27 ก.ย. 2021 เวลา 02:27 • หนังสือ
#86 เล่ม 3 บทที่ 20 หน้า 443 ~ 448
...
N : อืมมม โอเคครับ พระองค์ช่วยพูดอะไรอีกสักหน่อยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่นแล้วค่อยจบได้มั้ยครับ❓
พวกเขาสวมใส่อะไร❓ สื่อสารกันยังไง❓ และได้โปรดอย่าบอกว่ามันเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นไปเรื่อย ผมคิดว่าผมได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันอาจมีอะไรบางอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้
...
...
...
G : ก็ได้ ย่อๆนะ
ในวัฒนธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไม่เห็นความจำเป็นต้องสวมใส่เครื่องนุ่งห่ม เว้นแต่ตอนที่ต้องปกปิดร่างกายเพื่อปกป้องตัวเองจากธาตุหรือสภาวะบางอย่างที่พวกเขาควบคุมไม่ได้ หรือในเวลาที่ต้องประดับสัญลักษณ์บางอย่างเพื่อบ่งบอก “สถานะ” หรือเกียรติยศ
สวส.ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงต้องปกปิดร่างกายในเวลาที่ไม่จำเป็น (เพราะพวกเขาไม่เข้าใจแนวคิดเรื่อง “ความน่าละอาย” หรือ “ความเรียบร้อย”) ทั้งยังไม่เข้าใจแนวคิดของการห่มคลุมร่างกายเพื่อให้ดู “สวยขึ้น/น่ารักขึ้น/ดูดีขึ้น” สำหรับสวส.แล้ว ไม่มีอะไรจะสวยงามไปกว่าร่างกายที่เปล่าเปลือย
ฉะนั้นแนวคิดเรื่องการสวมใส่บางสิ่งทับลงไปเพื่อให้ดูเจริญตาหรือมีเสน่ห์จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
ที่เข้าใจไม่ได้พอกันก็คือเรื่องแนวคิดของการใช้ชีวิต (การใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิต) อยู่ในกล่องที่พวกเธอเรียกว่า “อาคาร” และ “บ้าน” สวส.จะใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ และจะอยู่ในกล่องเฉพาะเวลาที่สภาพแวดล้อมไม่เป็นใจเท่านั้น ซึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้น เนื่องจากอารยธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงสามารถสร้าง ควบคุมและกำกับดูแลสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้
สวส.ยังเข้าใจอีกว่าพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งแวดล้อม ว่าพวกเขาไม่เพียงใช้พื้นที่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์ในรูปแบบของการต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันด้วย สวส.ไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงก่อความเสียหายหรือทำลายสิ่งที่ค้ำจุนพวกเธออยู่
ฉะนั้นจึงสรุปเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากว่าพวกเธอไม่เข้าใจว่าสิ่งแวดล้อมคือสิ่งซึ่งค้ำจุนชีวิตพวกเธออยู่ 💢และพวกเธอคือสิ่งมีชีวิตที่มีทักษะในการสังเกตอันคับแคบจำกัดเป็นอย่างยิ่ง💢
ส่วนเรื่องการสื่อสาร สวส.จะใช้ด้านหนึ่งของตัวเองที่พวกเธอเรียกว่า ‘ความรู้สึก’ เป็นการสื่อสารในขั้นแรก — สวส.จะรับรู้ถึงความรู้สึกต่างๆของตัวเองและของคนอื่น 🔸ไม่มีใครพยายามจะปิดบังความรู้สึกของตน🔸 เพราะรู้ว่านั่นคือการทำลายตัวเอง
ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ในยามที่ซ่อนเร้นความรู้สึกแล้วจากนั้นก็พร่ำบ่นว่าทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของตน
✨ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ✨ ซึ่งสวส.เข้าใจเรื่องนี้ดี จุดมุ่งหมายของการสื่อสารในสังคมของสวส.คือ “การรู้ความจริงของกันและกัน”
ฉะนั้นสวส.จึงไม่สามารถทำความเข้าใจ (และไม่มีวันเข้าใจ) แนวคิดของมนุษย์ในเรื่อง “การโกหก” ได้
ชัยชนะที่เกิดจากความสำเร็จในการสื่อความเท็จออกไปนั้นสำหรับสวส.แล้วมันคือความเปล่าประโยชน์ มันไม่ได้แสดงให้เห็นถึงชัยชนะและประโยชน์อะไรเลย แต่คือความพ่ายแพ้อันน่าอดสูและไร้ประโยชน์เป็นอย่างยิ่งต่างหาก
