24 ก.ย. 2021 เวลา 03:52 • ความคิดเห็น
พวกนายช่าง (แม่ง) อีโก้สูง
สมัยที่ผมเรียนวิศวกรรมศาสตร์เมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้ว เมืองไทยยังต้องการการพัฒนา แทบทุกด้าน ประกอบกับสถาบันการศึกษาที่จะผลิตบุคลากรที่จะมารองรับงานด้านวิศวกรรมยังมีไม่มาก ทำให้การที่จะเรียนจบมาเป็นวิศวกรในสมัยนั้น ถือว่าต้องเป็นหัวกระทิจริงๆ หลายคนเลือกที่จะเรียนทางสายช่าง คือ จบ ม. 3 แล้วต่อ ปวช. อาจตามด้วย ปวส. แล้วหาทางเรียนต่อเนื่องอีก 2 ปี หรือ 2 ปีครึ่ง แต่ที่เรียนต่อก็มีไม่มาก เท่าที่นึกออกก็จะเป็นพระจอมเกล้าทั้ง 3 ส่วนเทคนิคกรุงเทพ สมัยนั้นน่าจะยังไม่มี
อีกทางเลือกก็จบ ปวช. แล้วเลือก เอ็นทรานซ์ แต่ปัญหาคือต้องไปแข่งกับคนที่เรียน ม. ปลาย ถือว่าสาหัสอยู่ ซึ่งผมเคยเจอรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันคนหนึ่ง มาทางนี้ แต่เท่าที่รู้น่าจะมีไม่มาก
ผมเองเรียน ม. ปลายจากโรงเรียนที่นับกันในจังหวัดก็ถือว่ามีชื่อเสียงเรียงนามพอได้อยู่ แต่ในระดับประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพ ยังถือว่าโรงเรียนค่อนข้างโนเนมพอสมควร แต่ไม่ใช่ว่าโรงเรียนต่างจังหวัดจะสู้เด็กเมืองกรุงไม่ได้เลยทุกโรงเรียนนะ หลายโรงเรียนมีคนเอ็นทรานซ์เข้าคณะดังๆ ได้มากอยู่พอสมควร
การเอ็นทรานซ์นี่กลายเป็นตัววัดที่หลายคนซีเรียสมากว่า ลูกหลานต้องเอ็นติดคณะดังๆ ให้ได้ แต่อย่าว่าแต่คณะดังไม่ดังเลย การเอ็นให้ติดนี่หลายคนก็ทำไม่ได้ ความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษาสมัยนั้นค่อนข้างมาก เด็กที่อยู่โรงเรียนดังในเมืองกรุง บางโรงเรียนเรียกได้ว่ายกห้องเข้ามาเป็นหมอ หรือวิศวฯ ซึ่งตอนนั้นถือได้ว่าเป็นคณะยอดฮิตติดชาร์ทกัน ใครเก่งจริง ต้องเอ็นติดหมอ หรือวิศวฯ
พอเรียนจบมาไม่ว่าจะจบตามปกติคือ 4 ปี หรือกว่านั้น ถ้าได้มาทำงานสายก่อสร้างอย่างผมนี่ จะถูกเรียกว่า "นายช่าง" ทีนี้หนักกว่าเดิม ส่วนใหญ่ทำงานจะประจำอยู่ที่ไซต์งาน มีลูกน้องสายตรง รวมทั้งลูกน้องที่สังกัดนายช่างอื่น แต่ทุกคนให้เกียรติค่อนข้างมาก สั่งอะไรถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็ทำได้
ผมเคยให้ช่างไม้ช่วยต่อโต๊ะเพื่อวางทีวี ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้เป็นลูกน้องโดยตรง ตอนนั้นคิดว่า เขาจะทำให้ไหมหนอ เรายังเป็นเด็กหนุ่มเพิ่งจบ แถมไม่ใช่เป็นลูกพี่เขาโดยตรง ก็ไม่กร่างมาก คุยกันดีๆ บอก พี่ช่วยทำโต๊ะมาวางทีวีให้ผมที่ห้อง (ห้องพักที่อยู่ในไซต์) พอได้ไหม คำตอบคือ นายช่างเอาขนาดเท่าไหร่ (กว้าง ยาว สูง) ผมก็บอกว่า สูงประมาณเอว ไม่ต้องใหญ่มาก เอาวางทีวี สมัยนั้นยังไม่มีจอบงจอแบนไร ก็หนักเอาเรื่อง
ทั้งการเรียน และการทำงานที่ผ่านมาหลายปี (มาก) ยิ่งเพิ่มอีโก้ในตัว โดยที่ผมอาจไม่รู้ตัว หรือรู้บ้าง แต่ถือว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนเป็นนายช่างอย่างตัวข้า ยิ่งนานวันก็ยิ่งซึมเข้าไปในตัว จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปโดยปริยาย
ทีนี้การที่มีอีโก้ในตัว ถ้าอยู่คนเดียวไม่มีครอบครัวก็ (อาจ) ไม่เป็นปัญหามากมายกับตนเอง แต่อาจมีปัญหาบ้างกับคนที่ทำงานด้วย แต่การมีครอบครัว แล้วมีอีโก้สูงๆ จะปรับเข้ากับครอบครัวยาก ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งที่มี พอลองย้อนไปดู บางหนก็เกิดจากอีโก้ในตัวเรานี่แหละ
จนเร็วๆนี้ ผมเพิ่งได้มีโอกาสที่ได้นั่งคุยจริงๆ จังๆ กับคุณภรรยา แล้วรู้เลยว่า คงถึงเวลาจริงๆ แล้วที่เราจะต้องปรับปรุงตัวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ เรื่องที่ผมมักโมโห ทั้งแบบมีคำพูดสวนไป หรือชักสีหน้าใส่ เวลาที่กำลังทำงาน แล้วมีคำถามมาว่า เสร็จหรือยัง
ก่อนนี้ผมหงุดหงิดมาก ความคิดในหัวคือ บอกหลายหนแล้วว่างานนี้มันยาก และต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก เวลาถูกถามก็จะออกอาการทุกที บางหนก็ถึงกับทะเลาะกัน
พอได้คุยแล้วรับฟังว่า คำถามที่ถามบ่อยๆ ไม่ได้เร่งให้เสร็จ หรือมองว่าไม่เก่งที่ทำแล้วไม่เสร็จเสียที แต่
เป็นห่วง
ยอมรับเลยว่าไม่เคยมีมุมมองนี้มาก่อน เพราะไอ้การที่เราคิดไปเองว่าคนอื่นทำไมไม่เข้าใจเรา แต่ไม่เคยถามตัวเองมาก่อนว่า ทำไมเขาที่พูดหรือทำแบบนี้ ถ้าปรับได้เมื่อก่อนชีวิตส่วนตัวคงดีกว่านี้
แต่อย่างที่เคยได้ยินจากไหน ยอมรับว่าจำไม่ได้แล้วว่า
เวลาที่เหมาะสมในการปลูกต้นไม้ คือ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เหมาะสมรองลงมาคือ ตอนนี้
โฆษณา