21 ต.ค. 2021 เวลา 15:54 • คริปโทเคอร์เรนซี
สรุปจาก THE WISDOM: The Future of Digital Disruption and Investment (2/2)
======================
Unlocking a New Era of Investment
======================
======================
1. ภาพการลงทุนในปัจจุบัน
======================
[คุณชลเดช]
- ย้อนกลับไปตลาดหุ้นเมื่อมีนาคมปีที่แล้วที่ลงถึง 900 จุดในหนึ่งวัน มีการปรับตัวลงเร็วและปรับขึ้นเร็ว ในประเทศจีนช่วงนั้นหุ้นแทบไม่ลง ในสหรัฐอเมริกา หุ้น Nasdaq ลงไปสามเดือนและขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้
- เป็นธีมของการฟื้นฟูที่เรียกว่า K-Shape ซึ่งมีขาตัว K ข้างบนคือประเทศหรือเซคเตอร์ที่สามารถฟื้นตัวได้เร็ว และขาข้างล่างคือฟื้นตัวไม่ได้
- เมื่อสิบปีที่ผ่านมา ถ้าลงทุนในตลาดหุ้นโดยรวมผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี ในขณะที่หุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 8% ต่อปี ส่วนหุ้นเทคโนโลยีใน Nasdaq จะอยู่ที่ประมาณ 18% ต่อปี
- ถ้าเราย้อนเวลาไปลงทุนหุ้นใน Nasdaq สิบปีจะมีเงินเติบโตขึ้นถึงห้าเท่า เป็น K-Shape ที่ชัดเจนว่าธีมไหนมีการเติบโต
======================
2. ลักษณะของการลงทุนที่เปลี่ยนแปลง
======================
[คุณชลเดช]
- เป็นยุคทองของเทคโนโลยีและออนไลน์ ทั้งสินทรัพย์ดั้งเดิมและสินทรัพย์ใหม่ หุ้นเติบโตขึ้นเยอะมาก
- นักลงทุนก็มีจำนวนเยอะขึ้น เมื่อเดือน มกราคม 2563 มีนักลงทุนในหุ้นไทย 1.2 ล้านครับ ล่าสุดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีนักลงทุนในหุ้นไทยถึง 2 ล้านคน เติบโตขึ้นเกิน 50% มีรายย่อยเข้ามาลงทุนมากขึ้น
- กระแส new normal ทำให้โลกการลงทุนเปลี่ยน ปกติประเทศที่พัฒนาแล้ว นักลงทุนรายย่อยจะลดลง แต่พอมีโควิดทำให้หลายๆ คนรู้ว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น เงินในกระเป๋ามนุษย์เงินเดือนมากขึ้น เพราะมีการใช้จ่ายน้อยลง เลยเอามาลงทุน
- ยุคนี้เป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี ใหม่ๆ ระหว่างรายย่อยและรายใหญ่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล ข่าวสารได้พอๆ กัน
======================
3. พฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนไป
======================
[คุณชลเดช]
- หมดยุค VI (Value Investor) แล้ว ตอนนี้ต้องมองการเติบโต (growth) ในระยะยาวเป็นหลัก ไม่ได้ดูเงินปันผล หรือ PE แต่ดูไปถึงผลประกอบการในอนาคต เช่นในกรณีของหุ้น Tesla เลิกคิดว่าหุ้นถูกหรือแพง แต่เป็นการดูอนาคต
- ธีมหลักๆ จะเป็นเรื่องของ Sustainable Development Goals 17 ข้อของ UN, ESG (Environmental, Social and Governance) ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
- การลงทุนจะมีการโยกย้ายจากตราสารทุนคือหุ้น ไปสู่สินทรัพย์แบบใหม่ เช่น Digital Asset, Cryptocurrency หลายๆ แพลตฟอร์มที่เป็นโรบอต เริ่มเอามาผสมกันให้เกิด divesification มอง digital asset เป็น alternative investment แทนทองคำในการลงทุน
- จะเห็นว่าผู้เล่นรายใหญ่ที่เป็น super app ที่เริ่มมาจากมีจำนวนผู้ใช้เงินเยอะ ก็เริ่มมาทำ wallet, digital lending, insurance
- ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบริการของเจ้าไหน คนที่ได้ประโยชน์คือนักลงทุน เราควรจะรู้ทันการลงทุนในแต่ละแบบ เป็นยุคที่นักลงทุนควรจะทำการ divesification ทั้งในแง่ของสินทรัพย์ ประเทศ ธีม แพลตฟอร์ม การลงทุนหลากหลายมากขึ้น ควรที่จะกระจายความเสี่ยง
======================
4. การเปลี่ยนแปลงของโลกการเงินจากดั้งเดิมมาสู่ดิจิทัล
======================
[คุณกานต์นิธิ]
- ระบบการเงินหรือดิจิทัลไฟแนนซ์แบบดั้งเดิมมีมานาน การแลกเปลี่ยนต้องผ่านตัวกลาง ปัญหาที่มีคือเราต้องเชื่อถือตัวกลาง ถ้าตัวกลางไม่ดีก็จะส่งผลกระทบต่อเราได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกทุกประเทศ
- รัฐบาลของแต่ประเทศก็พยายามแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด บางประเทศแก้ไขไม่ได้ ค่าเงินก็จะแทบไม่มีค่า เช่น ประเทศซิมบับเว บางประเทศ เช่น จีนหรือสหรัฐอเมริกา มีการคุมค่าเงินที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกประเทศทั่วโลกจะสามารถทำแบบนี้ได้
- ถ้าย้อนกลับไป ยังไงเราก็ยังมีความเสี่ยงในเรื่องที่ต้องพึ่งพาตัวกลาง Decentralized Finance เป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะมาแก้ปัญหาเรื่องความไว้วางใจ ทำให้ทั้งโลกสามารถเชื่อใจกันได้ โดยไม่ต้องเช็คเครดิต แต่ใช้เทคโนโลยี blockchain ขับเคลื่อน เปลี่ยนจากแพลตฟอร์มเก่า ธนาคาร ภาคการเงินอื่นๆ มาอยู่ในโลกของดิจิทัลหรือออนไลน์มากขึ้น
- ตัวการกระตุ้นสำคัญคือโรคระบาด ทำให้คนเข้ามาใน Decentralized Finance มากขึ้น เราเคยได้ยินว่า cashless มาโดยตลอด แต่เราก็ยังติดการจับจ่ายใช้สอยด้วยเงินสด แต่พอมีโรคระบาดทำให้เราพยายามสัมผัสแบงค์น้อยลง พึ่งพาโลกออนไลน์มากขึ้นทั้ง payment gateway พร้อมเพย์ รวมถึง Cryptocurrency
- Cryptocurrency เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ประมาณสิบปี แต่ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ผู้คนสามารถโอนเงินมูลค่าระหว่างกันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง 5-10 ปีข้างหน้า เชื่อว่าแพลตฟอร์ม DeFi protocal ต่างๆ จะเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้กันทั่วไป เหมือนอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน​ ซึ่งเมื่อสิบปีก่อนการใช้งานยังไม่แพร่หลายมาก
- ตัวเลขผู้ใช้งาน DeFi ทั้งหมด ในเดือนกันยายน 2563 อยู่ 5 แสนคน ในขณะที่กันยายน 2564 สูงขึ้นถึง 10 ล้านคน เติบโตขึ้น 20 เท่าในหนึ่งปี จำนวนเม็ดเงินที่อยู่ใน DeFi เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 อยู่ที่ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตมากกว่า 3,000 เท่า เติบโตแบบเอกซ์โพเนนเชียลจนน่าตกใจ
[คุณชลเดช]
- นอกจากรายย่อยที่มากขึ้นแล้ว อายุเฉลี่ยของผู้เริ่มลงทุนก็น้อยลงด้วย การลงทุนเข้าถึงง่ายขึ้น เปิดบัญชีง่าย
- ตลาดหุ้นยังมีเวลาปิดทำการ แต่ปัจจุบัน Cryptocurrency เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเจ็ดวัน ไม่มีวันปิด มีนวัตกรรมมากมาย ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่เราต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง เพราะมันเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง
[คุณจิรายุส]
- การลงทุนในหุ้นปัจจุบัน PE ไม่สูง ไม่เป็นไร แต่ขอให้มีการเติบโต (growth) เร็วถือว่าดี กองทุน Venture Capital ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนในบริษัทที่ไม่กำไรด้วยซ้ำ หุ้นเทคโนโลยีหลายๆ ตัวใน Nasdaq ก็ขาดทุนแต่เติบโต
- มีทรัพย์สินใหม่ๆ เช่น Cryptocurrency ในยุคที่อินเทอร์เน็ตบลูม มี TCP/IP เป็น protocal layer อยู่เบื้องหลัง ทำให้เราแชร์ข้อมูลหากันได้
- ในยี่สิบปีแรกหุ้นอย่าง Facebook, Google ที่เป็น application layer มีการเติบโตแต่ตัว protocal เองกลับไม่มีมูลค่าเพราะสร้างโดยองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ในอีก 20 ปีข้างหน้ามันจะกลับกัน มูลค่ามันจะวิ่งไปที่ protocal layer ที่เป็นภาษากลางของโลกอินเทอร์เน็ต เช่น Bitcoin ก็เป็น protocol นึง Ethereum ก็เป็น protocal นึง ถูกพัฒนาโดยเป็นระบบเปิดสามารถให้ทุกคนเข้าไปร่วมมือกันได้ มี Bitkub, Coinbase เป็น application layer
======================
5. อธิบายเรื่อง Decentralized Finance (DeFi)
======================
[คุณกานต์นิธิ]
- Decentralized Finance จำลองระบบการเงินที่คุ้นเคยกันมาอยู่ในโลกออนไลน์แล้วขับเคลื่อนด้วย blockchain ทั้งการฝากเงิน การใช้บริการโรงรับจำนำ การทำประกัน เราสามารถเอาเทคโนโลยี blockchain มาขับเคลื่อนแพลตฟอร์มต่างๆ ให้เกิดขึ้นในโลกดิจิทัล ซึ่งในโลกนี้ผู้ใช้งานทุกคนสามารถไปทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางได้ สามารถเชื่อมต่อโดยใช้แค่วอลเล็ต เช่น MetaMask
- บริการที่นิยมกันก็มี peer-to-peer lending ฝากสินทรัพย์แล้วได้ดอกเบี้ย เอาไปปล่อยกู้หรือสินเชื่อเหมือนธนาคาร decentralized exchange บริหารแลกเปลี่ยนเงินคริปโต ทั้งหมดถูกบริหารจัดการด้วย smart contract ด้วย blockchain เปิดให้ทั้งโลกได้มีโอกาสเข้ามาเพิ่มสภาพคล่องและได้ส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมปันผลจากระบบต่างๆ ดีงดูดนักลงทุนทั่วโลกให้เข้ามาลงทุน
- นอกจากนี้ยังมีบริการประกัน จับคู่ระหว่างคนซื้อและคนขาย บริการแพลตฟอร์ม NFT (Non-fungible token) การซื้อสินทรัพย์เสมือนแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของ เราสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าได้มากมายจากมือถือได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาไปสาขาหรือไปแลกเงิน
======================
6. อธิบายเรื่อง Yield Farming
======================
[คุณกานต์นิธิ]
- Yield คือผลตอบแทน Farming ก็คือเหมือนการทำการเกษตร การทำ Yield Farming เปรียบเสมือนเราหว่านเมล็ดเงินเข้าไปในแพลตฟอร์ม
- ระบบการเงินที่สร้างผลตอบแทนให้เราได้ เป็นการลงทุนโดย Cryptocurrency รูปแบบหนึ่ง คล้ายๆ การฝากเงินเพื่อได้ดอกเบี้ย แต่จุดต่างคือเงินที่ฝากจะเป็นเงิน Cryptocurrency ซึ่งจะถูกเอาไปเพิ่มสภาพคล่องหรือปล่อยกู้
- ทุกอย่างมีการใช้งานที่แท้จริง ไม่ได้มีการปลอมแปลงขึ้นมา เพราะทุกอย่างทำตามคำสั่งโปรแกรมบน blockchain ซึ่งยากต่อการปลอมแปลงและทุจริต
======================
7. คำแนะนำในการเลือกโปรเจกต์ DeFi สำหรับการลงทุน
======================
[คุณกานต์นิธิ]
*1. TVL (Total Value Locked) ยอดเงินฝากในโปรเจกต์
- ยิ่งมีมากแปลว่ายิ่งมีคนให้ความเชื่อถือและไว้ใจ
*2. ระยะเวลาการดำเนินงานของโปรเจกต์
- หากเปิดมาแล้วสักระยะหนึ่งจะมีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะมีหลายตัวที่เขียนโค้ดมาวันเดียวแล้วเปิดเลย ส่วนใหญ่พวกนี้จะเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่มีคุณภาพและหลอกล่อด้วยผลตอบแทนสูงๆ ต้องระมัดระวัง
*3. การตรวจสอบ smart contract จากบริษัทภายนอก
- การอ่านรายงานการตรวจสอบจากบริษัทภายนอก คนส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านโค้ดบน smart contract ของ DeFi ได้ จึงมีผู้เชี่ยวชาญเปิดบริษัทขึ้นมาเพื่อออกรายงานตรวจสอบความน่าเชื่อถือและช่องโหว่ของแพลตฟอร์ม มีรายงานซึ่งคนทั่วไปสามารถอ่านได้
*4. ประสบการณ์และความน่าเชื่อถือของทีมงาน
- โปรเจกต์ไหนที่มีทีมที่ดี มีประสบการณ์ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับโปรเจกต์
*5. โทเคนของโปรเจกต์ถูกลิสต์ใน Exchange
- เพิ่มความน่าเชื่อถือขึ้น เพราะต้องมีการตรวจสอบจาก exchange แต่ละแพลตฟอร์มจะมีเหรียญโทเคนเหมือนหุ้นที่แจกให้กับผู้ลงทุน ซึ่งเหรียญนี้อาจจะถูกลิสต์ขึ้นไปบน exchange ได้ ซึ่งเหรียญที่ถูกลิสต์ขึ้นไปบน exchange ก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือขึ้นในอีกระดับหนึ่งเพราะว่าต้องการมีตรวจสอบจาก exchange แล้ว
======================
8. แนวโน้มของ Cryptocurrency ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
======================
[คุณจิรายุส]
- ตอนนี้ Cryptocurrency market cap อยู่ที่ 2.3-2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเรียบร้อยแล้วซึ่งถือว่ารวดเร็วมาก
- ผู้ใช้งานในบัญชี Bitkub มีถึงสองล้านบัญชี แต่มีการ active อยู่ที่ประมาณหนึ่งล้านบัญชี มีมูลค่าการซื้อขาย 8,000 - 12,000 ล้านต่อวัน ซึ่งถือว่าโตเร็วมาก ไม่ใช่แค่รายย่อยที่มาลงทุนกับเรา หลายๆ บริษัททั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ก็เริ่มมาเปิดเป็นบัญชีบริษัทกับเรา
- บริษัทต่างๆ เช่น Tesla, Square, J.P. Morgan, Goldman Sachs หรือบุคคลอย่าง George Soros ก็เข้ามาลงทุน เพราะมันคือโอกาสมหาศาล เริ่มเข้าใจว่ามันคือ protocol layer ซึ่งมีจำกัด เราสามารถกู้เงิน ระดมทุนผ่าน smart contact เมื่อก่อนเราลงทุนในธนาคารที่มีคนปล่อยกู้ ตอนนี้เราลงทุนในคอมพิวเตอร์โปรแกรม โดยที่ไม่ต้องมีตัวกลาง ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของ protocol ได้
- เราเห็นเทรนด์แล้วว่าสถาบันต่างๆ ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น แบงค์ชาติก็กำลังจะออกบาทดิจิทัลในปีหน้า จีนก็มีการออกหยวนดิจิทัลออกมาแล้ว ถ้าสหรัฐอเมริกาก็กำลังคุยกันเรื่องดอลลาร์ดิจิทัล
- ในห้าปีข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ยังไม่นับ NFT อย่างวงการอสังหาฯ ก็มีการ tokenize ที่ดิน ทุกอย่างจะกลายเป็นเหมือนหุ้น ทั้งที่ดินดิจิทัล เพชร คอนโด สามารถซื้อเป็นอัตราส่วน สามารถใช้ได้กับสิ่งทั้งที่จับต้องได้และไม่ได้ NFT เป็นโลกที่น่าตื่นเต้นและควรศึกษาต่อ
======================
9. การเอา Cryptocurrency มาสร้างนวัตกรรมในภาคธุรกิจ
======================
[คุณจิรายุส]
- เห็นเทรนด์ในบริษัทหลักทรัพย์เริ่มมีการ diversify มีการลงทุนใน Bitcoin ประเทศเอลซัลวาดอร์มีการประกาศให้เป็น legal tender อีกหน่อยเราจะใช้เทคโนโลยีหลังบ้านพวกนี้แบบไม่รู้ตัว เหมือนที่การใช้ TCP/IP ขณะที่เราใช้งานอินเทอร์เน็ต ทุกวงการต้องมีการสื่อสาร ต้องมีการแชร์ข้อมูล ไม่มีใครไม่ใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ใช้ Facebook การแชร์มูลค่า แลกเปลี่ยนมูลค่า ใครเข้ามาศึกษาก็สามารถมาแชร์มูลค่าได้
- อีกหน่อยคนจะเป็น nano entrepreneur 1 คน อาจจะทำงานให้กับถึง 50 บริษัท สมมุติรับเงินครั้งนึงเสียค่าธรรมเนียมถึง 5 ดอลลาร์ก็จะรับไม่ได้เพราะแพงกว่าเงินที่ได้รับ แต่ถ้าปัจจุบันมี micro payment 5-10 บาท ก็สามารถแลกเปลี่ยนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กว้างขึ้น หรือบริษัทที่ต้องการระดมทุน มี financial engineer มาระดมทุนใน DeFi ก็จะช่วยส่งเสริมทางด้านธุรกิจให้ดีขึ้น เหมือนคนที่สื่อสาร ถ้าใครใช้ LINE ก่อน ก็จะได้เปรียบกว่าคนที่ยังใช้จดหมาย เริ่มก่อนได้เปรียบกว่า
======================
10. คำแนะนำในการเลือกโปรเจกต์ Cryptocurrency สำหรับการลงทุน
======================
[คุณจิรายุส]
- ต้องบอกก่อนว่าเราไม่สามารถระบุได้ว่าตัวไหนจะชนะ เปรียบเสมือนเราไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวไหนจะเป็น Hi5, My Space หรือ Facebook แต่สิ่งที่เรารู้คือโซเชียลมีเดียมาแน่นอน Cryptocurrency, DeFi มาแน่นอน แต่เราไม่รู้ว่าตัวไหนจะชนะ เพราะมันเป็นเน็ตเวิร์กระบบเปิด ทำให้เกิดการโยกย้ายได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลา
- สุดท้ายตลาดจะเป็นคนเลือก แต่ก็จะมีปัจจัยสำคัญคือ Network Effect อย่าง Bitcoin ก็เป็นตัวที่มีเน็ตเวิร์กที่ยิ่งใหญ่ มั่นคงและมีจำนวนจำกัด ข้อแนะนำคือควรลงทุนใน exchange ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฏหมาย
======================
11. ฝากส่งท้าย
======================
[คุณชลเดช]
- ในช่วงยุค internet bloom ซื้ออะไรก็โตหมดแต่หลังจาก dotcom bubble ก็ยังมี Facebook, Google, Apple, Amazon ที่ยังเหลืออยู่
- ในยุค cryptocurrency ก็เช่นกัน ขอเรียกว่าเป็น dotcoin bubble ก็จะมีตัวที่ล้มหายตายจากไป แต่การใช้เทคโนโลยี เช่น พวก blockchain ยังไงก็จะมีมากขึ้น ซึ่งอันนี้น่าสนใจ อยากให้ลองเอาเทคโนโลยีพวกนี้มาใช้หรือลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวกับ blockchain
[คุณจิรายุส]
- ไม่ควรมองสิ่งใหม่ในมุมมองของสิ่งเก่า การคำนวณ discount cashflow, PE Ratio แม้แต่หุ้นในสมัยนี้ก็อาจจะต้องดู growth แทนมากขึ้น เพราะฉะนั้นยิ่ง Cryptocurrency, DeFi เราไม่สามารถเอาพวกนี้มาคำนวณได้
- โลกของเรามันเปลี่ยนไปตลอดเวลา ก่อนจะเข้ามาทำ tokenization protocal อยากให้เข้าใจมันก่อน เน้นเรื่องการศึกษาที่ถูกต้อง ลองเปิดบัญชีกับ Bitkub ดูว่าทำยังไง รู้จัก Public Key, Private Key วิธีการโอนเงิน รับเงิน เข้าใจข้อแตกต่างของแต่ละตัว วิธีการเก็บยังไงให้ปลอดภัย เริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆ ก่อน โลกใหม่มีสิ่งที่ศึกษามากมาย อย่าทำตามแต่คนส่วนใหญ่ เราต้องดูตัวเอง สถานะการเงิน ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ศึกษาไม่ต้องรีบร้อน
[คุณกานต์นิธิ]
- โลกนี้มีโอกาสทำกำไรมากก็จริง เพราะมันไม่ได้จำกัดแต่ในประเทศ แต่สิ่งนึงที่ต้องทำความเข้าใจระบบการทำงานแบบ DeFi คือไร้ตัวกลาง ไม่มีผู้กำกับดูแล ในกรณีที่เกิดความสูญเสียจากมิจฉาชีพต้มตุ๋น ซึ่งมีในทุกที่ แต่ใน DeFi พอสูญเสียแล้วจะไม่สามารถกู้คืนได้ นักลงทุนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานทางด้าน Cryptocurrency เพียงพอ ต้องศึกษาให้ละเอียด เพราะ DeFi เป็นอีกขั้นที่ต่อมาจาก Cryptocurrency
======================
Speaker:
คุณชลเดช เขมะรัตนา
- ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท โรโบเวลธ์ กรุ๊ป จำกัด Robowealth
- นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย
คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา
- ผู้ก่อตั้งและ Group CEO บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ Bitkub
คุณกานต์นิธิ ทองธนากุล
- เจ้าของเพจ Kim DeFi Daddy และ Bitcoin Addict Thailand
======================
Moderator:
คุณเฟิร์น ศิรัถยา อิศรภักดี
- Wealth Me Up
======================
Date: 8 Oct 2021 (16:00-17:00)
#KBank #KBankWisdom #THEWISDOM #Investment #NewEra #Blockchain #Cryptocurrency #DeFi #Robowealth #Bitkub #KimDeFiDaddy #บล็อกเชน #คริปโต #todayinotetotext #todayinoteto #วันนี้สรุปมา See Less
โฆษณา