สวส.ไม่ได้ “บอก” ความจริง แต่สวส. “คือ” ตัวความจริงนั้น ความเป็นทั้งหมดของตัวพวกเขามาจาก “สิ่งที่เป็นเช่นนั้น” และ “สิ่งที่ได้ผล” ทั้งนี้สวส.ได้เรียนรู้มานานแล้ว ตั้งแต่สมัยอดีตกาลอันไกลโพ้นเกินกว่าที่จะจำได้ ในยุคที่ยังสื่อสารผ่านการเปล่งเสียงจากลำคออยู่ว่า ‘การโกหก’ (หรือการสื่อความเท็จ) นั้นไม่ส่งผลดี แต่ทว่าในสังคมของพวกเธอยังไม่เรียนรู้เรื่องนี้เลย
บนดาวเคราะห์ของพวกเธอ เกือบทั้งสังคมตั้งอยู่บนรากฐานของการปิดบัง พวกเธอจำนวนมากเชื่อว่าการปิดบังซึ่งกันและกัน การไม่เปิดเผยต่อกันและกัน จะทำให้ชีวิตเป็นไปได้ด้วยดี การปิดบังจึงกลายเป็นแนวทางของการประพฤติปฏิบัติทางสังคม แนวทางของจริยธรรม และแน่นอนว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติอย่างลับๆ
แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นความจริงของพวกเธอทุกคน เช่น วัฒนธรรมในยุคโบราณและชนพื้นเมืองของพวกเธอไม่ได้ใช้ชีวิตไปในแนวทางนี้ และคนอีกหลายคนในสังคมยุคปัจจุบันของพวกเธอก็ปฏิเสธที่จะมีพฤติกรรมในทำนองนี้
ทว่ารัฐบาลของพวกเธอขับเคลื่อนด้วยแนวทางนี้ โลกธุรกิจของพวกเธอก็นำแนวทางนี้มาใช้ และความสัมพันธ์มากมายของพวกเธอก็สะท้อนให้เห็นถึงวิถีทางนี้ "การโกหก" (ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่) ได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมากมาย 💢จนถึงขั้นผู้คนโกหกเกี่ยวกับการโกหกของตัวเอง💢
ฉะนั้นพวกเธอจึงพัฒนาหลักเกณฑ์ลับๆเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติอย่างลับๆของพวกเธอขึ้น แบบเดียวกับนิทานสอนใจเรื่องพระราชาไม่ใส่เสื้อผ้า★★ 💢ทุกคนรู้แต่ไม่มีใครพูด — พวกเธอถึงขั้นเสแสร้งว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น การทำแบบนี้คือการโกหกตัวเอง💢
N : พระองค์พูดประเด็นนี้มาก่อนแล้ว
G : ฉันพูดประเด็นที่เป็นแก่นสำคัญซ้ำๆในการพูดคุยกันนี้ เป็นประเด็นหลักๆที่เธอต้อง “เข้าใจ” หากเธอจะเปลี่ยนสิ่งต่างๆได้อย่างแท้จริงอย่างที่เธอบอกว่าเธออยากเปลี่ยน
และฉันจะบอกกับเธออีกครั้งว่า : ความต่างระหว่างวัฒนธรรมของมนุษย์กับวัฒนธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงก็คือ สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงจะ...
1️⃣ 🔸สังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน🔸
2️⃣ 🔸สื่อสารอย่างซื่อตรง🔸
พวกเขาเห็น “สิ่งที่ได้ผล” แล้วก็บอกว่า “อะไรเป็นอะไร” อย่างซื่อตรง นี่คือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ (แต่ลึกซึ้ง) ในการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้ได้อย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ประเด็นในเรื่องทางศีลธรรม มันไม่มี “บทบัญญัติทางศีลธรรม” ในสังคมของสวส. และนั่นก็เป็นแนวคิดที่ชวนงงพอๆกับการโกหก
🛑 ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องแค่ว่าอะไรที่ทำแล้วได้ผล และอะไรที่นำมาซึ่งประโยชน์
N : สวส.ไม่มีระบบทางศีลธรรมเลยหรือครับ❓
G : ไม่มีในแบบที่เธอเข้าใจ แนวคิดที่คนบางกลุ่มสร้างชุดของค่านิยมขึ้นมาเพื่อกำหนดให้สวส.ต้องปฏิบัติตามจะหักล้างความเข้าใจในเรื่อง “สิ่งที่ได้ผล” ซึ่งบอกว่าแต่ละคนคือผู้ตัดสินชี้ขาดเพียงลำพังว่า : 🔸สุดท้ายแล้วอะไรคือพฤติกรรมที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับตน🔸
🛑 ในสังคมของสวส.การถกเถียงพูดคุยกันนั้นจะวนเวียนอยู่รอบสิ่งที่ได้ผลเสมอ (ว่าอะไรที่ใช้การได้และเกิดประโยชน์กับทั้งหมด) ไม่ได้วนเวียนอยู่กับสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า “ถูก” และ “ผิด”
N : แต่นั่นไม่ได้เหมือนกันเหรอครับ❓ เราไม่ได้เรียกสิ่งที่ได้ผลว่า “ถูก” และเรียกสิ่งที่ไม่ได้ผลว่า “ผิด” หรือครับ❓
G : พวกเธอได้ใส่ความรู้สึกผิดและความน่าละอายเข้าไปในความถูกและผิดนั้นด้วย (ซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับสวส.)
