8 ต.ค. 2021 เวลา 10:07 • ประวัติศาสตร์
*** สรุปประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเข้าใจง่าย ใน 15 นาที ***
2
เวลาพูดถึงญี่ปุ่น ทุกคนนึกถึงอะไรกันบ้างครับ? การ์ตูน? ซาซิมิ? รถยนต์? ...จะเห็นว่าไม่ว่ามองไปทางไหน เราก็อาจเห็นสิ่งที่เป็น “ญี่ปุ่น” อยู่ทั่วไป ประเทศญี่ปุ่นแม้มิได้มีประชากร หรือขนาดใหญ่ที่สุด แต่กลับมีอิทธิพลต่อโลกเป็นอันมาก และย่อมมีประวัติศาสตร์ที่รุ่มรวยอย่างยิ่ง
8
บทความนี้จะเล่าเรื่องราวของญี่ปุ่น ตั้งแต่ตำนานการกำเนิดโลก, การรับอารยธรรมจากจีน, ยุคขุนศึกซามูไร, ยุคปฏิรูปไปจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดเป็นแบบรวดรัด เหมือน intro to ญี่ปุ่นให้ท่านพอทราบประวัติศาสตร์ของพวกเขาแบบคร่าวๆ ในเวลา 15 นาที
1
*** ปกรณัมญี่ปุ่น ***
หนังสือพงศาวดารที่บันทึกปกรณัมญี่ปุ่นในยุคเทพนิยาย (ในสมัยโบราณประวัติศาสตร์กับเทพนิยายนั้นมักถูกบันทึกรวมกัน เรียกว่า “ยุคเทพนิยาย”) เล่าว่า...
1
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว จักรวาลนี้มีเพียงความว่างเปล่า จากนั้นสสารค่อยๆ ก่อตัวขึ้น แบ่งแยกเป็นแสงสว่างอยู่บนสุด รองลงมาเป็นภพสวรรค์ และที่อยู่ต่ำสุดนั้นคือโลก จากนั้นก็เกิดเทพจำนวนหนึ่งตามมา
1
ภาพแนบ: อิซานามิ กับอิซานางิใช้หอกกวนทะเล
เทพองค์ที่สำคัญในเรื่องนี้ ได้แก่ เทพอิซานางิกับอิซานามิ ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน
อิซานางิได้ใช้หอกกวนโลกซึ่งเวลานั้นมีเพียงทะเล เมื่อนำหอกขึ้นมา น้ำปลายหอกก็กลายเป็นเกาะสวยงามต่างๆ ของญี่ปุ่น จากนั้นทั้งคู่ก็เสด็จลงมาสร้างสิ่งต่างๆ ก่อนแต่งงานกัน แล้วให้เกิดเนิดลูกมากมาย
1
ภาพแนบ: ญี่ปุ่นในอดีต เทียบกับที่จะเป็นญี่ปุ่นในปัจจุบัน (เส้นสีแดง)
*** ยุคโจมง (14,000 - 10,000 ปีก่อนคริสตกาล): อารยธรรมลายเชือก ***
แม้ตำนานจะกล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่นเริ่มแรกก็เป็นเกาะเลย แต่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ให้ข้อมูลว่า ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตรงบริเวณที่เป็นประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบัน เคยเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่มาก่อน และมีมนุษย์อาศัยอยู่มาราว 100,000 ปีมาแล้ว
1
ท้ายยุคน้ำแข็ง ราว 20,000 - 12,000 ปีก่อน ภูมิศาสตร์เปลี่ยนแปลง ระดับน้ำทะเลได้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกาะญี่ปุ่นแยกตัวโดดเดี่ยว อันเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของพวกเขาอย่างแท้จริง โดยยุคแรกของญี่ปุ่นที่ยอมรับกันทั่วไปคือ “ยุคโจมง” (縄文時代)
1
ภาพแนบ: เครื่องปั้นดินเผาโจมง
มนุษย์สมัยนั้นเป็นนักล่าและหาของป่า จึงมีการประดิษฐ์เครื่องมือขึ้นมากมาย ยกตัวอย่างเช่นหอก, ธนู, ฉมวก, ตะขอตกปลา
นอกจากนี้ ยังมีการประดิษฐ์โถดินซึ่งมีลายเชือก (อารมณ์เดียวกับเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงของไทย) เพื่อเก็บของที่หามาได้ไว้ด้วย ซึ่งลายเชือกนี้ เรียกว่า “โจมง” อันเป็นที่มาของชื่อยุคนั่นเอง
ภาพแนบ: ตุ๊กตาโดกู
เนื่องจากสมัยโจมงนั้นลากยาวหลายพันปี ทำให้เครื่องดินเผาในยุคนี้ ไม่ได้มีแค่หม้อโถเก็บอาหาร แต่ยังมีการสร้างศิลปะอย่างอื่นอีก เช่น หน้ากากดินเผา, ตุ๊กตาดินเผา “โดกู” ซึ่งต่างมีลวดลายละเอียดอ่อนสวยงามยิ่ง แสดงถึงความก้าวหน้าทางอารยธรรมในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี
1
ภาพแนบ: ชาวยาโยยปลูกข้าว
*** ยุคยาโยย (1,000 ปีก่อนคริสตกาล - ปีคริสต์ศักราช 300): เริ่มเป็นปึกแผ่น ***
สมัยต่อมาประชากรญี่ปุ่นได้เปลี่ยนวิถีชีวิตมาสร้างหมู่บ้าน ทำการเกษตร เนื่องจากญี่ปุ่นมีฤดูกาลชัดเจน คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ทำให้พวกเขาต้องวางแผนปลูกพืชให้สอดคล้องกับธรรมชาติ
ชาวญี่ปุ่นเลือกปลูกข้าวเป็นหลักเพราะมีแหล่งน้ำเหมาะสม และข้าวยังเป็นผลผลิตที่เก็บไว้ได้นาน ทั้งนี้เชื่อกันว่า การเกษตรได้บ่มเพาะให้คนญี่ปุ่นขยันและทำอะไรเป็นเวลาสืบต่อมา
ภาพแนบ: อุทยานประวัติศาสตร์สมัยยาโยย "โยชิโนงาริ" จังหวัดซากะ
นอกจากนี้ เมื่อประชากรเพิ่ม พวกเขาก็สร้างอะไรซับซ้อนขึ้นตาม มีการสร้างเครื่องมือการเกษตรจากโลหะ, สร้างอาวุธเพื่อใช้ในพิธีกรรม, สร้างบ้านจากหิน, ทอผ้า และเกิดรูปแบบการแบ่งชนชั้นระหว่างเจ้าของที่ดินและคนทั่วไปขึ้นมา ซึ่งทำให้เกิดดินแดนเล็กๆ ขึ้นทั่วประเทศ
1
ยุคนี้เรียกว่า ยุคยาโยย (弥生時代) ตั้งชื่อตามเครื่องปั้นดินเผาที่เปลี่ยนจากขึ้นรูปด้วยมือล้วนๆ มาเป็นใช้แกนหมุน
ภาพแนบ: คนยาโยย (ซ้าย) กับคนโจมง (ขวา)
ความน่าสนใจคือ จากการตรวจสอบทางประวัติศาสตร์ คนญี่ปุ่นยุคโจมงกับยุคยาโยยมีโครงสร้างต่างกันค่อนข้างมาก
1
คนโจมงตัวเตี้ยล่ำกว่า หน้ากว้างสั้น ตาลึก จมูกรั้น ซึ่งนักวิชาการให้เหตุผลว่า เพราะกินเนื้อ ขากรรไกรจึงใหญ่ ขณะที่คนยาโยยตัวสูงกว่า หน้าแคบ ตาตี่ จมูกค่อนข้างแบน เพราะกินพืช ซึ่งเป็นลักษณะที่ใกล้เคียงกับคนญี่ปุ่นยุคปัจจุบันมากกว่า (แต่ก็มีเค้าทั้งสองแบบผสมๆ กันไป)
ภาพแนบ: อามาเทระสุ
*** กำเนิดจักรพรรดิ ***
ราวศตวรรษที่ 4 เมืองเล็กๆ ในญี่ปุ่นค่อยๆ รวมกันเป็นอาณาจักรแห่งเดียวในยุคต่อมา โดยมีเมืองยามาโตะเป็นศูนย์รวมอำนาจ
...ตำนานโบราณกล่าวไว้ว่า ผู้ปกครองเมืองยามาโตะนี้ สืบเชื้อสายมาจากอามาเทระสุ เทพีแห่งดวงอาทิตย์ เทพเจ้าผู้ได้รับการนับถือมากที่สุดในศาสนาชินโต โดยต้นตระกูลที่เป็นมนุษย์คือ จักรพรรดิจิมมุ
ภาพแนบ: จักรพรรดิจิมมุ (คนถือธนู)
คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่า จักรพรรดิจิมมุเคยปกครองญี่ปุ่นตั้งแต่ราว 660 ปีก่อนคริสตกาล (ยังอยู่ในยุคยาโยย)
ทั้งนี้แม้ตัวตนของจักรพรรดิดูจะเป็นเพียงเรื่องเล่ามากกว่าเรื่องจริง แต่ญี่ปุ่นก็ได้ยึดถือวันที่ 11 กุมภาพันธ์ เป็นวันชาติของญี่ปุ่น โดยเชื่อว่าเป็นวันที่จักรพรรดิจิมมุ ซึ่งเป็นปฐมจักรพรรดิขึ้นครองราชย์
2
เมื่อญี่ปุ่นรวมประเทศสำเร็จ ก็ได้ติดต่อกับจีนและเกาหลีเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทั้งการทอผ้า, ฟอกหนัง, ต่อเรือ ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีชาวจีนและเกาหลีเข้ามาอาศัยในญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย และเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมตามมา
*** ยุคยามาโตะ (ปี 300 - 710): การรับอารยธรรมจีน ***
อารยธรรมนั้นเหมือนน้ำ ย่อมไหลจากที่สุงลงที่ต่ำ ผสมกลมกลืนกระจายไปทั่ว ในยุคที่จีนมีความเจริญนั้น ประเทศโดยรอบจีนย่อมรับวัฒนธรรมจีน ทำให้ตนเองกลายเป็นแบบจีนไปด้วย
1
ญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมจีนอย่างมากในยุคยามาโตะ (大和時代) ที่เรียกเช่นนี้เพราะจักรพรรดิปกครองจากดินแดนยามาโตะทางใต้ของเมืองนาราในปัจจุบัน
ภาพแนบ: หลุมศพรุปรูกุญแจ
โดยปกติจะแบ่งยุคยามาโตะเป็นสองยุคย่อย ได้แก่:
1. ยุคโคฟุง (古墳時代) (ปี 300 - 538) หรือยุคหลุมศพ ตั้งชื่อจากการสร้างหลุมศพจักรพรรดิขนาดใหญ่เป็นรูปเหมือนรูกุญแจ (ซึ่งจริงๆ ยังมีรูปอื่นๆ อีก เช่นทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่อันที่ดังที่สุดเป็นรูปกุญแจ)
2. ยุคอาซูกะ (飛鳥時代) (ปี 538 - 710) อนึ่งปี 538 เป็นปีที่เริ่มรับศาสนาพุทธ และเรียกว่าอาซูกะเพราะปกครองจากเมืองอาซูกะ
ในยุคนี้คนญี่ปุ่นได้เอาตัวอักษรจีนมาใช้ นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงกฎหมาย ระบบราชการ การศึกษาศาสตร์การแพทย์ ฯลฯ
สิ่งสำคัญอื่นๆ ที่เข้ามาเช่น ศาสนาพุทธกับลัทธิขงจื๊อ ซึ่งจะเริ่มเข้ามามีอิทธิพลแทนศาสนาเดิม หรือชินโต (ชินโตเป็นลัทธินับถือวิญญานในธรรมชาติ เหมือนศาสนาผีของไทย) การรับวัฒนธรรมจีนทำให้พวกเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก
ภาพแนบ: จักรพรรดินีซุยโกะ
ในยุคนี้มีเหตุการณ์สำคัญคือสายตระกูลโชกะผู้นับถือพุทธ ได้ล้มอำนาจรัฐบาลเก่าและขึ้นครองญี่ปุ่นเกือบ 60 ปี โดยมีบุคคลสำคัญในยุคคือ "จักรพรรดินีซุยโกะ" ผู้ขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 592 ถือเป็นจักรพรรดินีองค์แรกที่มีหลักฐานให้สืบค้นตามประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าแต่ก่อนผู้หญิงก็เป็นผู้ปกครองได้
1
ภาพแนบ: เจ้าชายโชโทคุ
อีกคนที่สำคัญคือ "เจ้าชายโชโทคุ" พระราชนัดดาของจักรพรรดินีซุยโกะ ผู้วางรากฐานศาสนาพุทธในญี่ปุ่นให้มั่นคง และเป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญ 17 มาตรา ซึ่งเอามาจากคำสอนลัทธิขงจื๊อ มีใจความหลักคือ การรักษาศีลธรรม ช่วยเหลือสาธารณะประโยชน์ ซึ่งนักวิชาการบางคนถือว่านี่เป็นหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับแรกๆ ของโลกเลยทีเดียว
2
แม้กลุ่มโชกะจะถูกโค่นในปี 645 โดยตระกูลฟูจิวาระ แต่พุทธศิลป์และแนวคิดแบบขงจื๊อยังได้รับการสืบทอดจากนั้นเรื่อยมา
ภาพแนบ: โคจิกิ
*** ยุคนารา (ปี 710 - 794): การชำระประวัติศาสตร์ ***
ศตวรรษที่ 8 ญี่ปุ่นตกอยู่ในยุคนารา (奈良時代) ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อเมืองหลวงถาวรแห่งแรกของญี่ปุ่นที่นารา หรือสมัยนั้นมีนามว่า “เฮโจเคียว” สร้างตามแบบเมืองฉางอันในจีน
ยุคนี้เองได้มีการเขียนบันทึกประวัติศาสตร์สองเล่มที่สำคัญและมีชื่อเสียงได้แก่ ตำราโคจิกิ (ราวปี 711) และตำรานิฮงโชกิ (ค.ศ. 720) ซึ่งบันทึกเรื่องราวการกำเนิดญี่ปุ่น และเน้นย้ำว่าราชวงศ์ญี่ปุ่นเกิดมาจากเทพเจ้า (คือจักรพรรดิญี่ปุ่นมีความชอบธรรมได้จากเทพเจ้าชินโต และศาสนาพุทธของญี่ปุ่นปนๆ กับชินโตมานานแล้ว จนไม่อาจแยกออก)
4
ภาพแนบ: โทไดจิ
ช่วงนั้นญี่ปุ่นเกิดทุพภิกขภัยมาก ทั้งไฟป่า ภัยแล้ง อดอยาก โรคระบาด ฯลฯ จนมีผู้เสียชีวิตมากมาย จักรพรรดิเลยหันหน้าเข้าสู่ทางธรรม สนับสนุนพุทธศาสนา สร้างวัดใหม่ๆ มากมาย
วัดโทไดจิที่คนไทยชอบไปเที่ยวเพื่อสักการะไดบุทสึหรือหลวงพ่อโต (รวมทั้งให้อาหารกวาง) ก็เกิดขึ้นในยุคนี้
*** ยุคเฮอัน (ปี 794 - 1185): ศิลปะรุ่งเรือง ***
ปี 794 มีการสร้างเมืองหลวงใหม่ขึ้นที่เมืองเกียวโต หรือเฮอันเคียว อันเป็นที่มาของชื่อยุคเฮอัน (平安時代) ซึ่งเกียวโตนี้กลายเป็นเมืองหลวงไปอีกนับพันปี ช่วงนี้เป็นยุคที่ราชสำนักญี่ปุ่นรุ่งเรืองรุ่มรวยจนถึงขีดสุด และมีวัฒนธรรมอันสวยงามทั้งวรรณคดี และศิลปะ
ตอนนั้นตระกูลขุนน้ำขุนนางมากมายมีการแต่งงานกันเพื่อสร้างบารมี แต่อำนาจของราชสำนักกลับลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะเจ้าหัวเมืองและเจ้าของที่ดินต่างๆ เริ่มขึ้นมามีอิทธิพล มีการซ่องสุมกำลังของตัวเอง
เมื่อสถานการณ์สุกงอม ได้เกิดการศึกระหว่าง “ตระกูลมินาโมโตะ” และ “ตระกูลไทระ” ซึ่งสืบเชื้อสายจากพระจักรพรรดิมาทั้งคู่
ทั้งสองฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะหลายสงคราม โดยมีศึกตัดสินคือ “สงครามเก็นเป” ซึ่งฝ่ายมินาโมโตะได้รับชัยชนะไปในที่สุดเมื่อปี 1185 เป็นการจบยุคเฮอันลง
ภาพแนบ: มินาโมโตะ โยริโทโมะ
*** ยุคคามาคุระ (ปี 1185 - 1333): เริ่มต้นการเรืองอำนาจของโชกุน ***
มินาโมโตะ โยริโทโมะ สถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “โชกุน” หรือผู้บัญชาการทหาร ทั้งก่อตั้งรัฐบาลทหาร (บาคุฟู) ขึ้นที่เมืองคามาคุระ ซึ่ง สมพงษ์ งามแสงรัตน์ เจ้าของงานเขียน “ใต้ถุนร้านญี่ปุ่น” เปรียบว่าสถานะของเขากับจักรพรรดิเหมือนกับโจโฉและพระเจ้าเหี้ยนเต้ในสามก๊ก
1
กล่าวคือโจโฉมีอำนาจปกครองทุกอย่าง ส่วนฮ่องเต้กลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ และตราปั้มเซ็นคำสั่งให้โจโฉ อย่างไรก็ตามโชกุนมิได้เสนอตัวเข้าราชสำนักเช่นโจโฉ แต่ย้ายไปสร้างบารมีที่เมืองอื่นแทน กลายเป็นการเริ่มต้นยุคคามาคุระ (鎌倉時代)
ยุคนี้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นได้แก่ การบุกรุกของราชวงศ์หยวน (มองโกล) จากจีน นำโดยกุบไลข่าน หลานเจงกีสข่าน ในปี 1274 และปี 1281
แต่แม้จีนจะมีแสนยานุภาพแค่ไหน กลับไม่สามารถบุกเข้ามาได้สำเร็จเพราะเกิดลมพายุพัดเสียหายไปทั้งสองรอบ โดยชาวญี่ปุ่น ได้เรียกขานลมพายุนี้ว่า “ลมของพระเจ้า” หรือ “คามิคาเซะ”
ภาพแนบ: จักรพรรดิโก-ไดโกะ
ถึงจะเป็นฝ่ายชนะ แต่การศึกก็ทำให้รัฐบาลคามาคุระเสียหายไปมากจนอ่อนแอ ไม่มีบารมีสั่งการพวกนักรบซามูไรอีก จักรพรรดิโก-ไดโกะ จึงชิงอำนาจคืนมาเป็นของตนอีกครั้ง
แม้ทางคามาคุระจะพยายามต่อต้าน โดยการส่งขุนศึก “อาชิคากะ ทาคาอุจิ” ไปรบ แต่ทาคาอุจิกลับหักหลังโชกุนเข้ากับพระจักรพรรดิ ทำให้ระบบโชกุนถูกโค่น และญี่ปุ่นกลับมาปกครองโดยจักพรรดิเป็นเวลาสั้นๆ (ปี 1333 - 1336)
ภาพแนบ: โชกุนทาคาอุจิ
*** ยุคมูโรมาจิ (ปี 1336 - 1573): ยุคแห่งสงครามกลางเมือง ***
แม้จักรพรรดิโก-ไดโกะได้กลับมาปกครองบ้านเมืองแล้ว แต่ก็มีความขัดแย้งกับทาคาอุจิ ทำให้เขาลุกขึ้นมาปฏิวัติ โค่นอำนาจ แล้วนำเชื้อพระวงศ์นามจักรพรรดิโคเมียวมาเป็นหุ่นเชิด ซึ่งโคเมียวตั้งให้ทาคาอุจิเป็นโชกุน
...แล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย เพราะทาคาอุจิไปตั้งเขตปกครองมูโรมาจิในเกียวโตพร้อมตั้งรัฐบาลแยก เช่นเดียวกับมินาโมโตะสมัยคามาคุระเป๊ะ อันเป็นที่มาของชื่อยุคนี้ว่า ยุคมูโรมาจิ (室町時代)
1
ภาพแนบ: โชกุนโยชิมิทสึ
ยุคมูโรมาจินี้ บ้านเมืองมีความวุ่นวายสับสนจนแบ่งเป็นสองยุคย่อยตามสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้น คือ:
1) ยุคราชวงศ์เหนือใต้ (南北朝時代) (1336 - 1392) เกิดจากจักรพรรดิโก-ไดโกะแยกไปตั้งราชสำนักทางใต้ ทำการต่อสู้กับรัฐบาลโชกุน ทำให้ญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายโชกุนกับพระจักรพรรดิอีกหลายสิบปี
1
กระทั่งโชกุน “อาชิคากะ โยชิมิทสึ” ได้เจรจารวมอำนาจของทั้งสองรัฐบาลไว้ ทำให้จักรพรรดิหมดอำนาจปกครองโดยปริยายอีกรอบ (โยชิมิทสึคนนี้ คือคนเดียวกับโชกุนในเรื่องอิคคิวซัง)
2) ยุคเซนโกคุ (南北朝時代) (1467 - 1615) คำว่าเซนโกคุแปลว่า “รณรัฐ” หรือยุคที่บ้านเมืองแตกเป็นก๊กย่อยๆ รบพุ่งกันเอง มันเริ่มขึ้นในปลายสมัยมุโรมาจิ เมื่อตระกูลอาชิคากะอำนาจเสื่อมลง เกิดการแย่งชิงอำนาจของไดเมียวหรือเจ้าเมืองก๊กต่างๆ พวกซามูไรรบพุ่งกันอย่างเข้มข้น
1
ประกอบกับการที่โปรตุเกสเดินเรือเข้ามาในปี 1543 ทำให้ชาวญี่ปุ่นได้รู้จักกับปืนไฟที่ฝรั่งเอามาเป็นครั้งแรก มีการสั่งและผลิตปืนไฟใช้นับแสนกระบอก ยกระดับความเสียหายของการรบขึ้นเป็นทวีคูณ
1
สงครามครั้งนี้ดำเนินไปนับร้อยปี จนนักประวัติศาสตร์บางส่วนแยกออกมาเป็นยุคจำเพาะ เรียกว่า ยุคเซนโกคุ (戦國時代) ซึ่งกินเวลาเลยยุคมูโรมาจิเลยไปถึงยุคต่อไปด้วย
ภาพแนบ: ปราสาทอซุชิจำลองในปัจจุบัน
*** ยุคยุคอซุชิ-โมโมยามะ (ปี 1573 - 1603): ยุคของ โนบุนากะ-ฮิเดโยชิ-อิเอยาสึ ***
2
ช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 16 หรือช่วงปลายเซนโกคุ ถูกเรียกว่า ยุคอซุชิ-โมโมยามะ (安土桃山時代) ตั้งชื่อตามปราสาทอซุชิของขุนศึกโอดะ โนบุนากะ และ ปราสาทโมโมยามะของขุนศึกโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ทั้งคู่เป็นขุนศึกผู้มีชื่อเสียงในยุคเซ็นโกคุ
ภาพแนบ: โนบุนากะ
ยุคนี้เกิดขึ้นเมื่อโนบุนากะรวมชาติและโค่นโชกุน อาชิคากะ โยชิอากิ ได้ในปี 1573 เป็นการปิดฉากตระกูลอาชิคากะลงจากการปกครอง
แต่หลังจากนั้นโนบุนากะกลับโดนขุนศึกคนหนึ่งทรยศ ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายก่อนจะเป็นฝ่ายโดนฆ่าซะเอง โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ซึ่งเป็นลูกน้องในบัญชาของโนบุนากะจึงขึ้นมาสานต่อการรวมชาติ
ภาพแนบ: ภาพวาดศึกเซกิกาฮาระ
กระนั้นการบุกเกาหลีไม่สำเร็จของฮิเดโยชิในสงครามปี 1592 - 1598 ทำให้ความนิยมของเขาเริ่มเสื่อม และเมื่อเขาเสียชีวิตลง ก็เหลือเพียงลูกชายวัยห้าขวบเป็นทายาท ดังนั้นจึงเกิดการรบพุ่งกันขึ้นมาอีก แบ่งเป็นสองก๊กใหญ่ๆ ได้แก่ กลุ่มของ “โทคุกาว่า อิเอยาสึ” ทางตะวันออก และกลุ่มของ “อิชิดะ มิทสึนาริ” ทางตะวันตก
ทั้งคู่รบแตกหักกันในศึกอันเป็นตำนานของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอันมีชื่อว่า “ศึกเซกิกาฮาระ” ซึ่งอุบัติขึ้นในวันที่ 21 ตุลาคม 1600 ลงท้ายฝ่ายอิเอยาสึเป็นฝ่ายชนะ และขึ้นเป็นโชกุนคนแรกของยุคถัดมา หรือยุคเอโดะ
*** ตัดเข้าช่วงโฆษณา ***
ขอโฆษณาว่าหนังสือ "ประวัติย่อก่อการร้าย War on Terror" ที่พิมพ์ครั้งก่อนขายหมดจากตลาดไปนานแล้ว มีแผนจะพิมพ์ใหม่ปลายปีนี้นะครับ
ตอนแรกว่าใกล้ๆ เสร็จแล้วค่อยทำโปร แต่เหตุการณ์ในอัฟกานิสถานและรำลึก 9/11 ทำให้มีคนถามมาเยอะเหลือเกิน เลยเปิดให้จองก่อน
- หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องประวัติของขบวนการก่อการร้ายสากลตั้งแต่ยุคอัลเคดามาต่อ ISIS
1
- ผมตั้งใจจะเพิ่มเนื้อหาให้อัพเดทถึงปัจจุบัน
- พิมพ์เป็นสี่สีแน่นอน
- ปกพิมพ์สีเมทัลลิก ปั้มนูนและปั้มเงินที่ชื่อเหมือนเล่มสุริยันพันธุ์เคิร์ด รับรองว่าสวยมาก เหมาะแก่การสะสม สำนักพิมพ์ The Wild Chronicles เราพิมพ์เองแล้วจะทำอะไรก็ได้ 555
- มีเซ็นลายเซ็นพิเศษประจำเล่มให้ครับ
- ราคาอยู่ที่ 389 บาท สั่งพรีออเดอร์ตอนนี้ลดเหลือ 369 บาท และฟรีค่าส่งในประเทศ (ปกติค่าส่ง 50 บาทครับ ส่วนต่างประเทศก็ตามจริง)
2
- สนใจชำระและใส่ที่อยู่ที่ link แนบได้เลย อนึ่งระบบนี้จะมีเมลคอนเฟิร์มไปแต่ช้าหน่อยนะครับ
1
นอกจากนี้ ขอโฆษณาว่าหนังสือ “สุริยันพันธุ์เคิร์ด” หรือหนังสือเล่มใหม่ของผมออกแล้วนะครับ มีรายละเอียดดังนี้...
- เรื่องนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ชาวเคิร์ด ผลงานเล่มล่าสุดในชุด The Wild Chronicles
- พิมพ์เป็นสี่สี!
- ยาวที่สุดเท่าที่พิมพ์มา ยาวกว่าพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติราว 2 เท่า
- รูปโหดๆ ที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น จะไม่เซนเซอร์ แต่จะรวมอยู่ท้ายเล่ม และมีคำเตือนก่อน
- มีลายเซ็นทุกเล่ม!
- ราคา 439 บาท รวมค่าส่งแล้ว
ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link แนบได้เลย
อนึ่งชาวเคิร์ดเป็นชนกลุ่มน้อยในตะวันออกกลาง มีราว 30 ล้านคน หากไม่มีประเทศของตนเอง พวกเขาแตกเป็นหลายส่วนและถูกกดขี่อย่างหนัก แต่การถูกกดขี่เคี่ยวกรำนั้นทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่เก่งกาจ
หนังสือเล่มนี้เขียนเรื่องราวของชาวเคิร์ดตั้งแต่ยุคตำนานจนถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีความพีคแล้วพีคอีก ผ่านสงครามใหญ่ๆ มากมาย เช่นสงครามอิรัก - อิหร่าน, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามปราบซัดดัม, สงครามกลางเมืองอิรัก, สงครามปราบกลุ่มก่อการร้าย แต่ละสงครามที่ว่ามานี้มีสเกลใหญ่เป็นรองแค่สงครามโลก
ชาวเคิร์ดมีส่วนร่วมในสงครามเหล่านี้ทั้งหมดในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ไม่รวยแต่รบเก่ง พอมีคนมาติดอาวุธให้เลยมักกลายเป็นไพ่โจ๊กเกอร์ที่เปลี่ยนผลชี้ขาดของสงคราม
อย่างไรก็ตามศัตรูอันดับหนึ่งของชาวเคิร์ดคือเผด็จการซัดดัม ฮุสเซนนั้นก็โหดมาก โหดโคตรๆ ใครเคยอ่านพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติ หรือเชือดเช็ดเชเชน ผมบอกได้ว่าไอ้นี่ก็โหดไม่แพ้กัน หรือเผลอๆ โหดกว่า ดังนั้นการต่อสู้ของชาวเคิร์ดมันจึงเป็นเรื่องที่หลอนและดุเดือดมากๆ
2
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมได้ไปเยือนดินแดนเคอร์ดิสถานอิรัก (และหนีมิสไซล์มา) เมื่อต้นปี 2020 เพื่อนชาวเคิร์ดที่ผมสัมภาษณ์ทุกคนเป็นผู้รอดชีวิตจากทุกสงครามข้างต้น ทำให้มีข้อมูล ความเห็น และมุมมองของคนต่างๆ ที่ลึกกว่าในตำรา แน่นอนว่าประสบการณ์ของพวกเขาดาร์คมาก แต่เขาหลายคนไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น พวกเขาตีความสิ่งที่พบเจออย่างไร ลองตามอ่านดูนะครับ
"สุริยันพันธุ์เคิร์ด" ตั้งใจพิมพ์เป็นสี่สี เป็นหนังสือที่ยาวที่สุดตั้งแต่ผมเขียนสารคดีชุด The Wild Chronicles มา
อีกครั้งนะครับ ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์หนังสืออย่างเดียว สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link นี้ได้เลย 439 บาท รวมค่าส่งแล้ว (ในประเทศ) ถ้าบางท่านอยู่ต่างประเทศมีค่าส่งพิเศษจะแจ้งอีกที
1
*** ยุคเอโดะ (ปี 1603 - 1868): เมื่อญี่ปุ่นกลายเป็นญี่ปุ่น ***
ยุคเอโดะ (江戸時代) ตั้งชื่อตามเมืองหลวงของเวลานั้น ซึ่งปัจจุบันคือเมืองโตเกียว (โตเกียวเป็นที่ทำการรัฐบาล ส่วนจักรพรรดิยังอยู่เกียวโตอยู่) ยุคนี้นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบ ศึกภายนอกไม่มีเพราะปิดประเทศ (แต่ก็ยังค้าขายอยู่บ้าง) ศึกภายในก็ไม่มีเพราะมีการวางระบบจัดการอย่างเรียบร้อย ทำให้บ้านเมืองมีการพัฒนา
ยุคนี้เป็นยุคที่ญี่ปุ่นเจริญเติบโตขึ้นในระบบปิด ทำให้พวกเขาพัฒนาศิลปะวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์ขึ้นมากมาย เปลี่ยนจาก “จีนบ้านนอก” มาเป็น “ญี่ปุ่น” อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
ลัทธิขงจื๊อที่ฝังรากแน่นและมีอิทธิพลอย่างมากในสังคมญี่ปุ่น ก็กลายเป็น “หลักขงจื๊อใหม่แบบเอโดะ” ซึ่งโชกุนโทคุกาว่าเองก็ให้การนับถือ และได้หยิบหลักการ “สี่อาชีพ” ที่เชื่อว่าเมื่อคนเราปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง จะทำให้ชาติมั่นคง มาเป็นหลัก “สี่ชนชั้น” หรือ “ชิโนโคโช” ที่แบ่งวรรณะของผู้ประกอบอาชีพต่างๆ ดังต่อไปนี้...
ลำดับสูงสุดคือ ซามูไร อันหมายถึงนักรบหรือชนชั้นปกครองทั้งหลาย โชกุน ไดเมียว ก็ถือว่าเป็นซามูไรชั้นสูง แล้วก็จะมีการลดหลั่นลงมา เช่น ซามูไรที่รับใช้โชกุนโดยตรง ก็จะมีศักดิ์กว่าซามูไรอื่นๆ และยังมี โรนิน หรือซามูไรไม่มีนายด้วย
กระนั้นซามูไรยุคนี้ไม่ค่อยได้สู้รบจริงนัก เพราะบ้านเมืองไม่มีปัญหาอะไร
ชั้นต่อมาคือ ชาวนา ซึ่งได้รับการยกย่องเพราะเป็นผู้ผลิตอาหาร (อีกอย่างคือ ขงจื๊อบอกว่า สังคมอยู่ไม่ได้หากขาดการเกษตร) ชาวนาบางส่วน โดยเฉพาะพวกมีที่ดินของตัวเองจึงร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก
อย่างไรก็ตาม ชาวนาอีกมากมายซึ่งอาศัยที่ดินคนอื่นก็ต้องทำงานหลังขดหลังแข็งเพื่อให้มีข้าวพอจ่ายภาษี ซึ่งคนพวกหลังนี้จะยากจน
ถัดจากชาวนานได้แก่ ช่างฝีมือ จำพวกช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างศิลป์ทั้งหลาย แม้ของที่พวกเขาทำจะสวยงาม แต่ก็ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเท่าของกิน จึงศักดิ์ต่ำกว่าชาวนา
1
พวกนี้เวลาจ่ายภาษีก็ใช้ผลงานตัวเองต่างเงิน ถ้าคนไหนมีฝีมือมาก ก็จะถูกเรียกไปทำงาน แล้วก็จะอยู่สบายไป
ขั้นสุดท้ายคือ พ่อค้า ซึ่งไม่ได้ทำอะไรแก่สังคมสักอย่าง ได้แต่ซื้อมาขายไป คิดแต่การทำรายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง พวกนี้จึงโดนมองว่าต้อยต่ำที่สุด
ถึงอย่างนั้น พวกพ่อค้าก็ทำให้เกิดวิทยาการในยุคนั้นหลายอย่าง เช่น การส่งโทรเลข ที่แต่ก่อนมีแต่เจ้าขุนมูลนายทำได้ แม้ตอนแรกทางการจะห้ามไม่ให้เอกชนมาทำแข่งอย่างไร แต่ใช้เงินแก้ปัญหาเสียอย่างก็เรียบร้อย
ภาพแนบ: รึทสึเรียว
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเคยพยายามจัดชนชั้นคนมาก่อนในช่วงปลายศตวรรษที่ 7 ภายใต้ระบบกฎหมาย “รึทสึเรียว” ซึ่งแบ่งคนเป็นวรรณะสูงและวรรณะต่ำ และมีอาชีพแยกย่อยไปตามวรรณะอีกที แต่ระบบนี้ได้เสื่อมลงไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 (บ้างว่าต้นศตวรรษที่ 10)
ยุคเอโดะนี้มีความก้าวหน้าหลายอย่าง ส่วนหนึ่งคือการศึกษา โดยไดเมียวทั้งหลายได้สร้างโรงเรียนในเขตของตนเองขึ้นเพื่อให้เด็กเรียนรู้ตำราต่างๆ โดยเชิญผู้มีความรู้มาให้การศึกษาแก่เด็ก
...ถึงแม้จะมีแต่ลูกชายขุนนางที่เข้าโรงเรียนแบบนี้ได้ แต่เด็กผู้ชายทั่วๆ ไป รวมถึงเด็กหญิงก็ยังสามารถเข้าเรียนอ่านเขียนได้ที่วัด
ภาพแนบ: พลเรือจัตวาเพอร์รี
ความสงบของยุคเอโดะได้สิ้นสุดลง เมื่อพลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี จากอเมริกาได้เดินกองเรือสีดำมาเจรจาแกมบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศในปี 1853 ซึ่งชาวญี่ปุ่นหวาดกลัวการตกเป็นอาณานิคม จึงยอมเซ็นสัญญาเปิดประเทศ…
การเข้ามาของชาติตะวันตกนี้ ทำให้ชาวญี่ปุ่นคิดพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ก่อเกิดเหตุการณ์ปฏิรูปเมจิ ซึ่งมีการล้มโชกุน ยกเลิกชนชั้นสังคม ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแบบตะวันตก
*** ยุคเมจิ (ปี 1868 - 1912): การปฏิรูปและการเรืองอำนาจ ***
ยุคเมจิเริ่มขึ้นจากการปฏิรูปเมจิ (明治維新) ในปี 1868 เมื่อชาวญี่ปุ่นหัวก้าวหน้าร่วมกันโค่นล้มระบบโชกุน แล้วคืนความสำคัญให้จักรพรรดิเมจิ
ยุคนี้ญี่ปุ่นได้รับเอาอารยธรรมตะวันตกเข้ามาเป็นอันมาก มีการกำหนดสำเนียงกลาง, การสร้างรถไฟ, การส่งคนไปเรียนต่างประเทศ เพื่อเรียนรู้วิทยาการ ก่อนนำความรู้มาพัฒนาบ้านเกิดตนเองต่อไป ซึ่งญี่ปุ่นก็ได้เริ่มปรับตัวเป็นประเทศอุตสาหกรรมตรงนี้
1
เหตุการณ์สำคัญอีกยุคนี้คือ รัฐบาลญี่ปุ่นมุ่งหน้าดำเนินนโยบาย “ประเทศมั่งคั่ง กำลังทหารมั่นคง” ทำให้เกิดกระแสลัทธิทหารนิยมขึ้นมา
พวกเขาเน้นพัฒนาการทหารให้เข้มแข็งทันสมัย และได้ทำสงครามกับชาติใหญ่หลายครั้ง ได้แก่ สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ในปี 1894, และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ปี 1904 ล้วนแต่ได้รับชัยชนะ ทำให้ญี่ปุ่นรุ่งเรืองเข้มแข็งขึ้นเป็นอันมาก
อนึ่งหลังจากนี้มักเรียกยุคของญี่ปุ่นตามรัชสมัยของจักรพรรดิ ทำให้ช่วงยุคมีความสั้นลง ไม่ว่าจะเป็นยุคเมจิ หรือยุคถัดไปที่ชื่อ ไทโช, โชวะ, เฮเซ, หรือเรวะ ก็ล้วนเป็นชื่อรัชสมัยของจักรพรรดิทั้งสิ้น
ภาพแนบ: อนุเสาวรีย์เหตุสังหารหมู่ที่นานกิง
*** ยุคไทโช ถึงยุคโชวะต้น (1912 - 1945): จ้าวแห่งเอเชียบูรพา ***
ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยอยู่ฝ่ายพันธมิตรซึ่งได้รับชัยชนะ ต่อมาการขยายอำนาจในจีนทำให้บาดหมางกับนานาชาติ และต้องถอนตัวออกจากสันนิบาตชาติ (เทียบเท่า UN ในปัจจุบัน) ไปในปี 1933
หลังออกจากสันนิบาติชาติ ญี่ปุ่นเริ่มกลายเป็น “ตัวร้าย” ในสายตาชาวโลก ไล่เรียงตั้งแต่ การทำสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ปี 1937 ซึ่งมีเหตุการณ์สุดอื้อฉาวในการรบครั้งนั้นคือ “การสังหารหมู่ที่นานกิง” ที่คาดว่ามีคนถูกข่มขืนอย่างน้อย 20,000 - 80,000 คน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 300,000 คน
1
ภาพแนบ: นางบำเรอที่ถูกส่งไปให้ทหารญี่ปุ่น
นอกจากนี้พวกเขายังยึดเกาหลีเป็นเมืองขึ้น (เริ่มตั้งแต่ปี 1910 ในปลายยุคเมจิ) และทำการกดขี่ชาวเกาหลีอย่างหนัก
มีชาวเกาหลีถูกบังคับใช้แรงงาน บ้างก็โดนบังคับไปเป็นทหาร และผู้หญิงเกาหลีอีกมากโดนส่งไปเป็น “นางบำเรอ” ให้ทหารญี่ปุ่นที่ออกไปสู้รบ
ภาพแนบ: เหตุการณ์ที่เพิร์ลฮาร์เบอร์
ญี่ปุ่นยังรบพุ่งไปเรื่อยจนเข้าสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเหตุการณ์ที่พีคที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 กองทัพญี่ปุ่นที่กำลังเหิมเกริมได้บินข้ามทะเลไปทิ้งระเบิดยังท่าเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ที่อเมริกาสร้างความเสียหายให้อเมริกาเป็นอันมาก
...ในช่วงนี้ญี่ปุ่นได้บุกขึ้นฝั่งไทย และบีบบังคับให้รัฐบาลไทยสวามิภักดิ์ด้วย
แม้ญี่ปุ่นจะยิ่งใหญ่เพียงไหน แต่การไปปลุกนกอินทรีอเมริกาก็นำความพ่ายแพ้มาสู่พวกเขาในที่สุด โดยช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันที่ 6 สิงหาคม 1945 เวลา 08:15 นาที อเมริกาได้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ “ลิตเติลบอย” ถูกปล่อยลงจากเครื่องบินสู่ตัวเมืองฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรม และยุทธภูมิการทหารที่สำคัญ ณ เวลานั้น
ความเสียหายเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง มีผู้เสียชีวิตจากแรงระเบิดราว 70,000 - 80,000 คน เป็นจำนวน 30% ของประชากรเมืองฮิโรชิม่า คาดว่าในจำนวนนั้นเป็นทหาร 20,000 คน และบาดเจ็บอีก 70,000 คน เป็นครั้งแรกที่โลกได้เห็นอานุภาพของระเบิดชนิดนี้ในสนามรบจริง
ไม่กี่วันต่อมา 9 สิงหาคม เวลา 11:01 น. ได้มีการทิ้งระเบิด “แฟตแมน” สู่ตัวเมืองนางาซากิ ซึ่งเป็นเมืองท่าและที่ตั้งของอู่ต่อเรือใหญ่ รวมทั้งฐานผลิตอาวุธของญี่ปุ่นช่วงสงคราม คาดว่ามีผู้เสียชีวิต 22,000 - 75,000 คน และบาดเจ็บ 60,000 คน ซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมาอีกไม่น้อย
ความบอบช้ำทำให้ญี่ปุ่นขอยอมแพ้ในวันที่ 15 สิงหาคม ส่งผลให้สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง...
อย่างไรก็ตาม มีการถกเถียงกันในหมู่วิชาการว่าจนปัจจุบันว่า ระเบิดนิวเคลียร์ทำให้สงครามสิ้นสุดลงจริงหรือไม่? แท้จริงญี่ปุ่นจะยอมแพ้อยู่แล้วหรือเปล่า? และการทำลายล้างครั้งนี้จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?
2
*** ยุคปลายโชวะ และยุคเฮเซ (1945 - 2019): การพัฒนาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ***
ยุคโชวะ (昭和) นั้นกินเวลาตั้งแต่ปี 1926 - 1989 นับว่ายาวนานมาก มันถูกต่อด้วยยุคเฮเซ (平成) (1989 - 2019) ซึ่งนับเป็นเวลาที่ญี่ปุ่นฟื้นกำลังกลับมา
ช่วงหลังสิ้นสงครามในปี 1946 ญี่ปุ่นมีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีกฎพื้นฐาน 3 ข้อตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตรนำเสนอ คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน, ญี่ปุ่นจะไม่ทำสงคราม และต้องเคารพสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ จักรพรรดิได้ประกาศตนเป็นมนุษย์ธรรมดาจริงจัง หลังจากมีศักดิ์เป็นเทพเจ้ามาตลอดนับพันปี
1
ภาพแนบ: การลงนามสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก
แม้จะพ่ายแพ้แต่ญี่ปุ่นก็ได้รับรองจากนานาชาติและสหประชาชาติให้มีเอกราชปกครองตัวเอง และได้เข้าร่วมประชาคมโลก หลังการลงนาม “สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก” หรืออีกชื่อว่า “สนธิสัญญาสันติภาพญี่ปุ่น” เพื่อยุติการปฏิปักษ์กับประเทศอื่นๆ อย่างเป็นทางการ
ภาพแนบ: โอลิมปิกที่ญี่ปุ่น ปี 1964
ชาวญี่ปุ่นก่อร่างสร้างประเทศของพวกเขาใหม่ด้วยความทรหด ทำให้ประเทศกลับเจริญขึ้นโดยลำดับ
ญี่ปุ่นไม่เพียงแต่ฟื้นฟูเมืองหลังสงครามให้สวยงามดังใหม่ แต่ยังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนได้เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกชาติแรกของทวีปเอเชียในปี 1964 และได้จัดนิทรรศการนานาชาติขึ้นในปี 1970
ภาพแนบ: แผ่นดินไหวโกเบ
...อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องเผชิญหน้าปัญหาฟองสบู่แตกในยุค 90s เป็นเหตุให้เศรษฐกิจตกต่ำลงอีก ซ้ำยังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ซ้ำในปี 1995 ที่โอซาก้าและโกเบ
แต่โดยรวมแล้วญี่ปุ่นก็ค่อยๆ ฟื้นคืนประเทศขึ้นมาได้จนมีฐานะมหาอำนาจของโลก
ภาพแนบ: สวนสนุก Super Nintendo World ที่ Universal Studio Japan
*** ญี่ปุ่นในปัจจุบัน ***
ญี่ปุ่นหลังปี 2000 ถือว่าสิ้นสุดยุคมืด และเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนน่าจะคุ้นภาพกันดี คือญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกร่วมกับเกาหลีใต้, ผลิตอนิเมชั่น, ผลิตเครื่องเกม, มีวงไอดอล ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมีชื่อเสียงในเรื่องเป็นเมืองที่น่าเที่ยว, อาหารอร่อย, ธรรมชาติสวยงาม อาจเรียกได้ว่าเป็นแดนในฝันของหลายๆ คน ที่อาจรู้หรือไม่รู้เลยว่ากว่าญี่ปุ่นจะสร้างชาติขึ้นมาได้ขนาดนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
ปัจจุบันญี่ปุ่นอยู่ในยุคเรวะ (令和) หรือรัชสมัยของพระจักรพรรดินารุฮิโตะ ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ซึ่งแม้จะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติ, การคุกคามของประเทศใกล้เคียงอย่างจีนและเกาหลีเหนือ รวมไปทั้งโรคระบาด แต่พวกเขาก็ยังเอาชนะอุปสรรคมาได้
โดยความสำเร็จระดับชาติล่าสุดคือ การเป็นเจ้าภาพจัดโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิก 2020 ซึ่งถูกเลื่อนจากกำหนดเดิมมา 1 ปีท่ามกลางปัญหาโควิดและการคัดค้านของหลายภาคส่วนให้ออกมาได้อย่างงดงาม ได้รับเสียงชื่นชมมากมายจากนานาชาติ
แม้ญี่ปุ่นจะผ่านเรื่องราวดีร้ายมามาก และคงไม่พ้นต้องเจอปัญหาในภายภาคหน้า ด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะเล็กใกล้มหาอำนาจ ทั้งตั้งอยู่บนเส้นแนวภูเขาไฟใต้ทะเล ทำให้เสี่ยงทั้งภัยคนและภัยธรรมชาติ
แต่เชื่อว่าความใจสู้ ความทรหดอดทน และการสร้างสรรค์อันเป็นคุณลักษณะของพวกเขา จะทำให้ชาวญี่ปุ่นสามารถยืนอย่างสง่างามเสมอในเวทีโลก ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม เช่นเดียวกับภูเขาไฟฟูจินั่นเอง
つづく
::: อ้างอิง :::
- หนังสือ “เปิดประตูดูญี่ปุ่น” โดย นาโอบุมิ อาเบะ (แปลโดย ตวงทิพย์ ตันชะโล)
- หนังสือ “ใต้ถุนร้าน...ญี่ปุ่น” โดย สมพงษ์ งามแสงรัตน์
- ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น th (ดอต) emb-japan (ดอต) go (ดอต) jp/itpr_th/history.html
- Japanese History A Timeline asiasociety (ดอต) org/education/japanese-history
- Tokugawa Period and Meiji Restoration history (ดอต) com/topics/japan/meiji-restoration
ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวแปลกๆ จากรอบโลกสามารถสมัครเข้ากลุ่ม illumicorgi
1
อนึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่ม exclusive ผมจะใช้ลงบทความพิเศษ ซึ่งมีเนื้อหาเจาะลึกกว่าที่ลงในเพจ The Wild Chronicles และบทความส่วนใหญ่ในกลุ่มจะเกี่ยวกับธีมของหนังสือที่ผมกำลังเขียน
ผู้ที่ต้องการสมัครเข้ากลุ่มให้ทำดังนี้เลยนะครับ
(1) กดสมัคร Line OA ของ The Wild Chronicles มาทาง link นี้ https://lin.ee/fNEO1jr
(2) กด add เป็นเพื่อน
(3) กด chat
(4) จากนั้น พิมพ์ชื่อที่ท่านใช้ใน Facebook มาทางช่องแชทของ Line OA เพื่อให้ทีมงานบ่งชี้ได้ว่าบัญชีของท่านสมัครมาแล้ว
(5) จากนั้นจะมีแอดมินมาคุยกับท่าน ให้แจ้งประเภทสมาชิกที่ท่านต้องการสมัคร แอดมินจะส่ง link เพื่อชำระค่าสมาชิก และแนะนำวิธีการเข้ากลุ่มต่อไป
::: ::: :::
สนใจอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตาม เพจ The Wild Chronicles ได้เลยนะครับ https://facebook.com/pongsorn.bhumiwat
โฆษณา