29 ก.ย. 2021 เวลา 01:00 • กีฬา
ยาก หรือ ง่าย ? “ช้างศึก” กับ 4 ชาติ
ศึกชิงจ้าวอาเซียน รอบแบ่งกลุ่ม
#แบกเป้ดูบอลไทย By #เก้นนิติพงษ์
เมียนมา
ฟิลิปปินส์
สิงคโปร์
และผู้ชนะรอบคัดเลือก ระหว่าง บรูไน หรือ ติมอร์เลสเต
ทั้งหมดที่เอ่ยมานี้ คือคู่แข่งของทัพ “ช้างศึก” ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน หรือที่คุ้นปากกันในชื่อ AFF Suzuki Cup 2020 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอ แน่นอนว่าหากดูเผินๆ แล้ว ถือว่า ไทย เราโชคดีไม่น้อยที่สามารถเลี่ยงคู่ปรับที่สร้างความปั่นป่วนให้กับเราในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกที่ผ่านมาไม่นาน ทั้ง มาเลเซีย หรือแม้แต่ อินโดนีเซีย เช่นเดียวกับ กัมพูชา หรือ สปป.ลาว ที่พร้อมเล่นแบบสู้ตายถวายชีวิตยามเจอกันเรา
หากแต่ทีมระดับ เมียนมา, ฟิลิปปินส์ หรือ สิงคโปร์ ก็หาได้ด้อยไปกว่า ไทย สักเท่าไหร่ ดังนั้น เมื่อไหร่ที่เราลงสนามด้วยความประมาท ลำพอง และมองว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคู่แข่งแบบสุดกู่ โอกาสที่เราจะตกม้าตายจากศึกชิงแชมป์อาเซียนก็มีสูงเช่นเดียวกัน
วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กันว่า แท้ที่จริงแล้ว ผลการจับสลากในกลุ่มเอนั้น เป็นงานที่ “ยาก หรือ ง่าย” สำหรับทีมชาติไทย ?
#แชมป์ห้าสมัยไม่ได้การันตีโทรฟี่หนนี้ และ “ทัศนคติ” #สำคัญที่สุด
ผมเชื่อว่า นักเตะ ตลอดจนทีมงานทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า “ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย” และความมั่นใจจากความสำเร็จในอดีตในฐานะชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรายการนี้ (5 สมัย : 1996, 2000, 2002, 2014, 2016) ก็พร้อมกลายร่างเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงพวกเราให้ชอกช้ำเอง
ฉะนั้น ทัศนคติก่อนลงสนาม จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะชี้วัดว่า ไทย นั้นดีพอที่จะทวงบัลลังก์จ้างแห่งอาเซียกลับคืนมาจาก เวียดนาม ได้หรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณจะเป็นใคร หน้าที่ของแข้ง “ช้างศึก” ชุดนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ ลงไปบดขยี้ และคว้าชัยชนะกลับมาให้แฟนบอลชาวไทยได้เชยชม
#เมียนมา ขึ้นชื่อว่าศักดิ์ศรี ไม่มีคำว่าง่ายสำหรับ ไทย
หากเรากางสถิติระหว่าง ไทย และเมียนมา ในศึกชิงแชมป์อาเซียนนับตั้งแต่ปี 2010 จะเห็นได้ชัดเลยว่า ทัพ “ช้างศึก” ของเรานั้นทำผลงานได้เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยทั้งสองทีมนั้นโคจรมาพบกันทั้งหมด 4 ครั้ง และเป็นไทยที่เอาชนะ เมียนมา ได้ทั้งหมด พร้อมกับซัดไปถึง 12 ประตูด้วยกัน แถมยังรักษาคลีนชีทได้อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลขเหล่านี้ย่อมสร้างความมั่นใจให้กับทัพนักเตะดินแดนลุ่มน้ำเจ้าพระยาทีมนี้ได้อย่างแน่นอน
แต่ด้วยศักดิ์ศรีบ้านใกล้เรือนเคียงที่ยังค้ำคอกันอยู่ บวกกับเราต้องจับตาดูการเรียกตัวผู้เล่นชุดนี้ของ เมียนมา ว่าจะแข็งแกร่งกว่าชุดที่เล่นในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่ผ่านมาหรือไม่ โดยมีตัวผู้เล่นเก๋าๆ ที่ค้าแข้งอยู่ในไทย ที่อาจจะคืนสนามกลับมาเป็นแกนหลักให้กับทีมไม่ว่าจะเป็น ซอ มิน ตุน (ตราด), อ่อง ธู (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด), จอ โคโค (แพร่ ยูไนเต็ด) มั่นใจได้เลยว่า เมียนมา ไม่มีทางกลายเป็นขนมให้เราเคี้ยวได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน
#ฟิลิปปินส์ “สูตรลูกครึ่ง” ส่วนผสมที่ลงตัวของแข้ง “ดิ อัซกาลส์”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ฟิลิปปินส์ คือชาติที่เดินทางมาค้าแข้งบนผืนแผ่นดินไทยมากที่สุดถึง 13 คน (ไทยลีก 1 และ 2) นำทัพมาโดย ไมเคิล ฟาลเคสการ์ด นายด่านจอมหนึบแห่ง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด, ฮาเวียร์ ปาตินโญ่ ศูนย์หน้าตัวอันตรายจาก การท่าเรือ เอฟซี, เควิน อินเกรโซ่ (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด), แพทริค ไรเชลท์ แพทริค เดย์โต และไดสุเกะ ซาโตะ (สุพรรณบุรี เอฟซี), เอียน แรมซีย์ และอมานี่ อากีนัลโด้ (หนองบัว พิชญ เอฟซี) ฯลฯ
ดังนั้น หากเราจะบอกว่า พวกเขาเข้าใจ และรู้ทางในแบบฉบับของ “ฟุตบอลไทย” มากกว่าใครในอาเซียน เห็นทีคงไม่ผิดไปจากนี้แต่อย่างใด
จุดเด่นของทัพ “ดิ อัซกาลส์” คือ ความเป็นยุโรปที่มิกซ์กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนทำให้พวกเขาก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นทีมระดับแถวหน้าของอาเซียนได้อย่างรวดเร็ว พวกเขามีสภาพร่างกาย และความแข็งแกร่งที่ไม่ต่างไปจากนักเตะในยุโรป พวกเขามีสปีดที่จัดจ้าน มีระบบ และวินัยตามแบบฉบับของ ญี่ปุ่น ส่วนผสมเหล่านี้เป็นสูตรยากที่ชาติใดในอาเซียนจะลอกเลียนแบบ และนั่นคือความอันตรายของ ฟิลิปปินส์ ที่ไม่มีใครกล้าประมาทพวกเขาอีกแล้ว
แม้ ไทย จะมีสถิติที่เหนือว่า ฟิลิปปินส์ อย่างเห็นได้ชัด โดยวัดจากการดวลกันในศึก AFF Suzuki Cup ตั้งแต่ปี 2012 พบว่าทัพ “ช้างศึก” ของเราไม่เคยแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว หากแต่การโคจรมาพบกันหนล่าสุดเมื่อปี 2018 ที่ บาโคลอด นั้นจบลงด้วยผลเสมอหลังจากประตูของ โจวิน เบดิช ในช่วงท้ายเกม ดังนั้นหากเราไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเมื่อปี 2018 สิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องทำให้ได้นั้นคือ การปิดเกมนี้ให้ได้ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย และนั่นคือโจทย์ที่เราเองต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่า ไทย จะยังคงเป็นชาติที่เหนือกว่า ฟิลิปปินส์ ในเรื่องของ “ฟุตบอล”
#สิงคโปร์ คู่รักคู่แค้นแห่งวงการลูกหนังอาเซียน
ทั้งเรา และสิงคโปร์ คือสองชาติที่พยายามช่วงชิงความเป็นหนึ่งในเรื่องของฟุตบอลย่านอาเซียนมาโดยตลอด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ไทย และสิงคโปร์ จึงเป็นสองชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรายการนี้ (สองชาติ คว้าแชมป์รวมกันได้ 9 จาก 12 ครั้งที่จัดการแข่งขัน)
หากแต่ถ้าวัดผลงานตั้งแต่ช่วงปี 2012 จนถึงฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนครั้งล่าสุดในปี 2018 จะเห็นได้ชัดว่า ไทย ค่อนข้างจะทำผลงานได้เหนือกว่ายามโคจรมาพบกับแข้ง “เดอะ ไลออนส์” ยกเว้นในปี 2012 ที่เราพลาดท่าให้กับ สิงคโปร์ ในเกมนัดชิงชนะเลิศเกมแรก กระทั่งเป็นทัพนักเตะแดนลอดช่องที่ผงาดคว้าโทรฟี่แชมป์ไปครองต่อหน้าต่อตาแฟนบอลบ้านเราในสนามศุภชลาศัย
แม้ปัจจุบัน เราอาจจะไม่คุ้นชื่อกับนักเตะสิงคโปร์เฉกเช่นในอดีตที่พวกเขาที่สตาร์คับทีม แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็ยังถือเป็นอีกหนึ่งหอกข้างแคร่ที่เราไม่มีทางไว้วางใจ และประมาทเป็นอันขาด
และที่สำคัญ การลงสนามพบกับ สิงคโปร์ ในศึกชิงแชมป์อาเซียนหนนี้ยังเป็นการลงเล่นในเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดัน และสุ่มเสี่ยงต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทีมชาติไทยของเราจำเป็นที่จะต้องปิดงานให้ได้ตั้งแต่สามเกมแรก เพื่อโยนความกดดันกลับไปให้เพื่อนร่วมกลุ่มทั้ง เมียนมา, ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่ สิงคโปร์ ให้เป็นฝ่ายขับเคี่ยวตั๋วใบสุดท้ายกันเอง เชื่อว่านั่นคือหนทางที่ปลอดภัย และรัดกุมที่สุดของทัพ “ช้างศึก” ชุดนี้ !!!
แล้วคุณหล่ะครับ มองว่ากลุ่มเอของ ทีมชาติไทย นั้นง่าย หรือยาก หากมองเทียบกับอีกหนึ่งกลุ่มที่มีทั้ง เวียดนาม, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ???
ทั้งนี้ การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2020 หรือ AFF Suzuki Cup 2020 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2564 - 1 มกราคม 2565
#โปรแกรมการแข่งขันของทีมชาติไทย 🇹🇭 ศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน AFF Suzuki Cup 2020
🗓 5 ธันวาคม 2564
ผู้ชนะรอบคัดเลือก (🇧🇳 บรูไน หรือ 🇹🇱 ติมอร์ เลสเต) พบ ไทย 🇹🇭
🗓 11 ธันวาคม 2564
🇹🇭 ไทย พบ เมียนมาร์ 🇲🇲
🗓 14 ธันวาคม 2564
🇵🇭 ฟิลิปปินส์ พบ ไทย 🇹🇭
🗓 18 ธันวาคม 2564
🇹🇭 ไทย พบ สิงค์โปร์ 🇸🇬
โดยสถานที่จัดการแข่งขัน และโปรแกรมการแข่งขันอย่างเป็นทางการ สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน หรือ เอเอฟเอฟ (AFF) จะมีการประกาศให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
#เก้น #นิติพงษ์ยวนตระกูล ผู้จัดการสื่อสารการตลาด & มีเดีย หนุ่มเมืองเหนือไฟแรง : ผู้บรรยายฟุตบอล และบรรณาธิการกีฬา ที่คลั่งไคล้มนต์เสน่ห์ลูกหนังอย่างจริงจังโดยเฉพาะฟุตบอลไทย จนตัดสินใจยกหัวใจให้ “เกมลูกหนัง” เป็นตัวนำทางชีวิต
โฆษณา