21 ต.ค. 2021 เวลา 14:27 • ปรัชญา
"ระลึกชาติ"
" ... เจ้าชายสิทธัตถะในคืนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ตอนหัวค่ำท่านระลึกชาติไป
ท่านอยากรู้ต้นเหตุของชีวิตมันอยู่ที่ไหน ระลึกไป
ผ่านวันผ่านเวลาไปมากมาย ไม่มีอะไร
ดูไปแล้วไม่มีจุดตั้งต้น หาจุดตั้งต้นไม่เจอ
แล้วพบอย่างหนึ่ง สิ่งที่มีอยู่มันคือทุกข์ทั้งนั้นเลย
มีแต่ของไม่เที่ยง
มีแต่ของเป็นทุกข์
มีแต่ของที่บังคับไม่ได้
2
ท่านระลึกชาติแล้ว
ท่านมีสติมีปัญญาเห็นความจริง
เห็นไตรลักษณ์ เห็นอะไรขึ้นมา
ของเรารุ่นนี้กิเลสพาระลึกกัน
ระลึกไปคนนี้เคยเป็นผัวเรา คนนี้เป็นเมียเรา
นี่ของเรานั่นของเรา
1
แทนที่จะระลึกแล้วเห็นว่าว่างเปล่า
ของเคยมีมันก็ไม่มี ของเคยเป็นมันก็ไม่เป็น
เจ้าชายสิทธัตถะท่านเห็น
ของเราระลึกแล้ว ล้วนแต่มีแต่เป็น
1
อย่างพระนเรศวรท่านเป็นคนดัง
คนระลึกชาติว่าเคยเป็นพระนเรศวรเยอะแยะเลย
ไม่รู้ทำไมเยอะขนาดนั้น
เชื่ออะไรไม่ได้นักหนาหรอกเรื่องอย่างนี้ มโนกัน
อย่างเจ้าชายสิทธัตถะบารมีท่านเต็มแล้ว
ท่านได้ฌาน ได้ถึงฌานที่ 8 แล้ว
ฉะนั้นจิตใจท่านเป็นกลาง
ท่านระลึกไปก็เลยเป็นของจริง
3
จิตยังมีกิเลสไม่ได้เข้าฌาน
ข่มกิเลสลงไปก็ระลึกออกมาทีไร
มันก็ระลึกตามกิเลสทุกที อย่าไปเชื่อมัน
ท่านระลึกไปไกลแสนไกลท่านก็พบว่า
วัฏสงสารไม่มีอะไรหรอก
มีแต่เกิดแล้วก็ทุกข์ แล้วก็ตายไป แล้วก็เกิดอีก
เวียนอยู่อย่างนี้ ท่านหาจุดตั้งต้นไม่เจอ
1
ท่านก็มองต่อไปข้างหน้า แล้วมองไปสู่อนาคตบ้าง
ย้อนอดีตแล้ว ยังไม่ตอบโจทย์ว่าทำอย่างไรจะไม่เกิด
ก็ดูไปอนาคต สัตว์ตัวนี้ตายแล้วไปเกิดที่นี้
ตัวนี้ตายแล้วไปเกิดที่นี้
เป็นยามกลางคืน ยามกลางคืน ยามดึก
ตัวสัตว์โลกทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดไป
ตรงนี้มันทุกข์ มันไปเกิดตัวโน้นเดี๋ยวมันก็ทุกข์อีกแล้ว
ท่านก็เลยหยุดการแสวงหา
ในยามสุดท้ายท่านมาอยู่กับปัจจุบัน
ยามต้นย้อนไปอดีต หาคำตอบไม่ได้
ยามกลางมองไปอนาคต ตายแล้วไปไหน ๆ
หาคำตอบไม่ได้ ว่าทำอย่างไรจะไม่ทุกข์
พอยามสุดท้ายท่านย้อนมาที่ตัวเองแล้ว
ไม่ไปอดีต ไม่ไปอนาคต อยู่กับปัจจุบัน
ดูสภาวะลงปัจจุบันไป ทำไมมีทุกข์
มีทุกข์ก็เพราะมันมีชาติ จึงมีความเกิดขึ้นมา
เพราะท่านเห็นแล้วเกิดทีไรก็ทุกข์ทุกที
ทำไมมันเกิด ท่านก็มองลงไปที่สาเหตุ
มันเกิดได้เพราะว่ามันมีภพ
ภพนี้ไม่ใช่แค่เป็นโลก ๆ หนึ่ง อะไรอย่างนั้น
โลกชนิดนั้น โลกชนิดนี้
ภพที่สำคัญก็คือตัวกรรมภพ
ภพภายในของตัวเอง ภพภายในใจ
...
จิตเราเวียนว่ายตายเกิดไปในภพน้อย ๆ
ตลอดวันตลอดคืน
จิตจะไปอยู่ในภพอะไร จิตก็ทุกข์ตรงนั้น
ท่านเห็นเลย มันทุกข์เพราะมันมีภพ จิตมันติดภพ
ท่านก็ดูต่อไปอีก ภพมันมาจากอะไร
ภพมันมาจากตัณหา อุปาทาน
ใจมันมีความอยาก ใจมันมีความยึด
ใจก็เกิดภพคือเกิดความดิ้นรนของใจ
อย่างมีความอยาก อยากมีความสุขอะไรอย่างนี้
จิตใจก็ดิ้นรน อยากไม่ทุกข์ จิตใจก็ดิ้นรน
ตัวที่จิตใจมันดิ้นรน จิตใจมันปรุงแต่ง นั่นล่ะตัวภพ
2
ท่านก็ดูต่อไปทำไมมันมีตัณหา
ทำไมมันมีความอยากขึ้นมา
ความอยากมันเกิดตอนไหน
ความอยากเกิดตลอดเวลาหรือเปล่า
มีอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า
ไม่ได้มีตลอดเวลา
ความอยากมันตามหลังเวทนามา
ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์
ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์
พอสัมผัสอารมณ์เวทนาก็มาจากผัสสะ
การสัมผัสอารมณ์ พอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
สัมผัสอารมณ์ที่ชอบใจ มีความสุขขึ้นมา
ก็เกิดตัณหา เกิดอยากให้ความสุขนี้อยู่นาน ๆ
แล้วมันก็จำความสุขอันนั้นได้
พอความสุขอันนั้นหายไป
มันก็อยากให้ความสุขนั้นกลับมา
ของไม่มีอยากให้มี เรียกว่ากามตัณหา
ของมีแล้วอยากให้มันอยู่นาน ๆ เรียกว่าภวตัณหา
พอไปกระทบเวทนาที่เป็นทุกข์ ไม่ชอบ ก็เกิดวิภวตัณหา
อยากให้มันหมดไปสิ้นไป
ไม่ว่าจะอยากมี อยากให้คงอยู่ หรืออยากให้หมดไป
ใจก็เกิดการดิ้นรนทั้งนั้น
ดูของจริงในปัจจุบัน
ท่านดูของจริง ของจริงอยู่ในปัจจุบันนี้
ดูไปเรื่อย ๆ สังเกตไปเรื่อย ๆ
เวทนามาจากไหน มีเวทนาแล้วก็มีตัณหา มีอุปาทาน
มีภพคือการดิ้นรนของจิต
มีชาติคือการหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขึ้นมา
ก็มีทุกข์ขึ้นมา
ผัสสะ ผัสสะเกิดจากอะไร
เกิดจากเรามีตา มีรูป มีแสงสว่างมากพอที่จะเห็น
มีความใส่ใจที่จะเห็น สนใจที่จะเห็น
อย่างลืมตาอยู่แต่ไม่สนใจที่จะเห็นรูปก็ไม่เห็น
อย่างเราลืมตาอย่างนี้
แล้วใจลอยคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไป
มีอะไรผ่านมาต่อหน้าเรา เราไม่เห็นหรอก
มันผ่านไปอย่างนั้นล่ะ
เพราะไม่มีความใส่ใจที่จะรู้ ไม่มีมนสิการ
ฉะนั้นองค์ประกอบจำนวนมากที่ทำให้เราเห็นรูปขึ้นมา
มีผัสสะขึ้นมา ท่านดูไปองค์ประกอบจำนวนมาก
มันก็มีแต่รูปธรรม นามธรรมทั้งนั้น
แสงสว่างก็เป็นรูป
สิ่งที่มองเห็นก็สีต่าง ๆ ก็เป็นรูป
ประสาทตาก็เป็นรูป
แล้วก็มีนามธรรม มีจิตที่ไปเกิดที่ตา มีมนสิการ
นี้ส่วนของนามธรรม
ฉะนั้นมีผัสสะได้เพราะอาศัยรูป อาศัยนามนั่นเอง
1
ท่านมองลงไปจากของจริง
แทนที่จะไปค้นว่าชาติก่อนเป็นอะไร
ชาติโน้นเป็นอะไร ไม่เอา
ท่านดูของปัจจุบันนี้ทุกข์มันมาได้อย่างไร
ท่านค่อย ๆ สังเกตไปเรื่อยๆ ทวนๆ
เข้าหาต้นตอของมัน ก็เห็นมันเกิดจากวิญญาณ
เกิดจากจิตหยั่งลงไป รูปธรรม นามธรรม ก็ปรากฏขึ้น
ตรงนี้คิดเอาไม่ได้
ก็ไปนั่งสมาธิเอาให้จิตรวมลงไปเลย
รวมลึกลงไปให้จิตเข้าภวังค์ไปเลย
แล้วตอนจิตถอนขึ้นจากภวังค์ขึ้นมาสู่วิถี
ขึ้นสู่ความรับรู้อารมณ์
มีสติตามสังเกตไปเรื่อย ๆ ตรงนี้มันเห็นเอง
