24 ต.ค. 2021 เวลา 01:20 • ไลฟ์สไตล์
"การกระทำของพระอรหันต์ไม่มีวิบาก"
" ... ถ้าภาวนา
มันจะต้องมีจิตผู้รู้แทรกเข้ามาเป็นระยะ ๆ
ถ้าจิตมันหลง จิตผู้หลงมันเกิดขึ้น
จิตมันหลงไปในความคิด
ถ้าเราไม่มีจิตผู้รู้ มันก็จะหลงอยู่อย่างนั้นทั้งวัน
หลงตั้งแต่ตื่นจนหลับ หลับไปก็ฝันหลง ๆ ต่อไปอีก
ฉะนั้นที่มีจิตผู้รู้ เพื่อจะตัดตอนจิต
ให้มันขาดเป็นช่วงๆๆ ไป
จิตผู้รู้ก็อันหนึ่ง จิตผู้ไปดูรูปก็อันหนึ่ง
จิตผู้รู้ก็อันหนึ่ง จิตที่ไปฟังเสียงก็อันหนึ่ง
จิตผู้รู้ก็อันหนึ่ง จิตที่ไปดมกลิ่นก็อันหนึ่ง
จิตผู้รู้ก็อันหนึ่ง จิตที่ไปรู้รสก็อันหนึ่ง
อันนี้จิตตัวนี้เขาเรียก วิญญาณ
วิญญาณนี้มันทำให้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมย์
ปรากฏขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ตรงนี้ยังเป็นส่วนของขันธ์อยู่
ค่อยภาวนาๆ ไป จนเห็นความจริงของรูปนาม
เบื้องต้นแยกรูป แยกนามก่อน
รูปก็ส่วนรูป นามก็ส่วนนาม
แยกนามละเอียดลงไปอีก
เวทนาก็เป็นนามชนิดหนึ่ง สังขารก็เป็นนามชนิดหนึ่ง
จิตก็เป็นนามชนิดหนึ่ง จิตเป็นนามรู้
ที่เหลือมันเป็นนามเรียกว่าเจตสิก เป็นส่วนประกอบจิต
มันจะเห็นว่าแต่ละอันๆ เกิดแล้วดับๆ
พอแยกรูปแยกนามได้แล้ว
เราถึงจะเริ่มเห็นไตรลักษณ์ได้
แยกรูปแยกนามไม่ได้ ไม่มีทางเห็นไตรลักษณ์หรอก
อย่างเราจมอยู่ในความหลงไม่ขาดเลย
ความหลงครอบงำจิตใจอยู่
สังขารนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยเลย
มันไม่มีทางเห็นไตรลักษณ์หรอก
ได้แต่คิดเรื่องไตรลักษณ์
แต่ถ้ามันหลงไปคิดปุ๊บ สติรู้ว่าหลงไป
จิตตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นทันทีเลย
มันจะเห็นว่าจิตหลงเกิดขึ้นแล้วก็ดับ
จิตรู้เกิดขึ้นแทน แล้วจิตรู้อยู่ชั่วคราวก็ดับอีก
จิตรู้มันเป็นมโนวิญญาณ
เป็นวิญญาณทางใจเรา
พอเรียนรู้ไปเรื่อยในที่สุดก็รู้ว่า
จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ จิตปล่อยวางจิต
ตรงจิตปล่อยวางจิตได้ มันจะเกิดตามหลัง
หลังจากที่จิตปล่อยวางรูปได้ก่อน
รูปเป็นของหยาบมันปล่อยวางได้ก่อน
แล้วมันก็มาปล่อยวางจิตทีหลัง
พอมันปล่อยวางจิตได้ มันจะเข้าถึงธรรมธาตุ
ธาตุตัวนี้จะเรียกว่ามันเป็นขันธ์ก็ได้
แต่มันเป็นขันธ์ที่มันเลยส่วนที่เป็นโลกิยะไปแล้ว
ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ท่านก็เรียกตัวนี้มันพ้นจากขันธ์
อย่างพวกเราเวลาเราทำงาน
หรือเวลาจิตเรามีกิเลสอะไรขึ้นมา
พอกิเลสนั้นดับไปแล้ว
อย่างสมมติเรามีราคะรุนแรงอย่างนี้
พอราคะดับไปแล้วจิตเรายังกระเพื่อมหวั่นไหว
เศร้าหมองไปอีกช่วงหนึ่ง
ตรงที่จิตเรามีกิเลสเราก็ทำโน่นทำนี่ไป
จิตวุ่นวายไป มันเกิดวิบาก มีวิบากเกิดขึ้น
จิตมันเป็นทุกข์ขึ้นมา
อย่างมีราคะแรงๆ จิตเศร้าหมองไปอีกช่วงหนึ่ง
มีโทสะแรงๆ เกิดขึ้น โทสะหายไปแล้ว
จิตยังเศร้าหมองอยู่อีกช่วงหนึ่ง
อย่างเราไปโมโหพ่อ โมโหแม่เราอะไรอย่างนี้
เราไปว่าพ่อว่าแม่เรา พอเราหายโมโห
จิตเราเศร้าหมองอีกช่วงหนึ่ง
ถึงตัวอื่นก็เหมือนกัน ถ้าจิตเรามีกิเลสแล้ว
หลังจากนั้นจิตยังเศร้าหมองไปอีกช่วง ต้องรับวิบาก
แต่ถ้าจิตเราเข้าถึงธรรมธาตุ
พอมันทำงาน ขันธ์มันทำงาน ขันธ์มันทำงานไป
แล้วพองานของขันธ์เสร็จมันวางขันธ์ปุ๊บ
ธรรมธาตุมันเด่นขึ้นมารู้ตรงนี้แทน
ตัวนี้ไม่เคยกระเพื่อมหวั่นไหวเลย ไม่มีวิบากเกิดขึ้น
ฉะนั้นการกระทำของพระอรหันต์ไม่มีวิบากเกิดขึ้น
ก็เลยเรียกเป็นมหากิริยาจิต
ฉะนั้นถ้าเราไม่ใช่พระอรหันต์
ขันธ์มันทำงาน พอเลิกแล้ว ขันธ์ก็ยังทำงานต่ออีก
แต่ถ้าภาวนาสุดขีดไปแล้ว
พอขันธ์ทำงานเสร็จก็คือเสร็จเลย ไม่มีวิบากต่อ ... "
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
16 ตุลาคม 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา