24 ต.ค. 2021 เวลา 07:21 • ไลฟ์สไตล์
"อดทนและไม่ดื้อ … อย่านึกว่าแน่! "
" ... ค่อยๆ ฝึก วันหนึ่งเราก็ได้รู้ได้เห็น
หลวงพ่อก็เรียนมาจากครูบาอาจารย์ ท่านสอนให้
เรามันโง่ หลวงพ่อไม่ใช่คนเก่งหรอก
แต่หลวงพ่อไม่ดื้อ หลวงพ่ออดทน
ธรรมะ 2 ตัวนี้สำคัญ
ถ้าเราหัวดื้อ ครูบาอาจารย์ไม่สอนเราหรอก
ท่านสอนแล้วเราก็อดทนพากเพียรไป
บางทีสิ่งที่ท่านสอนกว่าจะรู้กว่าจะเห็น
ใช้เวลานานเป็นสิบๆ ปี
บางเรื่องกว่าจะเข้าใจได้
มันจะแน่มาจากที่ไหน
ประเภทฟังปุ๊บบรรลุปั๊บ
บุญบารมีของพวกเรามันไม่ได้แก่กล้าขนาดนั้น
ถ้าแก่กล้ามันคงไม่หลุดมาเรียนกับหลวงพ่อปราโมทย์นี้หรอก
คงบรรลุพระอรหันต์ไปตั้งแต่ยุคที่พระพุทธเจ้ายังอยู่แล้ว
ฉะนั้นอาศัยอดทน
อดทนต่อคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์
อดทนต่อความขี้เกียจขี้คร้าน
อดทนต่อความลังเลสงสัย
พากเพียรทำเข้าไป ทำให้มาก ทำให้พอ
แล้วสังเกตดูที่ทำมันถูกหรือไม่ถูก
บางคนทำมากแต่ทำผิด
จะไปเชียงใหม่แต่หันหน้าไปทางพนมเปญ
เดินให้ตายมันก็ไม่ถึงเชียงใหม่
ฉะนั้นถ้าทำถูก ตรงนี้ปริยัติช่วยเราได้
รู้ทิศทาง ตรวจสอบได้ที่ทำอยู่ถูกไม่ถูก
หลวงพ่อก็ใช้ปริยัติตรวจสอบ
เพราะหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่กับครูบาอาจารย์เท่าไร
เราคนกรุงเทพฯ แล้วทำงานด้วย
เป็นเดือนกว่าจะได้ขึ้นไปกราบครูบาอาจารย์ทีหนึ่ง
เวลาที่เหลืออาศัยความสังเกตเอา
โดยการที่เราเคยอ่านปริยัติมา
ไม่ได้ไปสอบอะไรกับใครเขาหรอก
แต่ว่าอ่านแล้วก็มาสังเกตเอา
อย่างมีช่วงหนึ่งภาวนาไป
จิตว่าง สว่าง สบาย คงที่อยู่อย่างนั้น
อยู่ได้เป็นปีเลย มีความสุขอยู่อย่างนั้น
หลวงพ่อก็สังเกตนี่มันใช่หรือ
นี่มันนิพพานหรือมันอะไร
ทำไมพระพุทธเจ้าสอนว่าจิตนี้ไม่เที่ยง
ทำไมตัวนี้เหมือนเที่ยง
พระพุทธเจ้าสอนว่ามันเป็นทุกข์
ทำไมตัวนี้เป็นสุข
พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็นอนัตตา
ทำไมเราบังคับได้ เราผิดตรงไหน
เฉลียวใจว่าเราผิดตรงไหน
ไม่ใช่คิดว่าคัมภีร์ผิดที่ไหน
พวกกิเลสหนาภาวนาไปแล้วเห็นไม่เหมือนตำรา
บอกตำราผิด ที่จริงก็คือเราภาวนาผิดที่ไหน
หลวงพ่อจะมองอย่างนี้ตลอด
สังเกตข้อบกพร่องของตัวเองไป
บอกแล้วว่าไม่ใช่คนเก่ง แต่อดทน
แล้วก็ไม่ดื้อกับคำสอนของครูบาอาจารย์
ครูบาอาจารย์บอกอย่างไรก็จบตรงนั้นเลย
อย่างมีคราวหนึ่งภาวนา
เมื่อปี 2526 เดือนกรกฎาคม
นั่งสมาธิก็หลับ เดินจงกรมก็หลับ
ทำอย่างไรก็หลับ แก้ไม่ตก
ขึ้นไปกราบหลวงปู่สิม ไปเล่าให้ท่านฟัง
“ผมจนปัญญาแล้ว
จะนั่งขัดสมาธิเพชรที่เจ็บแสนเจ็บก็หลับ
เดินจงกรมก็หลับ เดินชนฝา ชนเสาเลย
ทำอย่างไรก็ไม่หาย ผมจะทำอย่างไรดี
ผมจะแก้ไขอย่างไรดี”
หลวงปู่พูดสั้นๆ เลย
“ผู้รู้ๆ จะสงสัยอะไร ปฏิบัติไปเถอะ
แล้วจะได้ของดีในพรรษานี้ล่ะ”
ตอนนั้นเข้าพรรษามาแล้วเดือนสิงหาคม
พอท่านบอกจะสงสัยอย่าสงสัย
“ผู้รู้จะสงสัยอะไร ไม่ต้องสงสัยหรอก ให้ปฏิบัติ”
ครูบาอาจารย์บอกไม่สงสัย
หลวงพ่อไม่ดื้อเลย เลิกสงสัยเลย
ท่านให้ปฏิบัติก็ปฏิบัติไป
ไม่คิดแล้วว่าทำไมเป็นอย่างนี้
ไม่คิดแล้วว่าจะแก้อย่างไร
ไม่วิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ วิพากษ์อะไรทั้งสิ้นเลย
มันจะหลับก็เรื่องของมัน เราจะคอยรู้สึกไปๆ
ธรรมะ 2 ตัวนี้สำคัญ ถ้าเราหัวดื้อ
ครูบาอาจารย์ไม่สอนเราหรอก
ท่านสอนแล้วเราก็อดทนพากเพียรไป
ท่านสอนเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม
วันที่ 6 ยังอยู่ที่เชียงใหม่ ตระเวนไหว้พระอยู่ในเมือง
วันที่ 7 ขึ้นรถทัวร์ตอนเช้ามากรุงเทพฯ
นั่งสมาธิปุ๊บหลับปั๊บ หลับก็หลับ
ครูบาอาจารย์ไม่ให้สงสัยเราก็ไม่ดื้อ
ไม่สงสัยก็ไม่สงสัย ภาวนามาเรื่อยๆ
พอใจเราไม่ดิ้น ใจเริ่มชาร์จตัวเอง
มันมีกำลังขึ้นมา มีกำลังขึ้นมามันก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
แล้วก็ตื่นขึ้นมาได้
ฉะนั้นที่หลวงพ่อต่อสู้มา
หลวงพ่อไม่ดื้อกับคำสอนของครูบาอาจารย์
อย่างท่านพ่อลีบอกให้หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
ให้นับไปด้วย หลวงพ่อก็ทำตั้งแต่ 7 ขวบ
พ่อพาไปกราบท่านพ่อลี ก็ภาวนาตลอด
หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
ทำทุกวันเลยไม่ดื้อ แล้วก็ไม่ขี้เกียจ อดทน ทำไปเรื่อย
ไม่เห็นผลก็ทำ พากเพียรไปเรื่อย ๆ
เหมือนพระมหาชนกเรือแตกอยู่กลางทะเล
ท่านก็ว่ายน้ำไปเรื่อย ยังไม่รู้ทิศทางก็ไม่ยอมเลิก
นางเมขลาเขามาแซวบอก
“ไม่รู้ทิศทาง ไปว่ายน้ำทำไม เหนื่อยเปล่าๆ”
ท่านบอกว่า “นักต่อสู้ก็ต้องสู้ สู้ได้แค่ไหนก็แค่นั้น
แต่ที่จะให้งอมืองอเท้าจมน้ำตายเฉย ๆ ไม่ทำหรอก
บัณฑิตไม่สรรเสริญหรอก พวกไม่มีความเพียร”
เห็นไหมท่านไม่รู้ทิศทาง
ไม่รู้เหนือรู้ใต้ท่านก็ไม่ยอมแพ้
ฉะนั้นพวกเราระลึกถึงคุณธรรมที่ท่านสร้างมา
เป็นตัวอย่างให้เราเดินตาม
เราภาวนาทุกวันๆ ยังไม่เห็นผลก็ไม่เลิก ต้องต่อสู้เอา
หลวงพ่อเอาตัวรอดมาได้ก็เพราะไม่ดื้อ
ครูบาอาจารย์สั่งอย่างไรก็อย่างนั้นเลย แล้วก็อดทน
วันนี้ไม่เข้าใจ พรุ่งนี้ก็เข้าใจ
พรุ่งนี้ไม่เข้าใจ เดือนหน้าก็เข้าใจ ปีหน้าก็เข้าใจ
ตั้งใจไว้ถึงขนาดว่า ชาติหน้าก็เอา
ถ้าชาตินี้ไม่เข้าใจ ชาติหน้าค่อยไปเข้าใจก็ยอม
ขอทำไปก่อน อดทนมา ภาวนามาก็ต่อสู้มาอย่างนี้
ในที่สุดเราก็เห็น
พอจิตมันวางขันธ์ได้มันก็เข้าไปถึงธรรม
ตัวขันธ์นั่นล่ะเรียกว่าโลก
ตัวขันธ์ก็คือตัวโลก ตัวรูป ตัวนาม
รูปนามนั่นก็คือตัวโลก
พอวางรูป วางนามได้ก็คือ สิ้นโลก
ทันทีที่สิ้นโลก มันเหลือธรรม
หลวงปู่เทสก์สอน “สิ้นโลก เหลือธรรม”
สิ้นโลกไม่ใช่คิดเอาเอง
โลกนี้ว่างเปล่านั่นได้แต่คิด ใช้ไม่ได้หรอก
หลวงปู่เทสก์ท่านเคยวิจารณ์
ว่าพวกเดินสายแบบ คิดเอาเลยว่างๆ
อันนั้นก็ว่าง อันนี้ก็ว่าง
ท่านบอกจะเอาแต่ปัญญา
ไม่เอาศีล ไม่เอาสมาธิ ไปไม่รอดหรอก
ท่านบอกอย่างนี้เลย
ฉะนั้นเราทำให้มันถึงพร้อม
ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
ศีลนั้นเป็นฐานให้สมาธิมั่นคง
สมาธิที่มั่นคงเป็นฐานให้เดินปัญญาได้
พอปัญญามันแก่รอบจริงๆ วิมุติมันก็เกิด
จิตเริ่มวาง
เบื้องต้นวางความเห็นผิด
เบื้องกลางวางความยึดถือในกาย
เบื้องปลายวางความยึดถือในจิต
พอวางความยึดถือในจิตมันจะเข้าถึงธรรมธาตุ
จะรู้เลยสุญญตาคืออะไร
ว่างมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก ไม่ใช่อยู่ที่พูด
ว่างมันอยู่ตรงที่จิตมันพ้นจากขันธ์
จิตมันหมดความยึดถือขันธ์ มันถึงจะเห็นว่าง
ก่อนหน้านั้นไม่เห็นว่างหรอกได้แต่พูดถึงว่าง
แต่ไม่ได้เห็นว่าง
แล้วถัดจากนั้นก็ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง
อย่างที่ท่านพุทธทาสท่านบอกนั่นล่ะ
คือไม่ว่าเอาขันธ์ไปทำงานอย่างไร
ธรรมธาตุนี้ไม่ได้กระเพื่อมเลย
ไม่ได้มีผลตกค้างมาถึงเลย
อย่างของเราตกค้างใช่ไหม
โกรธแล้วก็มีผลต่อมา
มีราคะแล้วมันก็มีผลต่อมา
หลังจากที่ราคะผ่านไปแล้วอะไรอย่างนี้
แต่จิตที่เข้าถึงธรรมธาตุนั้น ไม่มีผลต่อเนื่องมา
ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดความปรุงแต่ง
หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต
ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรสักอย่าง
ไม่มีอะไรเลย หมายถึงไม่มีขันธ์
ไม่เหลืออะไรเลย ก็ไม่เหลือความปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อพ้นจากความปรุงแต่ง
อันนี้หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนมา
หลวงพ่อก็มาเล่าให้ฟัง
หลวงพ่อโง่ก็จำๆ ครูบาอาจารย์มาบอกพวกเรา
เอาไปภาวนาเอา
แต่สอนด้วยความมั่นใจ ไม่คิดว่ามั่วนะ
เพราะเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์
ครูบาอาจารย์ท่านสอน. ... "
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
16 ตุลาคม 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา