11 ต.ค. 2021 เวลา 17:29 • ปรัชญา
“รักษาความเป็นมนุษย์ไปทุกภพทุกชาติ”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๔
คำว่าบาปนี้ก็คือ ๑. การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำแท้งบาปไหม ฆ่าหรือเปล่า ฆ่าเด็กทารกในท้อง บาป ทำหมันบาปไหม ไม่บาปเพราะไม่ได้ฆ่า เพียงแต่ป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมา ไม่ได้มีการตั้งครรภ์ ไม่บาป ถ้าได้ทำหน้าที่ศึกษาข้อง่าย ๆ แค่นี้ไม่น่าจะต้องมาถามกัน แสดงว่าไม่ได้เรียนกันเลย ไม่รู้ว่าบาปคืออะไร
“บาป” ก็คือ ๔ ข้อด้วยกัน คือข้อที่ ๑ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ว่าจะเป็นชีวิตน้อยชีวิตใหญ่ เช่น มด แมลง หรือชีวิตใหญ่ เช่น ช้างหรือมนุษย์หรืออะไรถือว่าเป็นชีวิตเหมือนกัน เป็นสิ่งที่เจ้าของของชีวิตนั้นรักและหวงเหมือนกัน ช้างก็หวงชีวิตของเขา มดแมลงเขาก็หวงชีวิตของเขา ฆ่าเขาแล้วก็ทำให้เขาทุกข์ ชีวิตของเรา ๆ ก็รักเราก็หวง ใครฆ่าชีวิตเรา ๆ ก็ทุกข์
ดังนั้นการทำบาปก็คือการไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นนั่นเอง ดังนั้นให้เข้าใจว่าบาปคืออะไร คือการไปทำให้เกิดความทุกข์แก่ผู้อื่น ทุกข์มากทุกข์น้อย ทุกข์มากที่สุดก็คือการฆ่าชีวิตการทำร้ายชีวิตของผู้อื่น เพราะชีวิตนี้เป็นของที่มีค่าที่สุดของทุกๆ คน รองลงมาก็คือการลักทรัพย์ การไปเอาทรัพย์ของผู้อื่นโดยที่เขาไม่อนุญาต ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเงินทองชนิดไหนก็เรียกว่า “ทรัพย์” หมด โต๊ะเก้าอี้ กระเป๋ารองเท้า อะไรก็ตามของที่ไม่ใช่เป็นของเราอย่าไปเอามาถ้าไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน ถ้าไม่รู้ใครเป็นเจ้าของก็ต้องถามหาดูก่อน ถ้าหาเจ้าของไม่ได้ก็อย่าไปเอาดีกว่า
นี่คือบาปข้อที่ ๒ ก็คือการลักทรัพย์ ข้อที่ ๓ ก็คือการประพฤติผิดประเวณี ไปเอาลูกสามีภรรยาของผู้อื่นมาเป็นของตน ต้องไปขออนุญาตก่อน ขออนุญาตบิดามารดา มีการสู่ขอกันมีการทำประกาศเป็นทางการว่าบุคคลทั้ง ๒ คนนี้เป็นของกันและกัน ผู้อื่นไม่เกี่ยวข้อง ห้ามไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย นี่คือเรื่องประเพณีการประพฤติถูกประเพณี การประพฤติผิดประเวณีก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ คนที่เขาเป็นของกันและกันถ้าเกิดถูกคนอื่นมาล่วงเกินมาแย่งเอาไป ก็จะทำให้ต้องเกิดความทุกข์ใจนั่นเอง ถ้าภรรยาต้องเสียสามีให้คนอื่นไปหรือสามีเสียภรรยาให้คนอื่นไปก็ต้องเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ไม่ควรที่จะไปทำให้สามีภรรยาของผู้อื่นเขาเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา
หรือในกรณีของผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงานก็อย่าไปทำให้พ่อแม่เขาต้องเสียอกเสียใจ ไปสู่ขอขออนุญาตจากบิดามารดาของบุคคลที่เราต้องการที่จะเอามาเป็นคู่ครองก่อน เรียกว่าเป็นการประพฤติถูกประเพณี ทุกคนแฮปปี้ทุกคนมีความสุข เห็นไหมเวลาจัดงานแต่งงานกันทุกคนดีใจยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ถ้าได้ข่าวว่าคนนั้นหนีไปอยู่กับคนนู้น พอได้ยินข่าวแล้วก็ไม่สบายใจ พ่อแม่ก็ทุกข์ใจที่ลูกไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามประเพณีของสังคม อันนี้ก็คือข้อที่ ๓ ของการทำบาป ไม่ประพฤติผิดประเวณี ประเวณีก็คือประเพณีนี่เอง
ข้อที่ ๔ ก็คือการไม่พูดปดต้องพูดความจริง ถ้าพูดความจริงไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด ไม่มีใครมาบังคับให้เราพูดได้ถ้าเราไม่พูดถ้าเราปิดปากไว้ เฉย ๆ ใครจะถามอะไรถ้ารู้ว่าพูดไปแล้วไม่เป็นความจริงก็อย่าพูด เพราะพูดไม่เป็นความจริงก็ทำให้ผู้อื่นเขาเสียหายได้ เช่น ไปกล่าวร้ายคนที่เขาไม่ได้ทำผิด แล้วคนที่ถูกกล่าวร้ายก็ต้องไปรับเคราะห์รับกรรมจากการพูดของเรา ความพูดไม่จริงของเรา อันนี้ก็ถือว่าเป็นการทำให้ผู้อื่นเขาทุกข์เดือดร้อน นี่คือบาปมีอยู่ ๔ ข้อ ควรละการกระทำบาปทั้งปวง คำว่า “ทั้งปวง” ก็มีสมุนของบาปด้วย นอกจากบาปแล้วยังมีผู้สนับสนุนในการกระทำบาปก็ถือว่าเป็นส่วนของการทำบาป ผู้สนับสนุนนี้เรียกว่า “อบายมุข”
“อบาย” แปลว่าทุคติ ที่ไปของผู้ทำบาป เช่น ไปเป็นเดรัจฉาน ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสูรกาย ไปนรก นี่คืออบาย ๔ ผู้ที่จะไปอบาย ๔ มักจะต้องไปยืนที่ประตูของอบายก่อน ก่อนจะไปอบายต้องเข้าประตูไปก่อน ใครไปยืนอยู่ที่หน้าประตูอบายก็มักจะเข้าไปง่ายกว่าผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่หน้าประตู “อบายมุข” ก็แปลว่าประตูของอบาย “มุข” แปลว่าทวารทางเข้าออก “อบายมุข” ก็คือทางเข้าออกของอบาย ใครไปอยู่ที่หน้าประตูเดี๋ยวก็เข้าไปได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ประตู ใครไปเสพอบายมุขก็จะไปทำบาป เพราะทำบาปได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ได้เสพอบายมุข พอทำบาปแล้วก็จะมีผลคือจิตใจก็จะกลายไปเป็นอบายทันที เป็นทีละเล็กทีละน้อยตามปริมาณของการกระทำบาปไป
อบายมุขมีอยู่ ๕ ข้อด้วยกันที่ไม่ควรที่จะไปกระทำกัน คือ ๑. การดื่มสุรายาเมา ๒. การเล่นการพนัน ๓. การเที่ยวเตร่ไม่ว่าจะเที่ยวกลางวันหรือกลางคืน ๔. ความเกียจคร้าน ๕. การที่ชอบคบคนที่ชอบอบายมุขเป็นมิตร นี่คืออบายที่ไม่ควรกระทำเพราะถ้ากระทำแล้วจะทำให้ไปทำบาปได้ง่าย หรืออาจจะถูกบังคับให้ไปทำบาปเพราะอบายมุขนี้ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่าย ดื่มสุราก็ไม่มีรายได้ เล่นการพนันถึงแม้จะได้ก็ได้ในระยะสั้น พอได้ก็อยากจะได้มากขึ้น ก็เล่นต่อ พอเล่นต่อเดี๋ยวก็ต้องเสีย พอเสียก็อยากจะได้คืนก็เล่นต่ออีก เดี๋ยวทำไปทำมาก็มีแต่เสีย พอเงินทองไม่มีก็ต้องไปขายทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองเพื่อที่จะมาเล่นต่อเพื่อที่จะเอาคืน
อบายมุข เพราะว่าการพนันนี้มันโหดร้ายยิ่งกว่าขโมยขึ้นบ้าน โหดร้ายยิ่งกว่าไฟไหม้บ้าน เพราะว่าขโมยขึ้นบ้านก็เอาไปได้แต่ข้าวของที่มีอยู่ในบ้าน ยังเอาบ้านไปไม่ได้เอาที่ดินไปไม่ได้ ไฟไหม้บ้านนี้ก็ไหม้แต่บ้านไหม้แต่ข้าวของแต่ยังมีที่ดินเหลือไว้อยู่ไว้ปลูกบ้านใหม่ได้ แต่ถ้าเล่นการพนันนี้มันเอาไปหมดเลย พอเงินหมดก็ต้องขายของขายทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองในบ้าน พอสมบัติหมดก็ขายบ้านต่อขายบ้านขายทั้งที่ดิน เลยจะไม่มีที่อยู่อาศัย นี่คือโทษของอบายมุข
อันที่ ๓ การเที่ยวก็มีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ ทุกครั้งออกไปเที่ยวลองดูซิว่าต้องเสียเงินครั้งละกี่บาท ถ้าห้ามใจได้อยู่ในบ้านนี้ก็ประหยัดทรัพย์ไปได้เยอะ ทุกบาทที่เราประหยัดก็เป็นเหมือนรายได้ที่เราได้มาอย่างสบายโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ถ้าเราห้ามจิตห้ามใจไม่ให้ไปเที่ยวได้เราก็ไม่สูญเสียเงินทอง ก็เหมือนกับเรามีรายได้โดยที่ไม่ต้องไปหามา เพียงแต่รักษาทรัพย์ที่เรามีอยู่ให้อยู่กับเราได้ก็ถือว่าเรามีรายได้แล้ว ถ้าไปเที่ยวมันจะติดด้วย เที่ยวครั้งเดียวไม่พอเที่ยวแล้วก็อยากจะเที่ยวอีก วันไหนไม่ได้เที่ยวก็จะไม่รู้สึกไม่สบายอกไม่สบายใจกินไม่ได้นอนไม่หลับเหงาว้าเหว่ พอไปเที่ยวแล้วก็ดีอกดีใจ โบราณท่านบอกว่า “เวลาไปเหมือนไก่บิน เวลากลับมาเหมือนห่ากิน” เวลาไปดีอกดีใจเวลากลับบ้านนี้คอพับกลับบ้าน นี่คืออบายมุข
ข้อที่ ๔ ก็คือความเกียจคร้าน ความเกียจคร้านก็ไม่มีการผลิตเงินทอง ไม่มีรายได้จากความเกียจคร้าน ชีวิตก็ต้องมีรายจ่าย เช่น ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ต้องกินต้องอะไร ก็จะมีแต่เสียเงินทองที่มีอยู่ถ้าเป็นคนเกียจคร้านไม่ทำมาหากิน เมื่อไม่มีรายได้ก็จะต้องไปทำบาปเพื่อที่จะมีรายได้ ข้อที่ ๕ ก็คือไม่คบกับคนที่ชอบอบายมุข ถ้ามีมิตรเป็นคนที่ชอบอบายมุขเขาก็ต้องชวนเราไปเสพอบายมุข ถ้าเขาชอบดื่มสุราเขาก็จะชวนเราไปดื่มสุรา ถ้าเขาชอบเล่นการพนันเขาก็จะชวนไปเล่นการพนัน ชอบเที่ยวเขาก็จะชวนเราไปเที่ยว ชอบความเกียจคร้านเขาก็จะชวนให้เราเกียจคร้าน ชวนให้เราอย่าไปทำงานให้ไปเล่นไปทำอะไรกันดีกว่า
นี่คืออบายมุขที่เป็นสมุนหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำบาป เพราะเมื่อเสพอบายมุขแล้วเงินทองก็จะไม่พอใช้ แล้วก็จะต้องไปหาเงินทองโดยวิธีกระทำบาป คือตอนต้นก็อาจไปโกหกหลอกลวงคนนั้นคนนี้ขอยืมเงินเขามา ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีปัญญาที่จะไปหาเงินไปใช้เขาได้ พอยืมแล้วไม่คืนเขาครั้งต่อไปจะไปยืมเขา ๆ ไม่ให้ยืม ก็เงินเก่ายังไม่คืนแล้วจะมายืมเงินใหม่ได้อย่างไร พอยืมเงินไม่ได้ขั้นต่อไปก็ไปขโมยแล้ว ไปลักทรัพย์ ไปลักทรัพย์อาจจะรู้สึกได้น้อยก็อาจจะไปคิดปล้นไปคิดจี้ตามร้านทองร้านขายของ เลยต้องหาอาวุธหาปืนหาอะไรมา แล้วถ้ามีการต่อสู้กันก็อาจจะมีการฆ่ากันต่อไป
นี่คืออบายมุข ใครไปเสพอบายมุขแล้วมันจะติด ตอนต้นก็อาจจะคิดว่าไม่เป็นไรเล็กๆ น้อยๆ ดื่มแค่ถ้วยเดียวดื่มแค่ขวดเดียว เบียร์ขวดเดียวมันจะเป็นอะไรไป แต่มันจะไม่ขวดเดียวละซิมันจะต่อไป เดี๋ยวเป็นสองเป็นสามดื่มทุกวัน ทุกอย่างมันจะเริ่มจากนิดหน่อย เหมือนไฟป่านี้บางทีมันเริ่มจากบุหรี่มวนเดียวเท่านั้นเอง โยนเศษบุหรี่ทิ้งไปในป่าเดี๋ยวมันไหม้ใบไม้เดี๋ยวมันก็เริ่มลามไปได้กลายเป็นไฟป่าลุกขึ้นมาได้ เพราะอยู่ในป่าไม่มีใครรู้ใครเห็นว่ามีไฟเกิดขึ้นมา มันก็จะลามปามกลายเป็นไฟป่าไหม้ป่าใหญ่ได้ ฉันใด อบายมุขก็เช่นเดียวกัน อย่าประมาทอย่าไปคิดว่า “เอ๊ย ทำครั้งเดียวไม่เป็นไร” มันไม่เป็นครั้งเดียวละซิพอมันได้ครั้งหนึ่งแล้วมันจะติดใจ มันจะได้ใจเดี๋ยวครั้งต่อไปก็ “เอา เอาอีกครั้งหนึ่ง ไม่เป็นไร” เดี๋ยวก็เพิ่มไปเรื่อยๆ
นี่คืออย่าไปกระทำ อย่าไปเสพอบายมุขเพื่อที่จะได้ไม่ไปถูกกดดันให้ไปทำบาป เมื่อไม่ทำบาป ผลของการทำบาปก็จะไม่เกิดขึ้น คือจะไม่ต้องไปเป็นเดรัจฉาน ไม่ต้องไปเป็นเปรตไม่ต้องไปเป็นอสูรกายไม่ต้องไปนรก ก็จะรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้ มนุษย์เรานี่ถ้ารักษาศีล ๕ ได้ ไม่เสพอบายมุขได้เวลาตายไปนี่ไม่ต้องไปอบาย กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อเพราะไม่มีบาปดึงให้ไปอบาย แต่ก็ไม่มีบุญดึงให้ไปสวรรค์ให้เป็นเทวดา ถ้าเพียงแต่รักษาศีล ๕ ละเว้นอบายมุข ผลก็คือจะรักษาความเป็นมนุษย์ได้ไปทุกภพทุกชาติ ตายไปก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อทันที
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
โฆษณา