2 ต.ค. 2021 เวลา 02:30 • ไลฟ์สไตล์
"ไม่เห็นแก่ตัว จนกระทั่ง ... เห็นว่าไม่มีตัว"
"... ธรรมะมี 2 ระดับ
ระดับหนึ่งก็คือฝึกที่จะไม่เห็นแก่ตัว
เป็นธรรมะที่เราจะอยู่กับโลก
อยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว
1
ไม่เห็นแก่ความสนุกเพลิดเพลิน หลงใหลโลก
อยู่กับโลกแบบไม่เห็นแก่ตัว
อยู่แบบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือจุนเจือคนอื่น สัตว์อื่น
เรียกว่าเราอยู่กับโลกเป็น
ธรรมะอีกขั้นหนึ่งไม่ใช่ ไม่เห็นแก่ตัว
แต่เห็นว่าไม่มีตัว เห็นว่ามันไม่มีตัว
ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
ความสุขความทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา
ความดีความชั่วไม่ใช่ตัวเรา
ความรับรู้คือวิญญาณ
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่ตัวเรา
อันนี้เป็นธรรมะในขั้นโลกุตตระ
ฉะนั้นขั้นแรกเราต้องไม่เห็นแก่ตัวเสียก่อน
ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ แล้วจะไปมองให้เห็นว่าตัวไม่มี
มันทำไม่ได้หรอก
...
อยู่กับโลกก็พยายามลดละความเห็นแก่ตัวไป
มีโอกาสทำทานก็ทำ
รักษาศีลก็ต้องลดละความเห็นแก่ตัว
เห็นแก่ความสุข ความสนุกสนานอะไรอย่างนี้
กินเหล้าเมายาสนุกเหลือเกิน
เราก็ลดละไม่ตามใจกิเลส ไม่เห็นแก่ตัวเอง
ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
แล้วนำความทุกข์อันยาวนานมาให้อะไรพวกนี้
ฉะนั้นอยู่กับโลกพยายามที่จะฝึกตัวเอง
ให้มันไม่เห็นแก่ตัว ให้มันลดละลงไป
ถ้าอยากพ้นโลกก็มองความจริงของกายของใจ
ให้เห็นว่าตัวไม่มี ไม่ใช่ไม่เห็นแก่ตัว
ตัวไม่มีจะเห็น ไม่มีตัวจะให้เห็น
มีแต่รูปธรรม มีแต่นามธรรม
นี่เส้นทางเดินที่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเดินมา
อย่างความดีในโลกท่านก็ทำไม่ใช่ไม่ทำ
เวลามีโอกาสทำทานท่านก็ทำ
ศีลท่านก็รักษา การภาวนาท่านก็ทำ
มาภาวนาอยากพ้นทุกข์จริง ๆ ก็เสียสละจริง ๆ
สละความสุขความสบาย ความเพลิดเพลิน
ความเคยชินในโลก มาเรียนรู้ตัวเองอย่างจริงจัง
จนเห็นความจริง ตัวเราไม่มี
ถ้าเห็นได้ว่าตัวเราไม่มี
มีแต่รูปธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
มีแต่นามธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
อันนี้เราเข้าสู่โลกุตตรธรรมแล้ว
เราได้พระโสดาบันแล้ว
เราเห็นว่าสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับไป
ฉะนั้นเฝ้ารู้เฝ้าดูว่าไม่มีตัว ไม่มีตัวตน
มีแต่รูปธรรมนามธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
พัฒนาต่อไปอีก เราก็จะเห็นเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปนั้น
ไม่มีอย่างอื่นหรอกนอกจากทุกข์
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
ถ้าเห็นอย่างนี้ได้จิตจะพ้นโลกเด็ดขาดเลย
ทีแรกมันจะเห็นร่างกายนี้ก่อน
เพราะร่างกายมันเป็นของหยาบ มันเห็นง่ายกว่า
มันจะเห็นว่าร่างกายนี้มันมีแต่ทุกข์
มันคือตัวทุกข์ล้วน ๆ เลย ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้าง
พอเห็นอย่างนี้ก็ปล่อยวางกายได้
เป็นภูมิของพระอนาคามี
เรากำลังจะภาวนาเข้ามาที่จิตที่ใจ
ก็เห็นจิตใจนี้ เราเห็นมาแต่แรกแล้วว่ามันเกิดดับ
มันไม่ใช่ตัวเรา แล้วมันเป็นตัวอะไร
มันเป็นตัวทุกข์ มันเป็นตัวทุกข์เพราะอะไร
เพราะมันไม่เที่ยง
เพราะมันถูกบีบคั้นให้แตกสลาย
เพราะมันบังคับไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจควบคุม
เห็นอย่างนี้ที่สุดแห่งทุกข์ก็ถึงตรงนี้เลย
เมื่อไรเห็นถึงจิตเป็นไตรลักษณ์
ที่สุดแห่งทุกข์ก็อยู่ตรงนี้ล่ะ
นี่สำหรับคนซึ่งอินทรีย์แก่กล้า
พอเราผ่านธรรมะมาสูงขึ้น ๆ
หันไปมองเพื่อนร่วมโลกของเราเก่า ๆ
เห็นแล้วก็น่าสงสาร
เขาดิ้นรน เขาแย่งชิง เขาแสวงหาอะไรมากมาย
อยากได้รับความสุข
สุดท้ายสิ่งที่ได้มาคือความว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรเลย
อยากได้โน้นได้นี้ อยากมีโน้นมีนี้
สุดท้ายก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไร น่าสงสาร
มันจะไม่รู้สึกว่าเราดีกว่าเขา
ไม่รู้สึกว่าเราเลวกว่าเขา
ไม่รู้สึกว่าเราเสมอกับเขา
ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นเลย
มีแต่ความเห็นอกเห็นใจ
ฉะนั้นถ้าเรายังเกลียดคนชั่วอยู่
เรายังภาวนาไม่ดีพอหรอก
ถ้าเราหลงเคารพบูชาคนดี
หรือสิ่งดี ๆ ในฐานะของวิเศษ
เราก็ยังไม่เข้าใจธรรมะ
มองให้เป็นจะเห็นธรรมะ
ฉะนั้นพยายามฝึกตัวเองให้ดี
พัฒนาไปเรื่อย ๆ ภาวนาไปเรื่อยเราจะถึงจุดที่
เรารู้เลยว่าเราไม่ได้อะไรมา
แล้วเราก็ไม่ได้เสียอะไรไป
นอกจากได้สัมมาทิฏฐิมา เสียมิจฉาทิฏฐิไป
ได้ความเห็นถูก ได้ความรู้ถูก ความเข้าใจถูก
ความเห็นถูก ก็เห็นโลกตามความเป็นจริงนั่นล่ะ
ละความเห็นผิดไป
พอเราเห็นถูกเราไม่เห็นผิด คราวนี้เราอยู่ตรงไหน
ตรงนั้นก็เป็นธรรมะไปหมดเลย
ในคัมภีร์ท่านก็เคยสอน
ครูบาอาจารย์ก็เคยพูดให้ฟัง
ว่าพระอรหันต์อยู่ที่ไหนที่นั่นคือที่สัปปายะ
เพราะฉะนั้นท่านไปอยู่ในผับในบาร์
จริง ๆ ท่านไม่ไปหรอก
แต่เกิดหลงหลุดเข้าไปที่ตรงนั้นสัปปายะ
พระอรหันต์ไปอยู่ในนรกก็สัปปายะ
แล้วท่านอยู่ที่ไหนที่นั่นก็ร่มเย็น
เป็นเรื่องอัศจรรย์นะธรรมะ
เวลาเราเข้าใกล้ครูบาอาจารย์เราจะรู้สึกอบอุ่น
แล้วก็รู้สึกร่มเย็น
ฟังแล้วก็ไม่รู้ร้อนหรือเย็น อบอุ่นแต่ว่าร่มเย็น
เราก็ฝึกตัวเรา
อย่างเราเห็นครูบาอาจารย์ดูท่านมีความสุข
ฝึกตัวเราไป เมื่อก่อนท่านก็เหมือนเรา
ล้มลุกคลุกคลานมาแล้วทั้งนั้น
เคยทำผิดทำพลาดมาแล้วทั้งนั้น
ใครบ้างยังไม่เคยทำความผิด เคยฆ่าคนก็มี
พระอรหันต์แต่ก่อนบางองค์ท่านก็เคยฆ่าคน
แต่ไม่ใช่ฆ่าตอนเป็นพระอรหันต์
อย่างพระองคุลีมาล ก็เคยทำผิดมา
ทำผิดฆ่าคนตั้งพันคน
ทีนี้ท่านเจอบัณฑิต
ท่านได้พระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรนำทางให้ท่าน
ท่านเห็นพระพุทธเจ้าสงบ
พระพุทธเจ้าทำไมร่มเย็นเป็นสุข
ท่านเองทำไมมีแต่ความเร่าร้อน
ท่านก็อยากร่มเย็นเป็นสุขบ้าง
ก็ฟังธรรม ลงมือปฏิบัติใช่ไหม
สุดท้ายท่านก็เข้าถึงความร่มเย็นเป็นสุข
อันเดียวกับพระพุทธเจ้า
ฉะนั้นก่อนที่เราจะถึงความบริสุทธิ์
เราก็ผ่านความไม่บริสุทธิ์มาทั้งนั้นทุกคน
ฉะนั้นอย่าเสียอกเสียใจอะไร
ที่เราไม่ดีตอนนี้ลดละเสีย
ความดีอะไรยังไม่ได้ทำ ทำเสีย แล้วเราจะดีเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความโง่ความหลง
ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี อันตรายที่สุดเลย อย่างไร
อยู่ตรงไหนก็มีธรรมะ
หัดมองให้เป็นแล้วจะเห็นธรรมะ
ธรรมะอยู่กับโลกก็อยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว
อยากพ้นโลกไปก็จะเห็นว่าตัวเราไม่มีหรอก
มีแต่รูปธรรมนามธรรม
ค่อย ๆ ฝึกไปแล้วเราก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น
เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเดินให้เราดู
เราไหว้พระพุทธรูปเรานึกถึงพระพุทธเจ้า
แต่เดิมท่านก็มีกิเลสท่านก็เคยทำความผิด
ทำไมท่านเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยธรรมะอันใด
ถ้าเราเดินอยู่ในธรรมะอันนั้น
วันหนึ่งเราก็ไปเหมือนท่านได้
สอนตัวเองไปอย่างนี้
ไม่ใช่ไปถึงก็บนเลยขอโน่นขอนี่
เพราะฉะนั้นเรื่องในเมืองไทยคอร์รัปชันเยอะ
ติดสินบนเยอะเป็นเรื่องปกติเลย
เราไปไหว้พระเรายังบนเลย ... "
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กันยายน 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา