20 ก.ย. 2021 เวลา 01:53 • หนังสือ
Trillion Dollar Coach
The Leadership Handbook of Bill Campbell
Trillion Dollar Coach The Leadership Handbook of Bill Campbell
อ่านสนุก สาระแน่น แนะนำแก่ leader ทุกค
ขื่อหนังสือเหมือนจะเป็นอัตชีวประวัติของ Bill Campbell ผู้ที่เรียกว่าเป็นโค้ชของ CEO, Founder และผู้บริหารระดับสูงของหลายบริษัทระดับโลกใน Silicon Valley เช่น Google, Apple, Microsoft แต่จริงๆ แล้วมันคือหนังสือที่สอนเรื่อง leadership ได้ดีที่สุดมากๆ เรื่องหนึ่งเลย แถมยังอ่านสนุกสุดๆ ผ่านการเล่าเหตุการณ์จริง เคสจริงที่บิลไปช่วยโค้ช แนะนำ บริหาร และพูดคุย กับผู้นำหลายต่อหลายคน เป็นอีกเล่มที่แย่งเวลาจาก Netflix ได้ดี เป็นหนังสือที่เปิดอ่านแล้วอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ ยกให้เป็น top 2 ในดวงใจคู่กับ The Hard Thing About Hard Things เลย จึงขอสรุปเรื่องเด่นๆ ที่โดนใจดังต่อไปนี้
เรื่อง Leadership
การเป็นผู้นำ ไม่ใช่การทำเพื่อตัวเองแต่เป็นการทำสำหรับสิ่งที่ใหญ่กว่า นั่นคือองค์กรและทีมงาน
การเป็นผู้นำแนว positive สร้างแรงบันดาลใจและมองทุกอย่างในแง่ดี ถูกพิสูจน์แล้วว่าแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าแนวด่าและมุ่งเน้นโฟกัสแต่เรื่องในแง่ลบ
สอน (coach) คนที่ควรสอน (coachable) คนที่ไม่โอ้อวด คนที่อยากเรียนรู้ตลอดเวลา
มันไม่สำคัญว่าเราเคยทำอะไรมา มันไม่สำคัญว่าเราคิดอะไร แต่มันสำคัญว่าเราทำอะไรในทุกๆ วันนี้
จงเป็นคนที่มอบพลังให้กับคนอื่น ไม่ใช่เป็นคนที่ดึงพลังจากคนอื่น (ลองนึกถึงหลายๆ คนที่เราเคยเจอในชีวิตการทำงาน ที่เมื่อไหร่ทำงานด้วยกันหรือคุยแล้ว รู้สึกเหนื่อย คนนั้นแหละเป็นคนที่ดึงพลังคนอื่น)
การเอาชนะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง การชนะอย่างถูกต้องต่างหากที่สำคัญที่สุด
การนำทีมจะมีความสุขมากขึ้นถ้าเรารู้จักพวกเขาและแคร์พวกเขาจริงๆ
1
จงแสดงออกอย่างจริงใจ เมื่อเราภูมิใจในตัวทีมงาน และชมพวกเขาเมื่อมีโอกาส (กรณีของบิล คือลุกขึ้นปรบมือในที่ประชุมเลย เหมือนพ่อหรือลุงที่ภูมิใจในตัวลูกหลาน จนภายหลังมีทีมใน Google มีธรรมเนียม BCC = Bill Campbell clap คือทุกคนจะปรบมือดังๆ 5 ครั้ง เมื่อมีคนประกาศเรื่องดีๆ ในที่ประชุม)
นอกจากนั้นยังมีข้อแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการบริหาร Board of Directors การบริหารคนเก่งแต่มีปัญหาการทำงานร่วมกับคนอื่น และการดูแลคนที่ต้องถูกให้ออกอย่างรักษาเกียรติเพื่อรักษาขวัญกำลังใจของคนที่ยังอยู่
TRUST
สิ่งที่สำคัญที่สุดของความสัมพันธ์ของการทำงานคือความไว้วางใจ (Trust)
ความไว้วางใจคือ การยอมรับ “จุดอ่อน” ของคนทำงานแต่ละคนได้โดยมองข้ามไปที่ผลลัพธ์ในทางบวกจากการกระทำของคนนั้นๆ
ความไว้วางใจคือ การรักษาคำพูด / ความภักดี / ความความซื่อสัตย์ / การรักษาความลับ
ความไว้วางใจไม่ได้หมายความว่าจะเห็นด้วยกับทุกเรื่อง กลับกัน ความไว้วางใจจะช่วยให้แสดงความเห็นต่างและออกความเห็นด้วยความจริงใจได้ง่ายขึ้น
ทีมที่ดีคือทีมที่มีความไว้วางใจให้กันสูง เรื่องปัญหาในการทำงานต้องมีอยู่แล้ว แต่ความไว้วางใจจะช่วยให้ทีมใช้อารมณ์กันน้อยลงและหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกันได้
ความไว้วางใจช่วยให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการสร้างทีมที่แข็งแกร่ง
หนึ่งในวิธีที่จะช่วยสร้างความไว้วางใจคือ พูดตามที่เราคิดจริงๆ แต่ในแบบที่ยังทำให้คนฟังรู้สึกว่าเราแคร์ อย่างไรก็ดีการทำแบบนี้ต้องมาพร้อมกับความตั้งใจที่อยากให้คนฟังนั้นเก่งขึ้น บอกในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากได้ยินแต่เป็นเรื่องที่พวกเขาความจะรู้ เพื่อจะเก่งขึ้นและพัฒนา
Team First
สำคัญมากที่ทุกคนในทีมต้องมีทัศนคติ Team First มากกว่า Me-First เพราะมันคือการที่ทุกคนเข้าใจว่าความสำเร็จของพวกเขาขึ้นอยู่กับว่าทีมทำงานร่วมกันได้ดีแค่ไหน และทุกคนจะทำงานเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีม ไม่ใช่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
เมื่อมีปัญหา ให้มั่นใจก่อนว่าเรามีทีมที่ถูกต้องในการจะแก้ปัญหานั้น แทนที่จะพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาทันทีโดยไม่กลับมาดูว่าเรามีคนที่ถูกต้องในทีมที่จะแก้ปัญหาแล้วหรือยัง
Sundar ผู้เป็น CEO ปัจจุบันของ Google ระบุว่า เมื่อคนที่เป็น team player พูดหรือออกความเห็น ตัวเขาจะให้ความสำคัญสูงมาก เพราะรู้ว่าคนๆนั้นมีความตั้งใจที่จะช่วยบริษัทให้ได้มากที่สุด
นอกจากนั้นการเป็น Team First ยังหมายความว่า เมื่อการทำงานหรือประชุมเริ่มมีอารมณ์ขุ่นมัวกัน ให้ปลดปล่อยอารมณ์นั้นให้เติมที่ ใช่เวลาที่เรียกว่า bitch session ให้สั้นที่สุด เมื่อจบแล้วให้พากับทุ่มพลังไปกับการแก้ปัญหามากกว่าจะโทษกันไปมาแบบไม่จบสิ้น
ต่างจากที่ Ben Horowitz ในหนังสือ The Hard Thing About Hard Things ที่บอกว่า การเมืองในที่ทำงานไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี หากสามารถจัดการได้มันจะช่วยสร้างแรงพลักดันให้คนทำงาน ตัวบิลไม่ชอบเรื่องการเมืองเลย และแนะนำให้มีการเมืองน้อยที่สุดหรือไม่มีเลยยิ่งดี
Team First ยังรวมถึงการเติมเต็มช่องว่างของทีมทำงาน ซึ่ง Marissa Mayer อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Google ที่อยู่มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการก่อตั้ง (ภายหลัง Marissa เป็น CEO ของ Yahoo!) เล่าเรื่องตอนที่บิลไปช่วยนั่งสังเกตุการในประชุมของหน่วยงานที่ Marissa ตั้งขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของเด็กหัวกระทิที่จบจากมหาวิทยาลัยดังๆ ทั่วประเทศที่ Google ดึงตัวมาทำงาน
Marissa ไม่เข้าใจว่า ทั้งๆ ที่เลือกแต่คนเก่งๆ ฉลาดระดับท็อปๆ มาทำงาน ทำไมถึงมีแต่ปัญหามากมายและงานไม่ค่อยจะเดินสักที พอบิลได้ร่วมฟังในประชุมแล้ว จึงบอก Marissa ว่า ตัวเธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น เห็นทุกอย่างรู้ทุกอย่าง ดังนั้นจะไม่มีทางเข้าใจพวกเขาได้เลย จึงแนะนำว่าให้หาคนอื่นมาดูแลทีมนี้แทน Marissa จะดีกว่า ซึ่งเมื่อทำตามบิลแนะนำสุดท้ายแก้ปัญหาได้จริงๆ
.
อย่าบอกว่าต้องทำอะไร แค่บอกว่าทำเพื่อใครและเพื่ออะไรและทำเพื่อแก้ปัญหาอะไร
.
ที่ Intuit บิลบอกกับ product manager ว่าจะโยนเขาไปนอกถนน (throw you out on the street) ถ้ามาบอกทีม engineer ว่าให้ทำอะไร เพราะในฐานะ product manager คุณมีหน้าที่บอกว่า ปัญหาของผู้บริโภคคืออะไร ใครคือผู้บริโภคเหล่านั้น แล้วให้ engineer คิดหา solution ให้ ซึ่งจะดีกว่าการแค่บอกว่าต้องทำอะไร
1
The Rule of Two
บริษัทใน Silicon Valley มักจะเจอปัญหาที่ทีม “แย่งกัน” เป็นเจ้าของงาน เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น สามารถใช้ สูตร Rule of Two ได้ คือการให้คนสองคน แต่ละคนมาจากแต่ละทีมที่แย่งกันทำ ซึ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดกับงานและมีความสำคัญในการตัดสินใจมากที่สุด ให้ทั้งสองคนทำงานร่วมกันไปหาข้อมูลมาให้มากที่สุดเพื่อหา solution ที่ดีที่สุด ส่วนใหญ่แล้วหลังจากนั้นภายใน 1-2 week ทั้งสองคนจะกลับมาพร้อม solution ที่ดีที่สุดและเห็นตรงกันว่างานดังกล่าวทีมใดจะเป็นทีม lead อย่างไรก็ดี เมื่อมีบางเคสที่สองคนไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ตอนนั้นถึงให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดเป็นผู้เคาะ เมื่อถึงจุดนั้นทุกคนต้องยอมรับว่า จะมีฝ่ายที่สมหวังและฝ่ายที่ผิดหวัง
Love of Founders
เนื่องจากหลายๆ บริษัทใน Silicon Valley ยังมี founder ทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก บิลเป็นคนที่มีความเขื่อว่าบริษัทควรยังคงเก็บ founder ให้ทำงานอยู่ในตำแหน่งที่มีความหมาย แม้บริษัทจะใหญ่มากแล้วจนมีมืออาชีพเก่งๆ มาช่วยก็ตาม เพราะ founder เหล่านั้นเปรียบเสมือน Heart and Soul (หัวใจและจิตวิญญา) ของบริษัท การมี vision สำคัญที่สุดก็จริงแต่การมี heart and soul ก็มีความหมายมากเช่นกัน
ขอยกประโยคเต็มๆ ของบิลที่กล่าวถึง founder ไว้ เพราะคิดว่าแปลออกมายังไงก็คงจะไม่ดีเท่า original:
“People who have the guts and skills to start companies. They are sane enough to know that every day is fight for survival against daunting odds and crazy enough to think they can succeed anyway.”
Bill Campbell จากโลกนี้ไปแล้ว ทิ้งคำสอนและข้อคิดดีๆ ไว้มากมาย รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้อ่านเล่มนี้ ขอบคุณลุงบิล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา