือขุนศึกนักรบผู้อุทิศตนเพื่อเเผ่นดินคงไม่เหมาะที่จะมาเล่นเกมการเมืองกับบรรดาขุนนางเหล่านี้ รวมถึงท่านมีความโศกเศร้าเสียใจในการจากไปขององค์สมเด็จพระนเรศวรเป็นอย่างมาก
ตำนานได้เล่าขานว่า หลังจากท่านลาออกจากราชการ ท่านได้ตั้งใจออกผนวชเป็นพระภิกษุเพื่ออุทิศบุญทั้งหมดเพื่อเป็นพระราชกุศลเเด่องค์สมเด็จพระนเรศวร รวมถึงอุทิศบุญกุศลเเก่บรรดาข้าศึกศัตรูที่ท่านได้สังหารตายตกตามกันไปเป็นอันมากในระหว่างการทำศึกสงคราม
ในวาระสุดท้ายเเห่งชีวิตของท่าน ท่านได้มรณะภาพอย่างสงบในคราบของบรรพชิต..........
ภาพประกอบ : ภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
บันทึก
2
2
1
2
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย