22 ต.ค. 2021 เวลา 07:55 • กีฬา
ลอรี่ คันนิ่งแฮม : นักเตะผิวดำตำนาน "Swag" และแข้งอังกฤษคนแรกของ เรอัล มาดริด | Main Stand
1
ลอรี่ คันนิ่งแฮม อาจจะไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูแฟนบอลบ้านเรามากนัก แต่ที่อังกฤษเขาคือผู้เปิดตำนานนักเตะผิวดำคนแรกที่เปิดโลกทัศน์และทำให้คนรุ่นหลัง "กล้าที่จะฝัน" ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นการเหยียดผิวเกาะกินไปทั่ววงการฟุตบอลอังกฤษ
1
ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติ ถูก เรอัล มาดริด ซื้อตัว เป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ในแบบที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เคยทำ และจากไปเยี่ยงตำนาน
นี่คือเรื่องราของเขา ติดตามได้ที่นี่กับ Main Stand
นักเตะผิวดำในตำนาน
ในอดีตการจะหานักเตะผิวดำที่ลงเล่นในลีกสูงสุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะด้วยสังคมโลกยังไม่ตื่นตัวกับเรื่องการเหยียดผิวนัก คนผิวดำจึงต้องอยู่แบบพลเมืองชั้นสองในความรู้สึกของพวกเขา แม้บ้านเมืองจะศิวิไลซ์และมีเสรีภาพมอบให้พวกเขาแค่ไหนก็ตาม
อังกฤษ เป็นประเทศหนึ่งที่มีคนผิวดำในประเทศมากที่สุดในยุโรป เนื่องจากความเรืองรองในยุคล่าอาณานิคมในอดีต ทำให้มีคนผิวดำและผิวสีอื่น ๆ เข้ามาในประเทศเยอะ มีคนจากทั้งแอฟริกาและจากแคริบเบียนเข้ามาตั้งรกรากใน "แดนผู้ดี" และพวกเขาก็ต้องจำยอมกับวิถีชีวิตที่ไม่ได้ให้ความสะดวกสบายกับพวกเขามากนัก
Photo : twitter.com/theleaguemag
ขณะที่ในช่วงทศวรรษ 1970s และ 1980s กลายเป็นช่วงเวลาที่ฟุตบอลอังกฤษถูกปกคลุมไปด้วยการเหยียดสีผิวและวัฒนธรรมฮูลิแกน ที่เป็นการระบายความโกรธแค้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งก่อให้เกิดการว่างงานและการรับค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรมในหมู่วัยรุ่น ก่อนที่ตัวปัญหาเหล่านี้จะถูกเขี่ยออกไปจากสนามฟุตบอลด้วยนโยบายเพิ่มค่าตั๋ว และเปลี่ยนการเข้าชมฟุตบอลในสนามเป็นที่นั่ง 100 เปอร์เซ็นต์
กลุ่มฮูลิแกนและวัยรุ่นที่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นแรงงานไม่พอใจกลุ่มคนผิวดำที่มีลูกเยอะ ครอบครัวใหญ่ และเป็นภาระให้ประเทศต้องเสียงบประมาณในการดูแลกลุ่มคนเหล่านี้ นั่นจึงทำให้ไม่ว่าจะวงการไหน ๆ คนผิวดำก็มักจะถูกมองข้าม หากไม่เก่งเหนือชั้นกว่าคนขาวจริง ๆ พวกเขาก็แทบไม่มีสิทธิ์ได้รับโอกาสเลย
แม้จะบอกว่าความเก่งและพรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญ แต่คนผิวดำที่จะแทรกตัวขึ้นมามีชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ ได้ต้องมีคุณสมบัติหลากหลายประการ พวกเขาจะต้องมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งอดทนต่อเสียงวิจารณ์ การซุบซิบนินทา และการดูถูกจากสังคมรอบตัว พวกเขาต้องมีความเป็นตัวเองสูง เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ ต้องพิสูจน์และกลบเสียงวิจารณ์เหยียดหยามเหล่านั้นด้วยผลงาน ไม่ใช่การโต้เถียงและเรียกร้องด้วยคำพูด ซึ่ง ลอรี่ คันนิ่งแฮม คือหนึ่งในนักเตะที่มีคุณสมบัติดังกล่าวอย่างครบถ้วน
ชื่อของ ลอรี่ คันนิ่งแฮม อาจจะไม่คุ้นหูแฟนบอลยุคปัจจุบันมากนัก แต่ย้อนกลับไปในในยุค 1970s คันนิ่งแฮม เป็นนักเตะผิวดำคนแรกที่ได้ลงเล่นฟุตบอลในลีกอังกฤษทุกระดับ โดยมีอาชีพเริ่มต้นที่ เลย์ตัน โอเรียนต์ และได้รับคำชื่นชมในฐานะปีก ซึ่งว่ากันตามตรงหากจะให้อธิบายสไตล์การเล่นที่ชัดเจนคงจะยากสักหน่อย เพราะวิดีโอบันทึกการเล่นของเขาหาดูได้ยากในระดับหนึ่ง และมีไม่มากพอที่จะบอกว่าเขาเป็นนักเตะที่เก่งแค่ไหน
ทว่าเท่าที่เห็นในยูทูบ ลอรี่ คันนิ่งแฮม คือปีกขวาสไตล์โบราณขนานแท้ เทคนิคดี วิ่งเร็ว แข็งแกร่ง และชอบเล่นด้วยวิธีลากไปสุดเส้นหลังแล้วเปิดเข้ากลาง ถ้าจะใกล้เคียงกับนักเตะยุคปัจจุบันมากที่สุด อารมณ์ก็คงจะคล้าย ๆ กับ อารอน เลนนอน อดีตปีกทีมชาติอังกฤษที่ร่างกายแข็งแกร่ง คงจะช่วยให้เห็นภาพได้ชัดที่สุด
Photo : researchgate.net
ลอรี่ คันนิ่งแฮม มาดังเอาสุดขีดในวันที่เขาย้ายจาก เลย์ตัน ไปอยู่กับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ภายใต้การทำทีมของกุนซือ รอน แอตคินสัน (ภายหลังออกไปคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ซึ่งในตอนนั้น ลอรี่ คันนิ่งแฮม ถือว่าเป็นนักเตะปีกระดับแถวหน้าของลีก แม้ตัวผู้เขียนจะไม่สามารถบอกได้ว่าการที่นักเตะผิวดำได้โอกาสลงเล่นในลีกสูงสุด ได้รับการยกย่องจากสื่อ ยาวไปถึงการติดทีมชาติอังกฤษ นั้นสร้างอิมแพ็กต์ต่อคนผิวดำรุ่นหลังแค่ไหน แต่เรื่องนี้ เอียน ไรท์ ตำนานกองหน้าของ อาร์เซน่อล ที่โตในยุคหลังจากนั้นสามารถบอกแทนได้ เพราะ ไรท์ มี คันนิ่งแฮม เป็นไอดอลเลยก็ว่าได้
ทุกครั้งที่เขาลงเล่นในยุค 70s เขาจะถูกแฟนบอลปาเหรียญ ปากล้วย หรืออะไรต่อมิอะไรใส่มากมาย น่าเศร้าที่คนดูเหล่านั้นไม่ได้รับโทษอะไรเลย พวกเขาจึงทำซ้ำ ๆ และมันทำให้ขึ้นอยู่กับว่านักเตะคนไหนทนได้ก็ทน ทนไม่ไหวก็เลิกเป็นนักฟุตบอลไป นั่นคือสิ่งที่ ลอรี่ คันนิ่งแฮม ยืนหยัดมาเสมอ
"ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นผู้นำกระแสขนาดไหน ผมคงต้องบอกว่าเขามีครบทุกสิ่งสำหรับคุณสมบัติของการเป็นสตาร์ฟุตบอล มีทักษะที่ยอดเยี่ยม และที่สำคัญคือความมั่นใจ เขาคือ Swagger (ผู้นำเทรนด์) ตัวจริงเสียงจริง" ไรท์ซ่า กล่าว
"ทั้งหมดเกี่ยวกับ ลอรี่ คือความเป็นอิสระ มีสุนทรียภาพของชีวิต กับการเฉลิมฉลองและมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ เขาจะเป็นคนแรกเสมอ เขาคือคนที่เป็นเหมือนปฐมบทของเรื่องนี้ เป็นแม่เหล็กที่ดึงอีกหลายคนเข้ามาในวงการฟุตบอลอาชีพ และผมก็เป็นเด็กคนนั้นผู้ถูกทุกอย่างที่เขาทำตราตรึงเอาไว้"
สิ่งที่ ไรท์ แสดงให้เห็นถึงคาแร็กเตอร์ของ ลอรี่ คันนิ่งแฮม ได้เป็นอย่างดี คนที่ใช้ผลงานในสนามอุดปากพวกชอบดูถูก และเมื่ออยู่นอกสนามเขาคือ Swagger ที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแพง มีไลฟ์สไตล์ที่หรูหรา เสพวรรณกรรม ดื่มไวน์ชั้นเลิศ เรียกได้ว่าเข้าตำราการทำให้คนที่เกลียดเราอกแตกตายเป๊ะ ... ในขณะที่ผู้คนด่าเขา เขากลับโตขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น ราวกับดื่มกินคำติฉินเหล่านั้นและเอามันมาใช้เป็นพลังเสริม
Photo : whoateallthepies.tv
ยุคของ คันนิ่งแฮม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของนักเตะผิวดำในหลายรูปแบบ ความเก่งกาจพาเขาไปติดทีมชาติอังกฤษ และกลายเป็นปีกตัวหลักของทีมด้วย ... แน่นอนที่สุดความเก่งกาจไม่อาจจะใช้สีผิวแบ่งแยกได้ ไม่ว่าจะขาวหรือดำ แต่เก่งก็คือเก่ง และคนเก่งก็มีคนต้องการตัวเสมอ และ คันนิ่งแฮม ก็เตรียมจะย้ายทีมครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เพราะทีมที่ต้องการตัวเขาหลังจากพีคสุด ๆ ในช่วงปลายยุค 70s คือ "เรอัล มาดริด" ทีมอันดับ 1 ของลีกสเปน
เรอัล มาดริด โลกอีกใบของแข้งผิวดำ
ก่อนที่เรื่องราวระหว่าง คันนิ่งแฮม และ เรอัล มาดริด จะเกิดขึ้น ทีมราชันชุดขาวไม่เคยมีนักเตะผิวดำเลย เต็มที่พวกเขาก็มีนักเตะชาวบราซิลที่ชื่อว่า วัลดรี "ดิดี้" เปเรยร่า เท่านั้น
นักเตะผิวดำไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่มันขัดกับสิ่งที่ เรอัล มาดริด อยากจะเป็น พวกเขาวางตัวเป็นทีมที่มีแบ็กอัพเป็นสถาบันกษัตริย์อันสูงส่ง นักเตะในทีมต้องมีความเป็นสตาร์ และที่สเปนการเหยียดผิวก็รุนแรงไม่ต่างจากที่อังกฤษมากนัก แฟนบอลของ เรอัล มาดริด เคยเรียก ดาเนียล โคเม่ นักเตะแคเมอรูนของ เกตาเฟ่ ว่า "ไอ้โง่" มาแล้ว นอกจากนี้ยังเคยเหยียดเชื้อชาติของ มาร์เซลินโญ่ บ็องฌาเล่ ที่เป็นชาว อิเควทอเรียลกินี จนสำนักข่าวในอังกฤษอย่าง The Guardian เอามาเขียนถึงในบทความ "The Shame Of Spain"
Photo : talksport
แต่ความเก่งของ คันนิ่งแฮม คือจุดสำคัญที่ทำให้ มาดริด กล้าเสี่ยง ... จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คือการที่ เวสต์บรอมวิช ลงเตะถ้วยยุโรปกับ บาเลนเซีย ที่มี มาริโอ เคมเปส ตำนานกองหน้าชาวอาร์เจนไตน์เป็นดารานำ โดยในเกมนั้น คันนิ่งแฮม ยิงประตูได้ และฉายเดี่ยวกลบรัศมี เคมเปส จนมิด มันพอเหมาะพอเจาะมากที่เกมนี้มีการถ่ายทอดสดมายังสเปน และนั่นทำให้ เรอัล มาดริด ที่เพิ่งพลาดแชมป์ลีกมา ไม่ลังเลที่จะเลือกนักเตะที่สามารถเอาชนะ เคมเปส ได้มาอยู่กับทีม
ค่าตัวของ คันนิ่งแฮม ณ เวลานั้นอยู่ที่ 950,000 ปอนด์ ในวันที่เขาย้ายมาเขาได้ฉายาว่า "เอล เนกริโต้" (เจ้าดำ) ซึ่งคำนี้เองที่ทำให้ เอดินสัน คาวานี่ ดาวยิง แมนฯ ยูไนเต็ด โดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ แบน 3 นัดหลังคุยกับเพื่อนของเขาในอินสตาแกรมเมื่อปี 2021 นั่นแหละ
คันนิ่งแฮม ก้าวเข้ามาและเป็นตัวหลักในทีม โลส บลังโกส ทันที เขาออกสตาร์ทได้สวยสดงดงาม ความเร็วของเขาคือจุดขายในแบบที่นักเตะสเปนเทียบไม่ติด โดยมีเพื่อนร่วมทีมรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ในช่วงแรกที่ คันนิ่งแฮม ย้ายมาว่า "ช่วงเวลาที่โดดเด่นจนทำให้นักเตะคนอื่น ๆ ดูตามหลัง" ว่ากันขนาดนั้นเลยทีเดียว
เกมเปิดตัวใน ลา ลีกา ที่พบกับ บาเลนเซีย นักเตะที่เกิดและโตในลอนดอน ยิง 2 ประตู ช่วยให้ มาดริด เอาชนะ ไป 3-1 และ 2 สัปดาห์ต่อมาเขาก็ทำในสิ่งที่สุดยอดกว่าเดิม นั่นคือการโชว์ศักยภาพในเกม เอล กลาซิโก้ (มาดริด vs บาร์เซโลน่า) ด้วยการยิงอีก 2 ประตู โชว์สกิลใส่กองหลังของ บาร์เซโลน่า จนแฟนบอลของ บาร์ซ่า ต้องลุกขึ้นปรบมือให้ แม้พวกเขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป 1-3 ก็ตาม
Photo : independent
"หมอนี่อย่างกับมนุษย์ไฟฟ้า การเลี้ยงบอลของเขาทำพวกเราแทบคลั่ง เขาไปกับบอลได้เหมือนกับลมพัด ระเบิดฝีเท้าวิ่งได้เร็วเหมือนกับจรวด" มิเกล อดีตกองหลัง บาร์ซ่า ยุคนั้นกล่าว
สำนักข่าว BBC เปรียบเทียบการไปสเปนครั้งนั้นของ คันนิ่งแฮม คล้าย ๆ กับครั้งที่ เรอัล มาดริด คว้าตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในปี 2009 เป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือสามารถสร้างอิมแพ็กต์ผ่านวิธีการเล่น และเป็นคนที่แฟนบอลบางกลุ่มที่เคยแอนตี้ต้องตกหลุมรัก เพราะผลงานที่จับต้องได้ และสามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้เสมอ
3 ปีกับ เรอัล มาดริด คันนิ่งแฮม ลงเล่นไป 66 นัด ยิงไป 20 ประตู ปีแรกคือปีที่โดดเด่นที่สุดเพราะพาทีมคว้าแชมป์ลีก ลา ลีกา และ แชมป์ โกปา เดล เรย์ ได้ทันที อีกทั้งยังเป็นมือเรียกแฟลช เขาเป็นเหมือนสตาร์ของสเปนที่เดินไปไหนก็มีคนลั่นชัตเตอร์ถ่ายรูปรัว ๆ ไม่หยุด
น่าเสียดายที่ความยิ่งใหญ่นั้นไม่สามารถสานต่อได้นานกว่านั้น ชีวิตที่รักอิสระและกินอยู่อย่างสตาร์ที่ผูกติดกับงานปาร์ตี้และการเข้าสังคมของ คันนิ่งแฮม ทำให้ร่างกายของเขาถดถอยเร็วกว่าที่ควร เมื่อย่างเข้าสู่ปีที่ 3 เขาก็เจ็บบ่อยและไม่ได้ลงสนามต่อเนื่อง จน มาดริด ต้องปล่อยตัวเขากลับมาที่อังกฤษ และเป็น รอน แอตคินสัน ที่ ณ เวลานั้น คุม แมนฯ ยูไนเต็ด ยืมตัวมาใช้งานในช่วงปี 1982-83 ซึ่งผลงานก็ล้มเหลวถดถอยตามสภาพ
Photo : whoateallthepies.tv
คันนิ่งแฮม ออกเดินทางตามแบบอิสระชนหลังจากหมดสัญญา ทั้งไปเล่นในสเปนกับ สปอร์ติง กิฆอน, ราโย บาเยกาโน่ ไปเบลเยียม กับ ชาร์เลรัว และเล่นในฝรั่งเศสกับ โอลิมปิก มาร์กเซย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการย้ายทีมปีต่อปีทั้งสิ้น
ปิดตำนานปฐมบทแห่งแข้งผิวดำ
การย้ายทีมบ่อย ๆ ประกอบกับการมีชีวิตนอกสนามที่วุ่นวาย เขามีภรรยาสองคนและมีปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูบุตรที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล จนทำให้เขาต้องขายบ้านที่อยู่ในกรุงมาดริดเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
Photo : twitter.com/nostalgiafutbo1
กระทั่งในปี 1989 ตำนานก็ปิดลง ... ลอรี่ คันนิ่งแฮม ขับรถจากร้านพิซซ่าในกรุงมาดริดขึ้นถนนมอเตอร์เวย์ไปยังเมืองคอรุนญ่า เขาเป็นคนที่ขับรถเร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และบนมอเตอร์เวย์นั้น เขาพยายามจะเร่งเครื่องแซงรถอีกคัน เพียงแต่เขาไม่ทันสังเกตว่ามีรถอีกคันหนึ่งที่จอดชิดริมทางอยู่เนื่องยางแตก
คันนิ่งแฮม ชนก็อปปี้กับรถคันนั้นอย่างแรงและเสียชีวิตคาที่ทันที รายงานของเจ้าหน้าที่ระบุว่า คันนิ่งแฮมมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่าที่กฎหมายกำหนดถึงสามเท่า อีกทั้งยังไม่คาดเข็มขัดนิรภัยอีกด้วย
แม้จะเป็นการตายที่น่าเศร้าและมีช่วงบั้นปลายการค้าแข้งที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ระดับตำนาน แต่ความเป็นปฐมบทของ ลอรี่ คันนิ่งแฮม ก็ถูกจดจำและส่งต่อให้กับคนรุุ่นหลังเสมอ เขาได้รับเกียรติให้สร้างรูปปั้นของเขาไว้ที่ เลย์ตัน บ้านเกิดของเขา เพื่อรำลึกถึงการเปลี่ยนแปลงและการสร้างยุคสมัยที่ทำให้นักเตะรุ่นหลังมีความกล้าและความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเลือกทำ
"นานมาแล้วที่อังกฤษไม่มีปีกอย่าง คันนิ่งแฮม ผมดูมาก็นาน แต่ก็ยังหาใครมาเทียบเขาไม่ได้เลย เขาทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ขณะที่นักเตะคนอื่น ๆ ทำได้แค่ฝันเท่านั้น ... ฟุตบอลเป็นเรื่องของการนำหน้าคนอื่นครึ่งก้าว คุณมองไปที่เขาได้เลย เขานำหน้าคนอื่นในสนามและเพิกเฉยต่อเสียงด่ารอบตัวในแต่ละเกมที่ลงเล่น ซึ่งถ้าเขาอยู่ในช่วงพีคได้นานกว่านี้ เขาอาจจะถูกจดจำในฐานะนักเตะระดับโลกก็เป็นได้" วิฟ แอนเดอร์สัน อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษรุ่นเดียวกันกล่าวแสดงความนับถือ คันนิ่งแฮม ผู้ล่วงลับ
Photo : bbc.com
จากนั้นยุคสมัยก็ได้ส่งต่อ นักเตะผิวดำไม่ถูกมองข้ามอีกแล้วหากเก่งจริง จอห์น บาร์นส์, เอียน ไรท์, พอล อินซ์ และคนอื่น ๆ อีกมากมาย ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน
1
เห็นได้ชัดว่าที่สุดแล้วต่อให้ใครไม่เห็นค่า ไม่เชื่อมั่น และไม่ยอมรับในตัวคุณ มันไม่สำคัญเท่ากับว่าตัวคุณเองเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำขนาดไหน ทะเยอทะยานพอหรือไม่ พร้อมไหมที่จะยอมรับความเจ็บปวดจนกว่าจะประสบความสำเร็จ
ลอรี่ คันนิ่งแฮม ผ่านทุกอย่างมาได้ด้วยความเชื่อมั่นนั้น และนี่คือเรื่องยิ่งใหญ่ที่เขาได้ฝากเอาไว้
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา