31 ต.ค. 2021 เวลา 05:30 • ท่องเที่ยว
แบ็คแพ็ค 7 ประเทศ 1 เดือน (11) - Fly Me to France to the Louvre
3
บรรยากาศด้านนอกพิพิธภัณฑ์ Lourve
วันที่ 14
ออกจาก Hostel ใน St.Peterburg ตอนตี 5 กว่าๆนั่ง Metro ไปลงสถานี Moskovslaya แล้วเดินไปขึ้นรถบัส No.39 เพื่อไป Pulkovo Airport ค่ารถ 40 Ruble
จากนั้นก็นขึ้นเครื่องของ Finnair ไปเปลี่ยน Flight ที่ Helsinki ค่าตั๋วจาก St.Peterburg ไป Paris เฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 5,000 บาท
เราต้องตรวจ Visa ที่ Helsinki เท่านั้น พอถึงสนามบิน Charles de Gaulle ที่ Paris ก็ไม่ต้องตรวจ Visa แล้วเพราะฉันขอ Visa Schengen ไปพอเข้าเขตประเทศ Schengen ก็ไม่ต้องตรวจ Visa อีก
จากนั้นก็ต่อรถไฟเข้าเมือง เดินตามป้าย Paris by Train/RER ไปเรื่อยๆก็จะไปเจอตู้ซื้อ ticket เอง
หน้าตาตั๋วรถไฟจากสนามบินเข้าเมืองจะเป็นแบบนี้ มันจะเป็นกระดาษแข็งใบเล็กๆ ราคา 3.65 EUR ฉันไปลงสถานี Gare du Nord มันเหมือนสถานี Air Port Link พญาไทของเมืองไทย ที่ถ้าลงสถานีนี้แล้วก็จะสามารถต่อ Subway ไปยังสถานที่ต่างๆใน Paris ได้
1
ตั๋วกระดาษจากสนามบินเข้าเมือง Paris
การเดินทางด้วย Metro ในนคร Paris จะใช้บัตรที่เรียกว่า Navigo ตอนซื้อบัตรเราเลือกได้ว่าจะใส่เที่ยวเขาไปในบัตรกี่เที่ยว ฉันซื้อแบบ 10 เที่ยว ประมาณ 15 EUR
1
แล้วจากนั้นก็ใช้วิธีเติมเที่ยวที่ตู้เอา เราเลือกได้ว่าจะเติมเที่ยวเข้าบัตรกี่เที่ยว หลังจากนั้นก็แค่แตะบัตรเข้าออกสถานีเหมือนขึ้น BTS เลย แต่บัตรนี้มันใช้ได้แค่ในตัวเมือง Paris ถ้าจะออกไปข้างนอกเช่นถ้าจะไป Versailles ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม
ตั๋ว Navigo Easy Pass
จากนั้นก็ใช้บัตร Navigo นั่ง Metro จากสถานี Gare du Nord ไปสถานี Couronnes ที่อยู่ใกล้ Hostel Les Piaules ที่ฉันพักที่สุด
เก็บของเสร็จก็ไปนั่ง Metro ไปสถานี Chap de Mars Tour Eiffel เพื่อไปชมหอ Eifel
หอ Eifel ระยะไกลที่ถ่ายจากรถไฟ
หอ Eifel ระยะใกล้
ฉันอยู่ที่หอ Eifel ไม่นานเพราะไม่ได้ซื้อตั๋วขึ้นไปด้านบน แค่เดินเล่นรอบๆ ซึ่งคนเยอะมากเพราะนักท่องเที่ยวมาจากทุกประเทศ มันเลยวุ่นวาย คนเที่ยวก็เยอะ คนขายของก็เยอะ
ส่วนสนามหญ้าด้านหน้าหอ Eifel ก็มีคนฝรั่งเศสมาจับจองที่นั่งเพื่อปิกนิคกับเต็มทุกตารางฟุตเลยทีเดียว
นึกถึงบทความที่เคยอ่านเจอเลยว่าสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆที่เราเห็นในรูป ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้สวยขนาดนั้น แล้วมันก็จะเต็มไปด้วยคนที่แย่งกันถ่ายรูปซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริงๆ
วันนี้เลยอยู่ที่หอ Eifel ไม่นาน แค่หาอะไรกินแล้วก็กลับ Hostel
ก่อนกลับก็แวะซื้อน้ำแวะซื้ออาหารที่ Super Market ใกล้ๆเอาไว้เป็นเสบียง
พรุ่งนี้จะไป The Louvre
วันที่ 15
ออกจากสถานนี Palais-Royal Musee du Louvre เดินออกมาก็จะเจอฐานด้านใต้ของพิรามิดแบบนี้ สวยไปอีกแบบ
1
พิระมิดกระจกกลับหัว
ฉันไม่ได้ซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้า เพราะคิดว่าถ้าไปถึงแต่เช้าตั๋วคงไม่เต็มหรอกมั้ง แต่พอไปถึงก็เห็นแถวนักท่องเที่ยวต่อคิวกันยาวเหยียดแล้ว
จะมีเจ้าหน้าที่คอยนับจำนวนว่ามันเกินจำนวนที่เขาจะรับต่อวันรึยัง ตอนนั้นลุ้นมาก
แล้วสรุปก็คือตั๋วหมดแล้ว เซ็งมากเพราะอุตส่าห์มาถึงที่แล้วแต่ดันไม่ได้เข้า นี่ Louvre เลยนะ Hi-light ของทริป Paris เลย
ถ้าวันนี้ไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์มันจะผิดแผน เพราะวันอื่นๆก็มีแพลนไปที่อื่นไว้หมดแล้ว
แถวคนต่อคิวซื้อตั๋ว
แต่ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดี คือมีร้านขายของในพิพิธภัณฑ์นี่แหละเขามี Paris Museum Pass ขาย ซึ่งก็เหลืออยู่ไม่กี่เล่ม
ฉันหาข้อมูลไว้แล้วว่าเราสามารถซื้อ Paris Museum Pass ได้ การซื้อแบบนี้จะเข้าพิพิธภัณฑ์ใน Paris ได้หลายที่เลย แต่ประเด็นคือมันแพงเกินไปเพราะว่าฉันอยากเข้าแค่ The Louvre คือตั๋วเข้า The Louvre ราคา 17 EUR ตก 650 บาท
แต่ Paris Museum Pass ที่เหลืออยู่ที่ร้านเป็นแบบ 4 Days Pass ราคา 66 EUR หรือ 2,500 บาทไทย ตอนนั้นคือแบบกัดฟันซื้อมากๆ น้ำตาจะไหล จาก 650 บาท กลายเป็น 25,00 บาท
แต่ตอนนั้นก็ต้องยอมเพราะไม่งั้นคงไม่ได้เข้า Lourve เพราะวันอื่นจะมีแพลนอย่างอื่นไว้หมดแล้ว
นี่หน้าตา Museum Pass เป็นแบบนี้ มันจะเป็นกระดาษพับซ้อนกันหลายๆชั้น แล้วก็มีข้อมูลของพิพิธภัณฑ์ต่างๆที่เราจะสามารถเข้าชมได้อยู่ด้านใน
Paris Museum Pass 4 Days Pass
จะว่าไปถ้ามีเวลาแล้วตั้งใจมาดู Museum ต่างๆ แนะนำให้ซื้อตั๋วแบบนี้นี้เลย เพราะมันสามารถเข้าได้ถึง 55 Museums เลย
ในที่สุดก็ได้หลุดเข้ามาภายในพิพิธภัณฑ์ ภายในอาคารออกแบบไว้ดีมากคือแสงแดดทะลุกระจกมาให้ความสว่างด้านในอาคาร แล้วทำให้เกิดเงาเส้นทะแยงบนพื้น มันดูดี สถาปนิกออกแบบเก่ง
เรื่อง Museum สวย ต้องยอม Paris เลย
ด้านในอาคารพิพิธภัณฑ์ส่วนด้านหน้า
ข้างในอาคารกมีหลายชั้น มีทั้งชั้นบนและมีชั้นใต้ดิน โดยการจัดแสดงงานศิลปะจะแบ่งเป็นชั้นต่างๆ ซึ่งงานที่แสดงตามชั้นต่างๆ ฉันเดาว่ามันอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนได้
ฉันคิดว่าถ้าจะเดินดูงานศิลปะใน Louvre ให้ละเอียดไม่ต้องรีบเร่งควรมีเวลาอย่างน้อย 2 วันเต็มๆเพราะแต่ละชั้นพื้นที่เยอะมาก เอาเป็นว่าฉันหลงอยู่ 2-3 หนได้ หลงข้างใน Louvre นั่นแหละ หาจุดที่ต้องการไม่เจอ เดินวนไปวนมาอยู่นั่น
แต่ละชั้นก็จะจัดแสดงงานศิลปะที่แตกต่างกัน
ััด้านในพิพิธภัณฑ์​บางส่วนก็ยังมีโครงสร้างแบบยุคเก่าอยู่ คือด้านหน้าทางเขามันจะมีความ modern แต่ส่วนนี้คือดูแล้วเหมือนวิหารสมัยก่อน
เดินเข้ามาก็จะเจอโครงสร้างแบบโรมัน
แกะสลักหินอ่อน คาดว่าเป็นเหล่าทวยเทพกรีก
แล้วก็มาถึงภาพ Monalisa อันโด่งดัง กว่าจะได้รูปนี้มาได้ไม่ง่ายเลย เพราะในห้องนั้นมีนักท่องเที่ยวเยอะ แล้วภาพโมนาลิซ่าก็อยู่ไกล ต้องซูมเข้าไปแล้วก็หามุมถ่ายหลบหัวคน
พอมาเห็นแล้ว ส่วนตัวรู้เฉยๆกับบภาพนี้นะ คงเพราะฉันชอบภาพสวยๆมากกว่า
ภาพ Monalisa ที่ดังเพราะเกิดถกเถียงกันขึ้นมาว่าสรุปเธอกำลังเศร้าหรือกำลังยิ้มกันแน่
Monalisa by Leonardo da Vinci
อันนี้เหมือนจะเป็นภาพจำลองเหตุการณ์ French Revolution เมื่อปี 1830
Liberty Leading the People by Eugène Delacroix
นอกจากภาพวาดก็มีงานประประติมากรรมให้ชมหลากหลายรูปแบบด้านซ้ายงานประติมากรรม 2 มิติรูปเทพี Artemis เทพีแห่งการล่าสัตว์ ส่วนด้านขวาก็เป็นมงกุฎยุคโบราณ
รูปปั้น 2 มิติและมงกุฎ
ด้านล่างจะมีภาพวาดที่วาดอยู่บนถาดกระเบื้องเคลือบแล้วก็ภาพวาดสีน้ำมัน
มาแวะดูภาพวาดอื่นๆกันบ้าง
โซนด้านชั้นใต้ดินเป็นโซนอียิปต์ ดีเหมือนกันเพราะฉันยังไม่ได้ไปอียิปต์เลย ก็ได้มาเห็นโลงศพมัมมี่ของจริงที่นี่
เสร็จจาก The Louvre เราก็ไป Museum d'Orsay กันต่อ เป็นอีกหนึ่ง Art Museum ที่มีชื่อของ Paris ด้านหน้าเราก็จะเจอรูปปั้นสิงสาราสัตว์ ขอถ่ายรูปพี่แรดมาให้ชม
ด้านในก็จะเจองานศิลปะหลายรูปแบบเหมือนที่ The Louvre แต่จะเดินง่ายกว่า เพราะพื้นที่ไม่เยอะเท่า Louvre และฉันรู้สึกว่างานศิลปะของที่นี้ดูสวยกว่าที่ Louvre
แต่อาจจะเป็นเพราะว่าที่ Louvre ชิ้นงานมันเยอะมาก ดูจนตาลายไปหมด
ด้านล่างเป็นผลงานแกะสลักหินอ่อนที่ฉันชอบมาก คือศิลปินแกะหินอ่อนออกมาได้เหมือนคนจริงๆเลย เหมือนหินมันมีชีวิต
ด้านซ้ายภาพวาด portrait ของ Van Gogh ด้านขวาก็งานสไตล์ Impressionism เหมือนกัน
หมดวันแล้วก็ถือว่าได้เดินชม Museum แบบจุใจ ของดีเมือง Paris คือพิพิธภัณฑ์และ Art Gallery
Paris ดู High Culture ก็เพราะว่าเป็นแหล่งรวมงานศิลปะเจ๋งๆไว้เยอะแยะแบบนี้นี่แหละ
เสียดายที่ Paris เต็มไปด้วยผู้คน วุ่นวาย เหมือนกรุงเทพฯเลย แล้วเมืองมันมีแหล่งเสื่อมโทรมเยอะ นักท่องเที่ยวเยอะ ผู้อพยพก็เยอะ
สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดก็คือตอนที่เดินใน Subway แล้วได้กลิ่นฉี่ ได้กลิ่นจนเป็นเรื่องปกติ มันทำให้ภาพลักษณ์ที่ว่า Paris เป็นเมืองอันแสนโรแมนติกมะลายหายวับไปในพริบตา
พรุ่งนี้ไปเที่ยวต่อแต่พรุ่งนี้เป็นวันแห่งความโชคร้ายของฉัน รู้สึกว่าชะตาฉันไม่ต้องกันกับเมือง Paris สักเท่าไร
อ่านทริป9องวันถัดไปคลิกชิงค์ด้านล่างได้เลย
โฆษณา