27 ก.ย. 2021 เวลา 15:18 • ประวัติศาสตร์
ดินแดนไร้พ่าย!? เผยรายชื่อ 5 ประเทศ ที่กล่าวกันว่าไม่มีกองทัพใดในโลกสามารถยึดครองดินแดนของพวกเขาได้!! (ภาคหนึ่ง)
ในหนังสือประวัติศาสตร์ ล้วนเต็มไปด้วยอาณาจักรมากมายที่ถือกำเนิดขึ้นมา รุ่งเรืองในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็ล่มสลายลงไป ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยจากปัญหาภายในหรือภายนอกก็ดี หรือแม้กระทั่งการที่อาณาจักรหนึ่งแปรสภาพเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งแล้วอาจจะอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน หรืออาจจะล่มสลายไปตามกาลเวลาก็ดี
แต่ในปัจจุบัน เราจะไม่เรียกดินแดนเหล่านี้ว่าอาณาจักรเพื่อแสดงถึงความเป็นรัฐชาติ แต่เราจะเรียกว่าประเทศ โดยบางประเทศในปัจจุบันก็กล่าวได้ว่ามีอิทธิพลต่อประเทศอื่น ๆ ไปทั่วโลก อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย
และในปัจจุบันนี้ การบุกยึดดินแดนเพื่อขยายอาณาเขตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ตามหลักสากล ซึ่งถ้าหากประเทศใดคิดรุกรานเพื่อยึดครองดินแดนของประเทศอื่น จะต้องพบกับมาตรการตอบโต้อย่างรุนแรงจากนานาชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่สมมติว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นี้จริง เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าจะมีประเทศใดบ้าง ที่ได้ชื่อว่าไม่มีทางที่ประเทศใดในโลกที่จะสามารถพิชิตได้ และนี่คือรายชื่อของ 5 ประเทศบนโลก ที่ถูกขนานนามว่า ไม่มีวันถูกตีแตกหรือยึดครองจากชาติอื่น ๆ ได้
1. สหรัฐอเมริกา
หากพูดถึงประเทศไหนสักแห่งบนโลกที่กล่าวได้ว่ามีกองทัพที่มีแสนยานุภาพมากที่สุดในโลกแล้ว เห็นจะไม่พ้นสหรัฐอเมริกา กล่าวได้ว่านี่คือประเทศที่ไม่น่าจะมีประเทศใดบนโลกกล้าทำสงครามเต็มรูปแบบและส่งกำลังทหารบุกไปถึงแผ่นดินแม่ของสหรัฐฯ ได้ เพราะนอกเหนือจากกองทัพของพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่มีแสนยานุภาพมากที่ในโลกแล้ว พวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับชาวอเมริกันอีกราว 330 ล้านคน โดยประเทศของพวกเขามีกฎหมายที่อนุญาตให้พลเรือนสามารถพกพาอาวุธได้
1
ชาวอเมริกันในหลายรัฐได้รับอนุญาตให้ออกแบบและสร้างอาวุธของตนเองโดยไม่ต้องลงทะเบียน นั่นหมายความว่าชาวอเมริกันทุกคนมีคลังอาวุธเป็นของตัวเอง และถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พวกเขาสามารถระดมกำลังพลได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังพลเรือนติดอาวุธที่มีประสิทธิภาพในการรบพอตัวเลยทีเดียว
3
ต่อให้กองกำลังผู้รุกรานจะสามารถควบคุมพลเรือนชาวอเมริกันได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องใหญ่และหนักหนาสาหัส เพราะก่อนจะถึงขั้นนั้น พวกเขาจะต้องพบกับกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและมีอุปกรณ์ที่ครบครันที่สุดในโลก คำถามก็คือ จะมีกองกำลังของประเทศใดในโลกสามารถทำลายแนวรับของกองทัพสหรัฐฯ ได้หรือไม่?
3
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังมีขนาดใหญ่ และมีภูมิประเทศที่แตกต่างกันแบบสุดขั้ว มีทั้งภูมิประเทศแบบหนองน้ำ ป่าฝนที่อุดมสมบูรณ์ ไปจนถึงเขตทะเลทรายที่ว่างเปล่า นี่ยังไม่รวมถึงมหานครใหญ่ ๆ ที่มีตึกระฟ้าสูงมากมายอย่างนิวยอร์ค
1
ลองนึกภาพดูว่า ถ้ามีกองกำลังบุกเข้าไปยึดนครนิวยอร์ค คุณจะจัดการกับปัญหาความแออัดของมหานครที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าและมีประชากรอาศัยอยู่ราว 8.4 ล้านคน ได้อย่างไร และมั่นใจได้เลยว่ากองกำลังผู้บุกรุกจะต้องพบกับการต่อต้านอย่างหนักจากกองกำลังสหรัฐฯ และกลุ่มติดอาวุธเจ้าถิ่นอีกมากมาย หรือต่อให้ยึดเมืองใหญ่ ๆอย่างนิวยอร์คได้ สุดท้ายกองกำลังผู้บุกบุกก็ต้องรุกคืบลึกเข้าไปในดินแดนของสหรัฐฯ และต้องเจอกับความยากลำบากจากการต่อต้านจากกองกำลังสหรัฐฯ ที่ยังเหลือรอด รวมไปถึงกองกำลังติดอาวุธอีกหลายกลุ่ม
3
อ่านมาถึงตรงนี้ บอกได้แค่ว่า คงไม่มีประเทศไหนในโลกกล้าทำสงครามกับสหรัฐอเมริกาเต็มรูปแบบ และส่งกำลังไปบุกยึดแผ่นดินแม่ของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
2. รัสเซีย
รัสเซียเองก็มีอะไรหลายอย่างคล้ายกับสหรัฐอเมริกา พวกเขามีกองทัพที่มีแสนยานุภาพไม่เป็นรองกองทัพสหรัฐฯ เลยแม้แต่น้อย เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้รัสเซียพิเศษกว่าสหรัฐฯ ก็คือการที่พวกเขามีอาณาเขตที่กว้างใหญ่กว่า และที่สำคัญที่นักประวัติศาสตร์สงครามต้องรู้ก็คือ 'ฤดูหนาวของรัสเซีย' เป็นอะไรที่โหดร้ายทารุณเหลือเกินสำหรับกองทัพที่คิดจะบุกเข้าไปในแผ่นดินแม่ของรัสเซีย
1
ในปี ค.ศ.1812 นโปเลียน โบนาปาร์ต ยกทัพบุกรัสเซีย ในช่วงแรกของสงคราม กองทัพฝรั่งเศสของนโปเลียนได้รับชัยชนะเหนือกองทัพรัสเซีย ที่ทำได้เพียงแค่ล่าถอย และเผาทำลายเมือง ฟาร์ม และโครงสร้างอื่น ๆ ในเมืองที่พวกเขาคาดการณ์ว่ากองทัพนโปเลียนจะบุกเข้ามา เพื่อตัดเสบียง ไม่ให้กองทัพผู้รุกรานได้นำไปใช้เลี้ยงทหารในกองทัพ
3
กล่าวกันว่าทหารรัสเซีย ยอมทำลายประเทศตัวเองทิ้งซะยังจะดีกว่าปล่อยให้ประเทศของพวกเขาถูกยึดครองโดยฝ่ายข้าศึก เช่นเดียวกับตอนที่นาซีเยอรมันรุกรานพวกเขาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารโซเวียตจำนวนมากยอมพลีชีพเพื่อสกัดกั้นการรุกรานจากพวกนาซีเยอรมัน และยิ่งต่อสู้กันนานเท่าไร กองทัพฝ่ายรุกรานก็มีแต่จะอ่อนแอลงเท่านั้น เพราะที่นี่คือรัสเซีย มีเพียงแค่ชาวรัสเซียด้วยกันเท่านั้นที่จะรับรู้ว่าภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมของแผ่นดินแม่ของพวกเขาเป็นอย่างไร และพวกเขาก็สามารถใช้เงื่อนไขนี้เพื่อเอาชนะกองทัพผู้รุกรานได้ไม่ยาก เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
1
นอกจากนี้ รัสเซียยังมีเขตเวลาถึง 11 โซน และเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หากนั่นยังไม่เลวร้ายพอ รัสเซียยังมีสภาพอากาศทุกรูปแบบภายในประเทศของตัวเองอีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ หากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ กลุ่มประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตจำนวนมาก ยังคงมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับรัสเซีย โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียกลาง และประเทศเหล่านี้พร้อมที่จะรบเคียงข้างกับรัสเซีย
3
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะมีกองทัพของประเทศใดในโลกคิดจะบุกเข้าไป เพราะต่อให้พวกเขาสามารถทะลวงแนวรับของกองทัพรัสเซียได้ สุดท้ายพวกเขาจะต้องพบกับฤดูหนาวที่แสนโหดร้าย พร้อมกับการตอบโต้อย่างรุนแรงและไม่ยอมเลิกราจากกองทัพรัสเซีย เหมือนที่กองทัพของนโปเลียนและฮิตเลอร์เคยพบเจอกันมาแล้ว
2
3. อัฟกานิสถาน
3
แม้ก่อนหน้านี้ เหล่าบรรดาเสนาธิการในกองทัพสหรัฐฯ ต่างระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า การสู้รบของกองกำลังสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานกำลังคืบหน้าไปได้ด้วยดีตลอดระยะเวลา 20 ปี แต่สุดท้าย กองทัพสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน และปล่อยให้กองกำลังท้องถิ่นของอัฟกันต้องรับศึกหนักกับกลุ่มตาลีบันเพียงลำพัง ในตอนแรกฝ่ายเสนาธิการทหารของสหรัฐฯ เชื่อว่าด้วยความช่วยเหลือของสหรัฐฯ มาตลอด 20 ปี น่าจะทำให้รัฐบาลท้องถิ่นอัฟกันสามารถยืดหยัดได้ด้วยตัวเอง แต่ความคิดดังกล่าวต้องพังทลายไม่เป็นท่า เมื่อกองกำลังอัฟกันพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มตาลีบันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่กองทัพสหรัฐฯ ถอนกำลังได้ไม่นาน
1
อัฟกานิสถานได้รับการขนานนามว่าเป็น 'หลุมฝังศพชาติจักรวรรดินิยม' เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีกองทัพจักรวรรดิอังกฤษ และกองทัพสหภาพโซเวียตที่เคยรุกรานดินแดนแห่งนี้ แต่ก็ไม่สามารถยึดครองได้ และสหรัฐอเมริกา ก็คือผู้แพ้รายล่าสุดในสนามรบที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้
3
ต้องบอกก่อนว่าอัฟกานิสถานแตกต่างจากชาติมหาอำนาจอื่น ๆ เพราะพวกเขาไม่ได้มีกองทัพที่มีแสนยานุภาพ แต่ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ประเทศแห่งนี้เป็นอะไรที่ยากต่อการรุกรานและยึดครอง คือการที่อัฟกานิสถานมีภูมิประเทศเสมือนชามทะเลทรายขนาดยักษ์ ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองได้ทำให้กองกำลังท้องถิ่นสามารถใช้เป็นฐานที่มั่นและหลบซ่อนตัวจากกองทัพผู้รุกรานได้เป็นอย่างดี
3
ในอดีต หุบเขาสูงชันเหล่านี้ ได้ลบล้างความได้เปรียบของทหารม้า และมันได้ลดข้อได้เตรียมของยานเกราะและรถถังของชาติมหาอำนาจอีกด้วย แต่สหรัฐฯ นั้นมีความแตกต่างจากประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ที่เคยพ่ายแพ้ในอัฟกานิสถาน เนื่องจากพวกเขามีระบบขนส่งที่ดี และสามารถรับส่งทหารเข้าออกพื้นที่สู้รบได้ค่อนข้างง่ายกว่าสมัยที่กองทัพจักรวรรดิอังกฤษรุกรานอัฟกานิสถานในปี ค.ศ.1839 และกองทัพโซเวียตที่บุกอัฟกานิสถานเมื่อปี ค.ศ.1979 อีกด้วย
1
คำถามก็คือ แล้วทำไมสหรัฐฯ ถึงไม่สามารถเอาชนะในสงครามกลางเมืองอัฟกานิสถานได้ เหตุผลก็เพราะในอัฟกานิสถานมีความหลากหลายด้านชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นชาวปัชตุน ชาวเติร์ก ชาวบาลูจิ ชาวอูซเบค ฯลฯ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ก็ไม่ได้รักใคร่สามัคคีกัน และชาวอเมริกันเองก็ไม่รู้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์เหลานี้แตกต่างกันอย่างไร และมีความต้องการอะไรบ้าง เหมือนที่ครั้งหนึ่งสื่อของอเมริกันเคยระบุว่า ชาวอเมริกันคิดแค่ว่าชาวอัฟกันทั้งหมดต้องการประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่พวกเขาไม่ได้ถามและทำความเข้าใจกับชาวอัฟกันเหล่านั้นว่าแท้จริงแล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่
1
(อ่านบทความย้อนหลัง 5 สาเหตุที่สหรัฐฯ พ่ายแพ้ต่อกลุ่มตาลีบันจากลิงค์ด้านล่างครับ)
เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ กลุ่มตาลีบัน ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวปัชตุน ก็เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ พวกเขามีความเป็นเอกภาพมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์ใด ๆ ในประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลท้องถิ่นของอัฟกันนั้นเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ขาดความเป็นเอกภาพ และขาดความตระหนักรู้ในการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของตัวเอง เหมือนที่ ปธน. โจ ไบเดน ได้เคยกล่าวเอาไว้ถึงสาเหตุที่ต้องถอนกองกำลังสหรัฐฯ ออกจากอัฟกัน
1
นอกจากนี่ ปัญหาใหญ่ ๆ ในอัฟกานิสถานก็คือ การที่ภายในประเทศมีความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ ก็เลยหาความเป็นเอกภาพยาก เพราะทุกคนก็ล้วนมีฝักฝ่ายของตัวเอง และไม่มีใครจริงใจต่อกัน
1
เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็จะมีคำถามตามมาว่า ในเมื่อใช้แสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าบดขยี้กองกำลังท้องถิ่นอัฟกันเหมือนที่จักรวรรดิอังกฤษและพวกโซเวียตเคยทำแล้วยังไม่ได้ผล และใช้แนวคิดแบบชาวตะวันตก สร้างชาติภายใต้ระบอบประชาธิปไตยตามแบบฉบับของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้ผลอีก ถ้าเช่นนั้นควรจะทำอย่างไร? บางทีอาจจะต้องกวาดล้างประชาชนชาวอัฟกานิสถานกว่า 34 ล้านคนให้หมดเสียก่อน บางทีการยึดครองประเทศนี้อาจเป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่วิธีนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ และคงไม่มีผู้นำของประเทศไหนเสียสติพอที่จะทำเช่นนี้แน่นอน
1
4. จีน
เคยมีกรณีศึกษาของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ที่แม้จะสามารถยึดดินแดนบางส่วนของจีนแผ่นดินใหญ่ได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถรุกคืบเข้าไปได้ไกลมากกว่านี้ เพราะขาดแคลนทรัพยากรและกำลังทหาร จนทำให้พวกเขาติดหล่มในประเทศจีนตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และนั่นเลยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้ในสงคราม
1
อย่างที่ทราบกันดีว่า ประเทศจีนมีประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1,400 ล้านคน และมีขนาดประเทศใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกา ถ้าหากกองทัพของประเทศใดบนโลกที่คิดจะบุกยึดจีนแผ่นดินใหญ่ พวกเขาจะต้องตีโจทย์ใหญ่ที่ว่า 'จะจัดการกับประชากรจำนวน 1,400 ล้านคนของจีนได้อย่างไร?' ให้ได้เสียก่อน
1
นอกจากนี้แล้ว ประเทศจีนเองก็มีกองทัพที่มีแสนยานุภาพเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉพาะกองกำลังภาคพื้นดินจำนวนมหาศาล ซึ่งกล่าวได้ว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่าย แต่ทรงประสิทธิภาพเอามาก ๆ กับประเทศที่มีประชากรล้นเหลือแบบจีน
1
สมมติว่าถ้ากองกำลังฝ่ายบุกยึดหัวหาด ณ เมืองไหนสักแห่งในประเทศจีนได้ พวกเขาจะต้องพบกับคลื่นทหารนับล้านคนที่ถาโถมเข้ามาบดขยี้กองกำลังผู้รุกราน ซึ่งก็ไม่มีใครแน่ใจด้วยซ้ำว่าทหารที่ถูกส่งไปยึดหัวหาดจะสามารถต้านทานคลื่นมนุษย์นับล้านที่ถาโถมเข้ามาแบบนั้นได้หรือไม่? หรือต่อให้มีกองกำลังสนับสนุนทางเรือและทางอากาศ พวกเขาก็ต้องเจอกับการต่อต้านจากกองทัพเรือและกองทัพอากาศของจีนที่มีแสนยานุภาพสูงมากเช่นกัน พูดให้เข้าใจง่าย ๆ เลยก็คือ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยึดเมืองหัวหาดของประเทศจีนได้ เพราะกองทัพแนวหน้าที่ถูกส่งไปอาจถูกกวาดล้างโดยกองทัพจีนอย่างรวดเร็ว
3
แล้วถ้าสมมติอีกว่า ถ้าหากกองกำลังฝ่ายบุกสามารถยึดเมืองหัวหาดของจีนได้ พวกเขาก็จะต้องรุกคืบเข้าไปภายในดินแดนของจีน ที่เต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมแบบทะเลทราย ป่าดิบชื้นแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเทือกเขาสูง ที่ลดทอนศักยภาพของกองกำลังทางอากาศของฝ่ายรุกราน
1
อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ อยากให้ทุกท่านลองคิดในเชิงคณิตศาสตร์ตัวเลข จริงอยู่ที่ชาวจีนกว่า 1,400 ล้านคน อาจไม่มีอาวุธ แต่มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะระบบราชการของจีนสามารถจัดหาและติดอาวุธพลเรือนของตนได้อย่างรวดเร็ว และนั่นหมายความว่ากองทัพฝ่ายผู้บุกรุกจะต้องสู้รบกับชาวจีนทั้ง 1,400 คน!!
1
เหนือสิ่งอื่นใด ประเทศจีนเป็นเจ้าแห่งการลอกเลียนแบบ นั่นหมายความว่า กองทัพจีนน่าจะมีเทคโนโลยีในระดับที่ใกล้เคียงกับกองทัพสหรัฐฯ และด้วยความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่า ประเทศจีนพร้อมทุ่มทุนทั้งในแง่เม็ดเงินและกำลังพลแบบไม่อั้น เพื่อขับไล่ศัตรูผู้รุกรานให้ออกไปจากแผ่นดินจีน
1
5. อินเดีย
ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของประเทศอินเดีย เป็นเทือกเขาหิมาลัยที่สูงใหญ่ ซึ่งเปรียบเสมือนกับปราการจากธรรมชาติ ที่ยากต่อการรุกราน และพื้นที่อีกครั้งหนึ่งทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง ในขณะที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้มีสภาพอากาศร้อนชื้น ซึ่งทำให้การเปิดปากยึดหัวหาดบริเวณดังกล่าวเป็นไปได้ยาก
หนึ่งในวิธีที่กองทัพฝ่ายรุกรานน่าจะทำ หากพวกเขาคิดจะบุกยึดแผ่นดินแม่ของอินเดีย คือการส่งกองเรือรบเพื่อล้อมกรอบและทำลายกองทัพเรือของอินเดียเสียก่อนที่จะส่งกองกำลังแนวหน้าบุกยึดหัวหาด แต่วิธีดังกล่าวเป็นอะไรที่สุ่มเสียง และอาจได้ไม่คุ้มเสียสักเท่าใดนัก
นับตั้งแต่ที่ประเทศอังกฤษมอบเอกราชให้กับอินเดียในปี ค.ศ.1947 อินเดียได้ทำสงครามกับปากีสถานอยู่สองถึงสามครั้ง และพวกเขาเองก็เคยรบกับจีนมาแล้ว นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปากีสถานและจีนจึงมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์ในการป้องกันประเทศของอินเดีย ต้องมาจากแนวคิดในการทำสงครามจากสองด้านในเวลาเดียวกัน และอินเดียก็มีประสบการณ์ในการทำสงครามเช่นนี้
4
การรุกรานอินเดียไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เพราะความสูงของเทือกเขาหิมาลัยจะเป็นอะไรที่ลดทอนศักยภาพของกองกำลังทางอากาศของฝ่ายรุกราน นอกจากนี้ถ้าหากอินเดียถูกรุกรานขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาสามารถเล่นเกมการเมืองได้อย่างชาญฉลาด หมายความว่าพวกเขาอาจจะหันไปหาสหรัฐอเมริกาหรือโซเวียตเพื่อขอความช่วยเหลือได้
1
ไม่เพียงเท่านี้ ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคน ความซับซ้อนด้านความเชื่อด้านศาสนาในแต่ละภูมิภาค และอินเดียเองก็มีกองทัพที่มีแสนยานุภาพในระดับสูง เลยทำให้พวกเขากลายเป็นประเทศที่น่าเกรงขามในทุกแนวรบ จนแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ดินแดนแห่งนี้จะถูกพิชิตได้โดยง่าย
ท่านสามารถติดตามภาคสองได้จากลิงค์ด้านล่างครับ
ข้อมูลจาก : BUSINESSINSIDER.COM, WIKIPEDIA
โฆษณา