4 ต.ค. 2021 เวลา 03:00 • เพลง & ซีรีส์ เกาหลี
เมื่อพูดเรื่องตัวละครที่เป็น​จิตเวช​ แน่นอนว่า​ Mad for Each Other​ ต้องมาค่ะ​
Mad for Each Other | Netflix
ปกติแล้วเรามักไม่ค่อยได้เห็นเรื่องราวที่ให้ตัวละครหลักทั้งสองตัวเป็นผู้ป่วยจิตเวชเท่าไหร่หรอกค่ะ ยิ่งมาตกหลุมรักกันแบยช่วยเยียวยากันแบบ... ทุลักทุเลไม่เพอร์เฟค ตามประสาคนไม่เพอร์เฟค... ยิ่งไม่เคยเจอ​ แต่ก็คงเพราะอย่าวนี้ละครเรื่องนี้จึงพิเศษและน่ารัก... ในมุมมองของมาดาม เรื่องนี้เหมือนจะคาแรกเตอร์ดูเกินจริง แต่กลับสมจริง และน่ารักมาก
ข้อดีของเรื่องนี้คือ... มันเป็นการพบกันของสองคนที่ต่างก็มีปมปัญหา แต่เพราะอย่างนั้น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเคยเผชิญอะไรมาในชีวิต จึงเข้าใจและเห็นใจอีกฝ่ายอย่างจริงใจได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับพรั่งพรูถ้อยคำที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี จนค่อยๆ สร้างความมั่นใจที่หายไปนานกลับมาได้
แต่มันไม่ใช่แค่คำพูดเป็นซีนๆ แต่มันคือการกระทำที่ทำให้คนดูอย่างเรารับรู้ได้
ในเรื่องนี้ Oh Yeon-Seo รับบทเป็น Lee Min Kyung อดีตสาวทำงานที่ทั้งสวย แต่งตัวดี และมีหน้าที่การงานที่ดี รวมถึงมีความรักที่เธอมองว่าเพอร์เฟค แต่มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอกลายเป็นโรคหวาดระแวง เธอหวาดกลัวอยู่เสมอ รู้สึกว่ามีคนเฝ้าตามจับดูเธอตลอด เธอไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับใครได้ แม้กระทั่งเพื่อนเก่าเธอก็เลิกคบ เพราะอับอายไม่กล้าสู้หน้าใคร
ส่วน Noh Hwi-Oh ที่รับบทโดย Jung Woo ก็เป็นอดีตนายตำรวจที่โคตรเถรตรงและเป็นขาลุย เขาเป็นคนขี้โมโห แต่เพราะไปทำงานขัดแข้งขัดขาตำรวจที่มีความเกี่ยวข้องกับแก๊งค์ค้ายา เลยโดยป้ายสี และถูกพักราชการ
ความอ่อนแอของอีมินคยองทำให้โนฮวีโอรู้สึกว่าต้องปกป้อง ในระหว่างที่เขาปกป้องเธอ เขาเองก็ได้ค่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีคนต้องการ เป็นผู้ชายที่ดี ที่แข็งแรง ที่ดูแลคนอื่นได้ สวนมินคยองเอง ในระหว่างที่โนฮวีเข้ามามีบทบาทในชีวิตเธอมากขึ้น เธอก็เริ่มรู้สึกปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่เขาเข้าใจเธอ และเฝ้าดูเธอค่อยๆ กลับมามีความมั่นใจและปรับตัวกลับเข้าสู่สังคม
ซีนที่มาดามประทับใจ คือตอนที่แม่ของมินคยองคุยกับโนฮวี เธอบอกว่าเธอไม่ค่อยไว้ใจลูกสาวว่าดูแลตัวเองได้ ตั้งแต่ที่เธอผ่านอะไรมามากมาย ว่าเธอไม่ไว้ใจใคร แต่เธอไว้ใจโนฮวี และฝากฝังให้เขาดูแลลูกสาวของเธอ
“อย่าเชื่อผมเกินไปเลยครับ แทนที่จะเชื่อผม เชื่อลูกสาวคุณเถอะ” โนฮวีบอกแม่ของมินคยอง พร้อมอธิบายเรื่องราวเล็กๆ ที่มินคยองเริ่มทำ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเธอเข้มแข็งขึ้นแล้ว และกำลังค่อยๆ ปรับตัวกลับสู่สังคม เขาบอกให้เธอวางใจ และขอให้เธอรอ
หล่อมากแม่!!!!
จริงๆ keyword สำคัญที่ช่วยผู้ป่วยได้เสมอคือ empowerment ค่ะ มันคือการทำให้อีกฝ่ายได้สร้างพลังจากภายในของตัวเอง... ด้วยตัวเอง... ผู้ป่วยมากมายมักรู้สึกสูญเสียการควบคุมชีวิต จะเพราะเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตที่เคยประสบมา หรือจะเพราะเหตุการณ์ปัญหาเล็กหรือใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าก็ตาม...
คนส่วนใหญ่ เมื่อเห็นว่าใครสักคนมีปัญหา มันจะมีรีแอคชั่น 2 แบบ คือ
(1) เงียบและหนีเพราะไม่อยากยุ่ง หรืออาจเพราะไม่รู้ต้องทำตัวยังไง
หรือ (2) อยากช่วยแก้ปัญหา และอยากคลายปัญหาให้ผู้ป่วย เดี๋ยวนั้น ตอนนั้น... เอาจริงๆ เพื่อผู้ป่วยก็ส่วนหนึ่งแหละ แต่หลักๆ ถ้าเราสังเกตใจตัวเองให้ดี ที่จริงลึกๆ แล้วมันเพื่อความสบายใจของเราเอง... เออ เห็นเขาหาย สบายใจเราละ เราเลยอยากแก้ปัญหาให้เขา... ด้วยวิธีของเรา... ในเวลาของเรา... โดยมักลืมมองไปว่า... มันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีหรือในเวลาที่เหมาะสมกับเขาก็ได้
การ empower คือการให้เขาได้ "เลือก" ทำสิ่งที่เขาต้องการ ในระยะเวลาที่เขาสบายใจ มันจึงต้องอาศัยการอดทนรอคอยของเราค่ะ ถามว่าแล้วจะช่วยยังไงได้ล่ะถ้าเราอยากช่วย... ย้อนกลับไปที่เรื่อง You’re My Spring เราส่งสัญญาณได้ เราลองเสนอทางเลือกให้เขาได้ แต่เราจะไม่ตัดสินใจให้เขา...
หนึ่งดีมั้ย หรือสองดี หรือไม่ดีทั้งคู่ งั้นสามดีมั้ย แล้วแต่เลยนะ เธออยากเลือกทางไหน เลือกได้เลย ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอตรงนี้ ไม่ว่าเธอจะเลือกทางไหน... และฉันรอได้ เธออยากทำเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ฉันไม่เดือดร้อนหรอกที่รอ...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา