6 ต.ค. 2021 เวลา 12:00 • ธุรกิจ
2 ปี ไร้คำตอบต่อสัมปทาน "บีทีเอส" เปิดหน้าชน กทม.
1
“บีทีเอส” ยื่นฟ้อง กทม. จ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวกว่า 3 หมื่นล้านบาท รับแบกภาระเป็นเหตุต้องกู้เงินหนุนธุรกิจ
1
2 ปี ไร้คำตอบต่อสัมปทาน "บีทีเอส" เปิดหน้าชน กทม.
11 เม.ย.2562 เป็นระยะเวลามากกว่า 2 ปี จากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มอบให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันผลประโยชน์และการต่อสัญญา โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อแก้ปัญหาภาระหนี้สินระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส
สืบเนื่องจากการเจรจาต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ได้นำภาระหนี้ที่กรุงเทพมหานครจ้างบีทีเอสเดินรถส่วนต่อขยายระยะที่ 1 สะพานตากสิน-บางหว้า และอ่อนนุช-แบริ่ง รวมถึงระยะที่ 2 ช่วงหมอชิต-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ พร้อมกับภาระหนี้ค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) มาร่วมพิจารณาด้วย โดยมีมูลหนี้กว่า 3.2 หมื่นล้านบาท
แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการเจรจาต่อสัมปทาน หรือแม้แต่เจรจาชำระหนี้ เป็นผลให้เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา บีทีเอสซีได้ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครอง โดยยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในการชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยศาลปกครองได้รับคำฟ้องเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา และปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนให้ กทม.และกรุงเทพธนาคมทำคำชี้แจง
สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ภาระหนี้สะสมที่ภาครัฐบาลมีต่อบีทีเอส แบ่งออกเป็น
1.หนี้ค่าจ้างเดินรถตั้งแต่เดือน เม.ย. 2560 จนถึงเดือน ก.ค.2564 จำนวนราว 1.2 หมื่นล้านบาท
2.หนี้ค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) จำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
โดยการยื่นคำฟ้องครั้งนี้เป็นเพียงสัญญาจ้างเดินรถ มูลค่าราว 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่สัญญาติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนรวบรวมเอกสาร เตรียมยื่นคำฟ้องให้ชำระหนี้อีกราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งบีทีเอสยอมรับว่าการค้างจ่ายค่าจ้างดังกล่าวที่มีมูลค่ารวมเกือบ 3.2 หมื่นล้านบาทนั้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ทำให้บีทีเอสจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อนำมาบริหารจัดการ
1
อย่างไรก็ดี หากย้อนไทม์ไลน์ของปมปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขนี้ ทำให้บีทีเอสต้องแบกรับภาระหนี้สิน และเป็นเหตุต้องกู้เงินเพื่อนำมาบริหารสภาพคล่องยาวนานกว่า 2 ปี เริ่มต้นจาก
11 เม.ย.2562 - คำสั่ง คสช.ให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการดูแลการต่อสัญญาสัมปทานให้ BTS
1 พ.ย.2562 - ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบร่างสัญญาต่อสัมปทาน
4 ธ.ค.2562 - เปิดเดินรถเพิ่มในส่วนต่อขยาย 4 สถานี เริ่มจากสถานี 5 แยกลาดพร้าว - ม.เกษตร
13 ส.ค.2563 - ถอนวาระต่อสัญญาสัมปทานออกจาก ครม.
17 พ.ย.2563 - ครม.ให้กระทรวงมหาดไทยตอบคำถามกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการต่อสัญญา
16 ธ.ค.2563 - เปิดเดินรถเพิ่มในส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต
19 ม.ค.2564 - BTS ทำหนังสือถึง รมว.มหาดไทย สอบถามการชำระหนี้
7 เม.ย.2564 - BTS เผยแพร่จดหมายและคลิปวีดีโอชี้แจงหนี้ของกรุงเทพมหานคร
21 เม.ย.2564 - สภากรุงเทพมหานครได้ปฏิเสธการใช้งบประมาณจ่ายหนี้ให้ BTS หนี้ค่าจ้างเดินรถและหนี้วางระบบ ณ มี.ค.2564 เท่ากับ 31,671 ล้านบาท
20 พ.ค.2564 - BTS เผยแพร่ข้อความบนรถไฟฟ้าและสถานีรถไฟฟ้า ขอให้นายกรัฐมนตรีแก้ปัญหาหนี้
15 ก.ย.2564 - BTS ฟ้องศาลปกครอง กรณีค้างค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย 12,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าที่จะประชุมสภา กทม. เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2564 ได้มีมติปฏิเสธการใช้งบประมาณ ของ กทม.มาชำระหนี้ แต่ได้เสนอทางเลือกให้กับฝ่ายบริหาร 3 ทางเลือก ประกอบด้วย 1. การขอให้รัฐบาลสนับสนุน 2. การเปิดร่วมลงทุนกับเอกชน ตามแนวทางของคำสั่ง คสช. และ 3. โอนโครงการคืนกลับให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริหารจัดการ
โดยในช่วงที่ผ่านมาบีทีเอสยืนยันว่าไม่ได้รับการติดต่อจากทาง กทม. หรือกรุงเทพธนาคม เพื่อแก้ไขปัญหา ท้ายที่สุดนี้ปัญหาที่ดูเหมือนว่าเคยจะมีทางออก สามารถเจรจาร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชนได้ กลับกลายเป็นทางออกที่ทั้งสองฝ่ายต้องชี้แจง และร่วมกันแก้ไขตามวิธีทางกฎหมาย
โฆษณา