อาศัยการฝึกจิตของเราให้ชำนิชำนาญ
อย่างเวลาจิตมันลงภวังค์
เราดับความรับรู้ทั้งหมดลงไป
ตอนมันไหวตัวขึ้นจากภวังค์เรียก ภวังคจลนะ
มันเริ่มเคลื่อนแล้ว แล้วมันเคลื่อนขึ้นจากภวังค์
ความรับรู้มันจะรับรู้ขึ้นมาที่จิตก่อน
ขึ้นมาที่นามก่อน พอความรับรู้ขึ้นที่นามแล้ว
เราจะรู้สึกมีจิตมีใจ มีความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้น
แล้วถัดจากนั้นความรับรู้มันขยายตัวอีกช็อตหนึ่ง
มันเหมือนแสงสว่าง ช็อตแรกมันสว่างขึ้นมา
มันทำให้เรามองเห็นจิต
มองเห็นความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย
ความสว่างกระจายตัวมากขึ้น
มองเห็นเปลือกที่ห่อหุ้มจิตอยู่
ร่างกายเหมือนถ้ำเหมือนเปลือกที่จิตอาศัยอยู่
ฉะนั้นมันรู้ขึ้นมาจากนามธรรม
แล้วขยายความรับรู้ออกไป
ก็ไปเจอเอาร่างกายนี้เข้ามา
ขยายอีกช็อตหนึ่งโลกข้างนอกนี้ปรากฏขึ้นมา
ตำรามีหรือเปล่าหลวงพ่อไม่รู้
หลวงพ่อปฏิบัติเอาแล้วเห็นมาอย่างนี้ก็เล่าให้ฟัง
1
แล้วทำไมวิญญาณนั้นมันเกิดขึ้น
วิญญาณนี้ยังเกิดขึ้น ตรงนี้ละเอียดแล้ว
เจ้าชายสิทธัตถะท่านค้นพบว่าเพราะสังขารมีอยู่
วิญญาณความรับรู้นี้ถึงมีอยู่
สังขารมีอยู่เพราะอะไร
เพราะอวิชชามีอยู่สังขารถึงมีอยู่
เพราะไม่รู้แจ้งเห็นจริงในรูปนาม ขันธ์ 5
ก็เกิดความดิ้นรน ปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง
ปรุงความว่างบ้าง
ทุกครั้งที่ความปรุงแต่งเกิดขึ้น
วิญญาณคือจิตก็เกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นมา
ตรงที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น มีจิต
ก็คือมีสัตว์ขึ้นมาแล้ว มีชีวิตเกิดขึ้น
ตรงนี้ธรรมะกับกฎหมายไม่เหมือนกัน
กฎหมายบอกว่า
การเป็นคนเกิดขึ้นตอนที่คลอดออกมาแล้วไม่ตาย
คลอดออกมาแล้วมีชีวิตถึงจะเรียกว่าเป็นคน
ถ้าใครไปทำตรงนี้ให้ตาย เรียกฆ่าคนตาย
ไปทำแท้งกฎหมายยังไม่ถือว่าฆ่าคนตาย
ถือว่ายังไม่เกิด ไม่มีคน ไม่เหมือนธรรมะ
ธรรมะนี่แค่มีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น
เชื้อของพ่อของแม่ผสมกันเกิดปฏิสนธิจิตขึ้น
ตรงนั้นถือว่ามีชีวิต มีความเป็นสัตว์เกิดขึ้นแล้ว
1
ฉะนั้นการทำแท้งโทษไม่รุนแรง
ทางกฎหมายยังไม่แรงมาก
แต่ในทางธรรมะคือการฆ่าคน ฆ่ามนุษย์แล้ว
รู้ว่าเขามีชีวิตแล้ว ต้องการให้เขาตาย
ลงมือกระทำแล้วเขาตาย
องค์ประกอบของปาณาติบาตครบ
เป็นบาปรุนแรง
ฉะนั้นพวกเราระมัดระวังไว้
ประมาทพลาดพลั้งไปท้องขึ้นมา
พยายามแก้ปัญหาไป อย่าไปทำแท้ง
ทำแท้งตำรวจไม่รู้ก็ไม่มีความผิดอะไร
ถึงมีความผิดก็ไม่ถึงขั้นลงโทษประหารชีวิต
เพราะฆ่าคนตายโดยเจตนา ไม่ถึง
แต่ทางธรรม ถึง
ฉะนั้นระมัดระวังไว้
ชีวิตมันเริ่มต้นตั้งแต่มีปฏิสนธิวิญญาณ
ปฏิสนธิจิตเข้าไปจับในรูปธรรม
ในเชื้อเกิดของพ่อของแม่ ชีวิตเริ่มต้นขึ้นตรงนั้น
เจ้าชายสิทธัตถะท่านลึกลงไปอีก
ทำไมมันมาเกิดตรงนี้
ลึกลงไปถึงที่สุดก็เพราะว่าอวิชชา ไม่รู้แจ้งเห็นจริง ... "
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
9 ตุลาคม 2564
ติดตามการการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา