14 ต.ค. 2021 เวลา 05:39 • ไลฟ์สไตล์
หน้าที่ของพระ คือล้างกิเลสของตัวเอง
พอล้างกิเลสตัวเองแล้ว ก็สืบทอดธรรมะออกไป
ให้คนซึ่งมีบุญบารมีเนี่ยเขาได้ฟังธรรมะ
วิธีสืบทอดศาสนาเนี่ย
ไม่ใช่แค่พิมพ์หนังสือธรรมะแจกนะ
หนังสือธรรมะจะท่วมประเทศอยู่แล้ว
แต่มันไม่มีคนอ่าน เราพิมพ์กันเยอะแยะ
ของหลวงพ่อก็พิมพ์ไว้เป็นล้านเล่มแล้วมั้ง
พิมพ์ตามๆ กันไป แจก
ถามจริง อ่านกันบ้างรึเปล่า ?
ใครไม่อ่านยกมือซิ
แต่ว่าเวลาเค้าแจกแล้วรับ ยกมือซิ
.
การดูจิตเนี่ย
ดูตามหลังไป
โกรธก่อน แล้วรู้ว่าโกรธ
โลภก่อน แล้วรู้ว่าโลภ
ใจลอยไปก่อน แล้วรู้ว่าใจลอย
ไม่ใช่ทันกำลังใจลอย
คำว่ากำลังใจลอยนี่ไม่มี เป็นไปไม่ได้
เพราะขณะที่ใจลอยจิตเป็นอกุศล สติไม่มี
เพราะฉะนั้น ไม่มีเครื่องมือในการรู้สภาวะ
เครื่องมือในการรู้สภาวะ
คือสติ
(สติ) เกิดต่อเมื่อจิตเป็นกุศลเท่านั้น
ถ้าจิตมีกิเลส จิตไม่มีกุศล สติไม่มี
งั้นต้องโกรธก่อน ระหว่างโกรธไม่มีสติหรอก
แต่โกรธแล้วรู้ว่าโกรธ สติเกิดตามขึ้นมา
ทำยังไงจะตามได้เร็วเท่านั้นเอง
ไม่ใช่เมื่อวานโกรธวันนี้รู้ อะไรอย่างนี้ไม่ไหว
ต้องตามเร็วๆ
อะไรทำให้สติเกิด ?
การที่จิตจำสภาวะได้แม่น ทำให้สติเกิด
นี้เป็นกฎของธรรมะเลยนะ เป็นหลักเลย
การที่จิตจำสภาวะได้แม่นนี้ทำให้สติเกิด
พอสภาวะอันนั้นเกิด สติก็รู้ทันเลยว่าอันนี้เกิดแล้ว
งั้นเราก็หัดรู้สภาวะไป
อย่างเราขี้โกรธ
โกรธบ่อย เราก็หัดรู้ไป
ใจโกรธก็รู้ ใจไม่โกรธก็รู้ ฝึกอย่างนี้
ต่อไปพอความโกรธเกิดปุ๊บ สติจะระลึกได้เอง
เพราะมันจำได้แล้วว่า ความโกรธหน้าตาเป็นอย่างนี้
ถ้าเราคนไหนขี้โลภ
เจออะไรก็อยากได้หมด
เจอสามีชาวบ้านยังอยากได้เลย เนี่ยใจเราโลภ
อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น ได้ยิน ได้ฟัง
ฟังโฆษณาอะไรก็อยากได้
เห็นโฆษณาอะไรก็อยากได้
เห็นคนอื่นเขามีอะไรก็อยากได้
ใจโลภตลอด ก็รู้ทันใจที่โลภไป
รู้ทันความโลภไปเรื่อยๆ
ความโลภเกิดขึ้นก็รู้ ความโลภหายไปก็รู้
ดูอย่างนี้บ่อยๆ ต่อไปความโลภเกิด สติจะเกิดเอง
มันจะระลึกได้เอง อ๋อ..โลภแล้วนะ มีคำว่า แล้ว
โลภแล้วนะ โกรธแล้วนะ
มีคำว่า'แล้ว'ด้วย การดูจิต
แต่ แล้ว สดๆ ร้อนๆ นะ
เมื่อวานโลภ วันนี้รู้ ใช้ไม่ได้
เมื่อวานโกรธ วันนี้รู้ ใช้ไม่ได้ ต้องรู้ให้ไว
รู้ให้ไว (ได้) เพราะรู้บ่อยๆ
พอจิตจำสภาวะได้แม่นแล้ว
พอสภาวะอันนั้นเกิด สติจะเกิด
.
อย่างเราดู
สมมติเราขี้โมโหเนี่ย เราดูใจโกรธ
เดี๋ยวก็โกรธๆ ดูทุกวันๆ นะ สักพักเดียวเราก็จำได้
ว่าความโกรธหน้าตาเป็นอย่างนี้นะ
หน้าตาเป็นยังไงความโกรธ ?
หน้าตาไม่สวยไม่งาม หน้าหงิกหน้างอ
ไม่ใช่ดูหน้าจริงๆ นะ ดูความรู้สึก
เวลาความรู้สึกโกรธเกิดขึ้น มีความสุขมั้ย ?
เวลาโลภเกิด มีความสุขมั้ย ? มี
ถ้าโลภน่ะมี มีความสุขได้
ถ้าโกรธไม่มีความสุข
เนี่ยคอยรู้ทันไป
โกรธขึ้นมาก็รู้ เวลาโกรธนะ มันจะมีพลัง
ที่จะผลักอารมณ์นั้นให้กระเด็นออกไป
อย่างเราเกลียดใครสักคนนะ
เราก็อยากผลักเขาออกไป
ถ้าเกลียดมากนะ ก็อยากเอากำปั้นผลัก
ถ้าเกลียดมากกว่านั้น อยากเอาเท้าผลัก
มีหลายระดับ
เพราะฉะนั้น โทสะเนี่ยมีลักษณะผลักออกไป
ผลักอารมณ์ออกไป
ราคะมีลักษณะดึงอารมณ์เข้ามา
เนี่ยเราจะเห็นเลย เวลาราคะนะ
มันจะดึงเข้าหาตัว มันอยากได้มา
เวลาโทสะเกิดนี่อยากผลักออกไป
เวลาโมหะเกิดเนี่ย ดูอะไรไม่รู้เรื่อง
สับสน ดูอะไรไม่รู้เรื่อง.. งง
.
งั้นเราหัดรู้สภาวะไป
เราขี้โกรธเราก็ดู จิตโกรธก็รู้ จิตไม่โกรธก็รู้
เราขี้โลภก็รู้ไปนะ จิตโลภก็รู้ จิตไม่โลภก็รู้
เราฟุ้งซ่านเก่งก็รู้ไป จิตฟุ้งซ่านก็รู้
จิตตั้งมั่นขึ้นมาก็รู้
เมื่อไหร่รู้ว่าฟุ้งซ่าน เมื่อนั้นก็ตั้งมั่น
กลับข้างกัน
รู้บ่อยๆ
จิตจำได้แล้ว โลภ โกรธ หลง เป็นอย่างนี้
พอโลภ โกรธ หลง เกิด สติก็เกิดระลึกรู้ได้
จิตก็ตั้งมั่นเป็นกลางขึ้นมา
ต่อไปก็จะเห็นทุกอย่างเกิดแล้วดับ
ความโลภ เกิดแล้วก็ดับ
ความไม่โลภ เกิดแล้วก็ดับ
ความโกรธ เกิดแล้วก็ดับ
ความไม่โกรธ เกิดแล้วก็ดับ
ความฟุ้งซ่าน เกิดแล้วก็ดับ
ความสงบตั้งมั่น เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน
เห็นซ้ำๆๆ ไปเรื่อยๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด ดับทั้งสิ้น
ในที่สุดปัญญามันก็เกิดนะ
เป็นความรู้รวบยอด
ว่าสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ
นี่เป็นพระโสดาบันแล้ว
".. ใจรู้ ไม่ใช่เรารู้นะ !
ใจรู้ ไม่ใช่เรารู้
อย่างได้ยินหลวงพ่อพูดว่า
สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ จำได้แล้ว
อย่างนี้ยังไม่ใช่โสดาบัน
ใจเรายังไม่ได้มีความรู้
ต้องพาใจให้เรียนรู้ของจริงซ้ำแล้วซ้ำอีกไป
เห็นเลยอันนี้เกิด แล้วมันก็ดับ
อันนี้เกิด อันนี้ก็ดับ อย่างนี้ดูไปเรื่อยๆ
จนวันนึง (จิต) มันรู้เอง มันรู้จริง
เวลารู้จริงนะ จิตจะรวมเข้าสมาธินะ
จะเข้าฌาน เข้าเอง ไม่ต้องหัดเข้าฌานหรอก
จิตมันเข้าได้เองเลย
แล้วมันก็เข้าไปล้างกิเลสข้างใน
ล้างตะกอนก้นตุ่มน้ำ
ตุ่มน้ำใบนี้นะ ล้างกันสี่ครั้ง
ครั้งที่หนึ่งก็เอาตะกอนออกไปได้เยอะเลย
ตะกอนหยาบๆ
ครั้งที่สองก็เอาตะกอนออกไป
ครั้งที่สามก็เอาตะกอนออกไป
ครั้งที่สี่ ทุบตุ่มน้ำแตกไปเลย
ไม่มีที่ให้ตะกอนอาศัยอยู่อีกแล้ว
ใจไม่มีที่กิเลสจะแฝงอยู่ได้อีกแล้ว
เพราะปล่อยวางจิตไปได้
จิตเปรียบเสมือนตุ่มน้ำนี่เอง
รองรับของดีไว้ก็ได้ รองรับของเลวไว้ก็ได้
ตอนที่บรรลุพระอรหันต์เนี่ย
มันทำลายจิตลงไป
จิตอย่างที่พวกเรามีอย่างนี้ ถูกทำลาย
จิตตัวผู้รู้อะไรนี้ ถูกทำลายไป
เหลือแต่ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์
ไม่มีขอบเขต ไม่มีจุด ไม่มีดวง
ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีการไป ไม่มีการมา
มันเป็นของมันเอง มันบริสุทธิ์แล้ว
จิตของเราไม่บริสุทธิ์ ปนเปื้อน มีกิเลส
ถูกความอยากครอบงำ
ปรุงความอยากขึ้นมา
แล้วความอยากก็มาครอบงำ น่าสงสาร
ก็เหนื่อย เวลาใจอยาก ใจก็ดิ้นรน
ใจก็เหน็ดเหนื่อย
หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
ภาพ เจดีย์ติโลมินโล หรือเจดีย์ตั้งฉัตร เมืองพุกาม
โฆษณา