แล้วพวกเธอก็แปะป้ายหลายสิ่งหลายอย่างว่า “ผิด” ไม่ใช่เพราะว่ามัน “ไม่ได้ผล” แต่เพียงเพราะพวกเธอคิดไปเองว่ามัน “ไม่เหมาะสม” (ซึ่งบางทีก็ไม่เฉพาะในสายตาของเธอเองเท่านั้น แต่เป็นใน “สายพระเนตรของพระเจ้า” ด้วยซ้ำ)
🛑 พวกเธอได้ประดิษฐ์คำจำกัดความปลอมๆของ “สิ่งที่ได้ผล” และ “ไม่ได้ผล” ขึ้น เป็นคำจำกัดความซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ “สิ่งที่เป็นจริงๆ” เลยสักนิด
อย่างเช่น การแสดงความรู้สึกออกมาอย่างซื่อตรงมักถูกมองว่า “ผิด” ในสังคมของมนุษย์ ซึ่งเป็นข้อสรุป (ที่ได้จากการสังเกต) ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นกับสวส. เพราะการตระหนักรู้ถึงความรู้สึกต่างๆได้อย่างถูกต้องจะส่งเสริม ‘ชีวิต’ ไม่ว่าจะในชุมชนหรือกลุ่มชนใดก็ตาม ด้วยเหตุนั้น อย่างที่ฉันได้บอกไป สวส.จะไม่มีวันซ่อนความรู้สึก หรือรู้สึกว่ามันเป็น “เรื่องถูกต้องทางสังคม” ที่ต้องทำอย่างนั้น
และการปกปิดความรู้สึกเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไม่ว่าในกรณีใดๆ เพราะสวส. จะรับรู้ “ความรู้สึก” (ซึ่งจริงๆแล้วก็คือการสั่นสะเทือน) จากสิ่งมีชีวิตอื่นได้ — ซึ่งทำให้ความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตอื่นกลายเป็นเรื่องปกติที่สามารถรับรู้ได้ แบบเดียวกับที่บางทีเธอก็ “สัมผัสได้ถึงบรรยากาศ” เวลาที่เดินเข้าในห้องนั่งเล่นนั่นแหละ สวส.สามารถสัมผัสสิ่งที่สวส.อีกคนกำลังคิดและรู้สึกอยู่ได้
มีการเปล่งเสียงจริงๆ (ที่พวกเธอเรียกว่า “ถ้อยคำ”) น้อยมากๆ “การสื่อสารทางโทรจิต” เป็นการสื่อสารระหว่างกันของสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงทั้งหมด
จริงๆแล้วก็อาจพูดได้ว่า 🔸ระดับการวิวัฒนาการของสายพันธุ์🔸 (หรือของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสายพันธุ์เดียวกัน) วัดได้จากว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นต้องใช้ “ถ้อยคำ” ในการสื่อความรู้สึก ความปรารถนาหรือข้อมูลมากน้อยแค่ไหน
และก่อนที่เธอจะถามขึ้นมา ฉันขอตอบก่อนเลยว่า ใช่ มนุษย์สามารถพัฒนา (บางคนก็พัฒนาขึ้นมาแล้ว) ความสามารถเดียวกันนี้ขึ้นมาได้
จริงๆแล้วเมื่อหลายพันปีก่อนนี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่หลังจากนั้นพวกเธอได้ถดถอยลงสู่การใช้วิธีเปล่งเสียงแบบดั้งเดิม (ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นแค่เสียงแต่มันคือ “คลื่นรบกวน”*) เพื่อสื่อสาร
[*เสียงที่เปล่งออกมา จริงๆแล้วมันคือการเปล่งคลื่นรบกวนความรู้สึกออกมา – แอดมิน]
แต่ทว่าพวกเธอหลายคนกำลังกลับสู่รูปแบบของการสื่อสารที่กระจ่างขึ้น ถูกต้องขึ้น และสง่างามขึ้น นี่ยิ่งเป็นจริงระหว่างคู่รัก ซึ่งช่วยขับเน้นความเป็นจริงที่สำคัญยิ่งคือ : ✨ความห่วงใยก่อให้เกิดการสื่อสาร✨
💖 ที่ไหนที่มีความรักลึกซึ้งถ้อยคำแทบไม่จำเป็น
ด้านกลับของความเป็นจริงนี้ก็เป็นจริงเช่นกันคือ :🔸ยิ่งต้องใช้ถ้อยคำเพื่อสื่อสารถึงกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งห่วงใยกันน้อยลงเท่านั้น เพราะ "ความห่วงใยก่อให้เกิดการสื่อสาร"🔸
🛑 ที่สุดแล้ว 🔸การสื่อสารที่แท้จริงทุกชนิดเป็นเรื่องของความจริง🔸
💖 และในที่สุด ‘ความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียว’ ก็คือ 🔸รัก🔸
💖 นั่นคือเหตุผลว่าทำไม 🔸เมื่อรักปรากฏกายการสื่อสารจึงปรากฏตาม🔸
💥 และเมื่อการสื่อสารติดขัด นั่นคือสัญญาณว่า : 🔸รักไม่ได้อยู่ตรงนั้นเท่าที่ควร🔸
N : งดงามนะครับ ต้องบอกว่าสื่อสารได้งดงาม
G : ขอบใจนะ เดี๋ยวจะสรุปรูปแบบการใช้ชีวิตในสังคมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงให้ฟัง :
...
...
...
★★ Emperor's New Clothes นิทานสอนใจของนักประพันธ์ชาวเดนมาร์ก ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน (1805 - 1875) เป็นเรื่องของพระราชาผู้ทรงโปรดการแต่งองค์ด้วยเสื้อผ้าสวยๆใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้สนใจเรื่องการทหาร การบ้านการเมือง การละเล่น หรือสิ่งอื่นใดเลย หมกมุ่นอยู่เพียงเรื่องเดียวคือ ต้องมีฉลองพระองค์ชุดใหม่ที่ดูดีอยู่เสมอ เปลี่ยนชุดบ่อยจนในที่สุดก็ไม่รู้จะไปหาชุดไหนมาใส่ได้อีก จึงติดประกาศว่าใครที่สามารถประดิษฐ์ฉลองพระองค์ชุดใหม่ของพระราชาได้สวยโดนใจจะมีรางวัลให้อย่างงาม
จากนั้นก็มีนักต้มตุ๋นสองคนปลอมตัวเป็นช่างทอผ้าเข้ามาเฝ้าพร้อมข้อเสนอว่ามีเนื้อผ้าพิเศษที่นอกจากจะงามสุดยอดแล้วยังมีคุณสมบัติพิเศษคือ คนที่ไม่คู่ควรกับตำแหน่งและคนโง่เขลาจะมองไม่เห็นผ้าชนิดนี้ พอถึงวันที่ทั้งสองหลอกพระราชาว่าจะนำชุดที่ตัดเสร็จแล้วมาให้พระราชาสวมใส่
เมื่อมาถึงก็ทำทีนำฉลองพระองค์ที่ว่างเปล่านั้นมาให้พระราชาสวมใส่แล้วก็ชมว่าสวยว่างามต่างๆนาๆ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่มีใครมองเห็นฉลองพระองค์นี้เลยสักคน แต่เหล่าขุนนางและเสนาบดีต่างก็เกรงว่าถ้าบอกออกไปว่าตนมองไม่เห็นก็หมายความว่าตนไม่คู่ควรกับตำแหน่งและเป็นคนโง่ จึงกล่าวเยินยอความงามกันยกใหญ่ พระราชาเองก็พลอยเคลิ้มไปด้วย
นักต้มตุ๋นทั้งสองจึงบอกให้พระราชาถอดฉลองพระองค์ที่กำลังสวมอยู่ออก เพื่อสวมชุดใหม่ที่พวกตนทำมาแทน หลังจากทำทีหลอกว่าสวมใส่ให้แล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปนอกพระราชวัง ประชาชนทั้งหลายต่างก็กลัวว่าตนจะเป็นคนโง่ จึงแซ่ซ้องในความงามของฉลองพระองค์ไปตลอดทาง
จนเมื่อมีเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นว่า "พระราชาแก้ผ้า" คนต่อๆมาก็เลยเริ่มพูดออกมาเหมือนกันด้วยความขบขันว่า "พระราชาแก้ผ้า" พระองค์ถึงเริ่มรู้ตัวและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ฝืนเสด็จให้จบขบวน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา