26 ต.ค. 2021 เวลา 08:47 • ปรัชญา
ฝึกกายสอนจิต กรรมย้อนกรรม ธรรมสะกิดให้คิดพิจารณา การใช้จิตพูด
..ไม่ต้องไปหาธรรมที่ ไหนหรอก แต่ว่า..มาตอนนี้ทำยังไง เราไม่สามารถจะกระทำได้ เราก็หาอาจารย์นอกชี้ คอยสะกิดจิต คอยสะกิดเราตลอดเวลา แต่การสะกิดแต่ละครั้งนี้ คนที่เค้าสะกิด เค้าต้องสะกิดแรงๆ เปรียบเทียบแรงๆ เหมือนฟ้าผ่ามาเลย เราต้องทนนะ ทนฟัง..ฟังแล้ว เราก็ไปคิดพิจารณา เรามีปัญญานี่ เราก็ไปพิจารณาเกิดขึ้น แต่นี่เราฟังแล้ว..นี่มาว่าฉัน ตำหนิติเตียนฉัน ฉันไม่เอาแล้ว ฉันหนีเลย หนีธรรม ไปหากรรม เท่านั้นเอง..ง่ายๆ
เมื่อนำกาย ที่กล่าวว่ากายบิดามารดา อนุโมทนามาสร้างบุญ บุตรก็กรุณาให้กายนั้นเป็นกายบุญเกิดขึ้น การบิดามารดาของเราอาศัย เราก็ส่งกายนี้ ส่งคืนต้นสังกัด บิดามารดาของเราก็ได้บุญกุศลเกิดขึ้น ได้กายบุญเกิดขึ้น แล้วสิ่งที่เรามองไม่เห็นว่า สิ่งที่เราอธิษฐาน ให้กับผู้ที่เราทำมา กล่าวคำอธิฐานมาแต่ต้น ได้เปิดเรื่องราวต่างๆ กับศูนย์ เปิดจิตเปิดนามธรรมขึ้นมา เพื่อจะเรียกดวงจิต ดวงนั้นมาอนุโมทนาเกิดขึ้น เค้าก็อนุโมทนาเกิดขึ้น จิตที่มีกุศลในครั้งนี้ ทำให้เป็นจิต ที่กำลังเดินทางไปสร้างบารมี หนีกรรม แล้วก็เป็นจิตที่กำลังปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นในขณะนี้ ในการปฏิบัติธรรม คือ ทำให้กายนิ่ง เหมือนกับจะให้หลุดพ้นจากบ่วงของกรรม มีทั้งกรรมดีกรรมชั่ว ไม่มีทั้งดีและชั่ว ก็ไม่ต้องเกิด ถ้ายังมีดีมีชั่วก็ต้องเกิด เพราะฉะนั้น ทำจิตทำกายให้นิ่งจิตเฉยเข้าไว้ นั่นแหละ คือจิตพระนิพพาน จิตไม่มีอะไรจะใช้อีกแล้ว
เราเกิดมาก็อยู่แค่นี้เอง เพราะเกิดมา จิตไม่รู้เรื่อง เรื่องราวว่าเกิดมาทำไม เกิดมาเรื่องราวอะไร วิ่งกันอย่างเดียว คือ วิ่งหาเงินหาทอ หายศฐานบรรดาศักดิ์ หาบ้านใหญ่ หาที่หลับที่นอน หาเรื่องกิน วุ่นอยู่กับเรื่องกิน เรื่องนอน เท่านั้นเอง ก็หากันเป็นการใหญ่เลย แต่แค่นอนก็หากันเสียใหญ่โต เรื่องกินก็หาเรื่องกินใหญ่โต แล้วไปสำรวจตรวจสอบดู กลายเป็นแค่อิ่ม แค่หลับเท่านั้นเอง ไปดูคนที่เค้าหลับ หลับที่แสนจะลำบาก หลับอยู่ที่ข้างถนนบ้าง หลับอยู่ที่ใต้ต้นไม้บ้าง อยู่ที่เฉอะแฉะบ้างอะไรต่างๆเนี่ย เค้าก็หลับ เราวิ่งหาที่หลับที่นอน วิ่งหาแทบตายก็หลับเหมือนกัน ดีไม่ดี มันนอนดีเกินไปเลยไม่หลับว่าอย่างงั้น
เหมือนกับองค์พระสิทธัตถะนี่ ห้อมล้อมด้วย เหล่าบริวาร เหล่าขุนนางต่างๆ เค้าเรียกกัน ห้อมล้อมมาแต่งห้องที่หลับที่นอนอย่างดี มีน้ำหอมน้ำอบ ปรุงแต่งอย่างดีอย่างงามเกิดขึ้น องค์พระสิทธัตถะ ท่านนอนแล้วบอกว่า นี่..คือกรรม นอนด้วยความโง่ ท่านไม่อยากนอน นอนที่มีธรรมมายาให้หลงใหล ในกลิ่นหอม กลิ่นน้ำปรุง แล้วที่หลับที่นอนอย่างดีที่งาม เห็นแล้วว่ามันเป็นกรรม แล้วก็นอนหลับที่โง่ไปเลย คือไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะมันนอนอย่างดี ก็เลยไม่มีสติที่จะรับรู้อะไร..หลับ แล้วก็ลงไปนอน ท่านไม่ลงนอนที่นอนท่านก็ลงนอนกับพื้นดูบ้าง ท่านก็หลับ แต่ก็หลับด้วยมีความรู้สึกว่า เออ..ฉันยังมีความรู้สึกว่าอะไรเป็นอะไร นอนที่นอนดีๆ ทำไมมันหลับไม่รู้เรื่องเลย
นั้นแหละ .ท่านจึงหนี ..หนีสิ่งที่เป็นมายาเกิดขึ้น หนีสำรับกับข้าวที่แสนอร่อย หนีจาก๕นที่มาปฏิบัติพัดวีต่างๆ มองแล้วเห็นว่าเป็นกรรมทั้งหมด ท่านก็เลยหนี หนีไปอยู่กลางป่า ไปทำไม เพื่อหนีความทุกข์นั้นเอง
คราวนี้ ย้อนมาถาม ญาติโยมที่อยู่ที่นี่ เคยหนีความทุกข์มั้ย กลัวจะหนีความทุกข์ นี่แหละ คือ สุขของเรา แต่ทุกข์วันข้างหน้า คือ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย นอนหลับปุ๋ย
ดูเอา..พระสิทธัตถะ ท่านเอาใบไม้มาปูมานอน แล้ว..งูเงี้ยวเขี้ยวขออะไรต่างๆ..เลื่อยมา ท่านก็ได้ยิน ท่านก็รู้..รู้ว่ามีสัตว์มา แต่เรานอนหลับ อยู่ที่ดีที่งาม มีใครมาตีหัวก็ไม่รู้ นั้นก็คือ ความฉลาดขององค์พระสิทธัตถะท่าน ฝึกเรื่องราวของกายก่อน ให้กายสอนจิต ท่านก็ค่อยๆสอนมาทีละนิดๆ ที่สรุปให้ฟังนั้นนะ ที่จริงรายละเอียด มันมีมากกว่านี้ กายสอนจิต..ว่ากายฉลาดต้องทำอย่างไร ให้กายสอนจิต ว่านี่คือ ความลำบาก ลำบากแล้วต้องระมัดระวังอย่างไร ความทุกข์ของกาย ใครคือทุกข์ กายทุกข์หรือ อารมณ์ทุกข์ ท่านก็สำรวจตรวจสอบเรื่องราวของกายกับอารมณ์ ปรากฏว่า กายสำหรับไว้ใช้เท่านั้น อารมณ์เป็นผู้สั่งการ ให้กายเป็นไอ้โน้นไอ้นี่เกิดขึ้น แม้แต่การเจ็บปวด ก็เกิดจากอารมณ์ หรือว่าให้มีความสง่างามเกิดขึ้น จากเรื่องราวต่างๆของกายก็อารมณ์ทั้งนั้น
อารมณ์ใช้สั่งมาจากทางจิต ไม่ใช่อารมณ์สั่งกายได้น่ะ คราวนี้จิตไม่ได้ศึกษา อะไรเลย ก็ยังโง่อยู่นี่ ก็สั่งกายให้ทำไอ้โน้นไอ้นี่ อย่างนั้นอย่างนี้เกิดขึ้น ไอ้ที่คำว่า อารมณ์ทำให้กายเจ็บป่วย ก็มาจากแม่ทั้งสี่ มันจะเป็นสีดำมาจาก แม่ทั้งสี่นี่นะ แล้วมีอารมณ์เป็นตัวกระทำออกมา แล้วก็เป็นเชื้อโรคเข้าไปในสังขารอีกที ส่งไปให้จิต จิตก็ส่งไปให้กายอีก กายต้องรับทุกข์ทรมานเกิดขึ้น แต่นั้นเป็นจิต ที่สูงขึ้นไป ญาติโยมอาจจะทำไม่ถึง เรื่องราวของสีที่ออกไปจากแม่ทั้งสี่
เพราะฉะนั้น เราก็ค่อยๆ กระทำไป ทำง่ายๆ ไม่ยากเย็นอะไร ทำให้กายมันนิ่งจริงๆ เหมือนพระสิทธัตถะที่อยู่กลางป่า ที่ท่านไม่กลัวอะไร เพราะกายนั่งนิ่งๆ จิตเฉยๆ จิตไม่คิดอะไร อารมณ์มันเข้ามาว่า เสือช้างมันจะมา อารมณ์มันปรุงแต่ง รีบหนีเข้าช้าง เสือช้างจะมา ..จิตมันเฉย จิตไม่รับอารมณ์ จิตกลัวเสือช้างกลัวอะไร..ไม่กลัว..เฉย พอจิตเฉย..มันก็มีแสงซิ แสงจากจิต คราวนี้เสือช้างต่างๆเข้ามาหาองค์พระสิทธัตถะ จิตนั้นต้องร้องครวญครางวิ่งหนีแสงของธรรม
แล้วก็ญาติโยมทำบ้างซิ ทำให้เป็นแสงจิตเฉยให้ได้ จิตนิ่งเฉยๆไม่คิดอะไรเลย
พอจะคิดไม่เอา นั้นคืออารมณ์ นั้นคือกรรม ทำให้มันเข้มแข็งเข้า พอจิตมันเฉย..ความเจ็บปวดไม่มีหรอก ตัวเชื้อโรคต่างๆ มันหนีกันหมด ที่เค้ามีกันอยู่ปัจจุบันนีก็ไม่มี
สิ่งทั้งหลายที่เป็นกรรม เจ้าเวรนายกรรมจะเข้ามาราวี หรือจะมาบั่นทอนเรื่องราวต่างๆ ความเจ็บป่วยของเราก็ไม่มี มาไม่ได้เพราะถูกแสงของธรรมตัดออก แต่ว่าเธอต้องตายมั้ย ต้องตายเพราะสัญญา ต้องเป็นสัญญา สัญญาอยู่ที่ไหน อยู่ที่แม่ทั้งสี่ทั้งหมด มีหมดเลยทุกอย่าง จะไปทางไหน มาทางไหน แม่ทั้งสี่เป็นผู้บันทึกไว้หมดทุกอย่าง จะเกิดมากี่วันกี่ปี แม่ทั้งสี่มีหมด คราวนี้เรามองไม่เห็น
คราวนี้ เราอยากจะรู้ว่า เราจะตายเมื่อไหร่ จะไปเป็นอะไร โน้น..วิ่งไปหาความโง่ ไปหาหมอดูหมดดูก็ดูไปเรื่อย วันนั้น วันี้อะไรต่างๆ จริงบ้างไม่จริงบ้าง อุปโลกน์ขึ้นมา ทำไมไม่ค้นเล่าตัวเราน่ะ เราทุกข์..ทุกข์เรื่องอะไร ค้นซิ จับตนค้นตน..ที่แม่ทั้งสี่นี่ เราจะรู้จักเลยว่า เวลาเท่านั้นเวลาเท่านี้ เราจะมีอะไรเกิดขึ้น อารมณ์มันจะบอกเอง เราจะไปตรงโน้น เราจะต้องไปเจอคนนั้นคนนี้ แม่ทั้งสี่เป็นผู้บอกเอง ลองศึกษาดู ดูแม่ทั้งสี่เนี่ย สมมุติว่าเราจะไปตลาดว่างั้น จะไปเจอใครบ้าง เรามองไปที่แม่ทั้งสี่ ความนึกคิด อุปโลกน์ขึ้นมา ว่าจริงไม่จริง ลองพิจารณาดู แล้วรายเอียดต่อไป ธรรมที่จะสอนนี่ เค้าให้รับรู้ก่อน แล้วต่อไปต้องให้ละเอียด แล้วเค้าถึงจะบอกเรื่องราวของธรรม ที่เกิดขึ้นเหมือนกับ กลับกันว่า เราอยู่ที่บ้าน เรามีคนรับใช้ ดุด่าคนใช้ว่าอย่างงั้น
คราวนี้ เราอยู่ปฏิบัติธรรม ธรรมเค้าสอนเราเลย พอเราไปทำงานทำการ หรือเดินออกจากบ้านไป ก็จะมีคนที่ไม่พอใจเรา บางทีเค้า..อยู่ๆดีๆ เค้าก็มาด่าเรา ว่าเราอย่างโน้นอย่างนี้ ที่จริงๆเค้าไม่ได้ว่าเรา หูเรามันได้ยิน ต่อหน้าต่อตาเรา เราก็นึกว่า เค้าว่าเราด่าเรา แต่เราก็ไม่รู้ เราก็ชักโมโห ขึ้นมาอะไรต่างๆ ไม่พอใจ
นั่นแหละ กรรม ที่ธรรมเค้าสอนให้ นี่…กรรมย้อนกรรม..ให้เราดู แต่เราก็ไม่รู้ เพราะการศึกษาเรื่องอารมณ์ตัวกระทำ เราไม่ศึกษากันเอง อยู่ภายในของเราเนี่ย..ธรรมะ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก วิ่งกันหูดับตาแตก ก็อยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น แก้ไขก็อยู่ที่ตัวเรา จะดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่ตัวเรา ไม่สำราญตรวจสอบเอง อยากจะไปทางไหน หรือจะหลุดพ้น ก็อยู่ตรงนี้ อยู่ภายในแม่ทั้งสี่ของเราเนี่ย..จับตนค้นขึ้นมา เดี๋ยว..ก็รู้ ธรรมมะอยู่ตรงนี้ พระพุทธเจ้ามีใครไปสอนท่าน ท่านก็ค้นจากภายในกายของท่านเอามา แล้วปลดเปลื้องเรื่องราวต่างๆจนหมด ปัดขี้ฝุ่นความเลอะเทอะ จากแม่ทั้งสี่ที่ ติดอยู่แม่ทั้งสี่ออกหมด
คราวนี้ก็ สะอาดหมดแล้ว ไม่มีหน้าที่ ที่จะมาทำงานเรื่องนี้อีกแล้ว ท่านก็ไม่ต้องเกิด ก็สำเร็จไป ไปอยู่พระนิพพานไป เห็นมั้ย ไม่ต้องไปหาธรรมที่ ไหนหรอก
แต่ว่า..มาตอนนี้ทำยังไง เราไม่สามารถจะกระทำได้ เราก็หาอาจารย์นอกชี้ คอยสะกิดจิต คอยสะกิดเราตลอดเวลา แต่การสะกิดแต่ละครั้งนี้ คนที่เค้าสะกิด เค้าต้องสะกิดแรงๆ เปรียบเทียบแรงๆ เหมือนฟ้าผ่ามาเลย เราต้องทนนะ ทนฟัง..ฟังแล้ว เราก็ไปคิดพิจารณา เรามีปัญญานี่ เราก็ไปพิจารณาเกิดขึ้น แต่นี่เราฟังแล้ว..นี่มาว่าฉัน ตำหนิติเตียนฉัน ฉันไม่เอาแล้ว ฉันหนีเลย หนีธรรม ไปหากรรม เท่านั้นเอง..ง่ายๆ
อย่างมาหาอาตมาเนี่ย โอ้ว..ชี้เรื่องราวของธรรม ..ใช่มั้ย เค้าก็บอกให้ฟังเท่านั้น เค้าไม่ได้มาชี้เป็นชี้ตายอะไร เค้าให้เราไปคิดพิจารณาว่า สิ่งเราได้ฟังเป็นเรื่องจริงมั้ย แก้ไขไดมั้ย ยุติหรือยัง ถ้ายังไม่ยุติเรื่องกรรม เราก็ต้องได้รับกรรมแน่ ทุกข์ทรมานแน่ ทำไมไม่พิจารณา เรื่องราวเหล่านี้ อยู่ไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง มันก็แก่เฒ่าชราไปทุกวัน ความเจ็บป่วยมันก็เกิดขึ้น เกิดจากกรรมทั้งนั้น
กรรมก็อยู่ที่แม่ทั้งสี่นี่ แม่ทั้งสี่ก็พา พาเรื่องราวต่างๆ ไปกอบโกยมา ตะกรุด ผ้ายันต์บ้าง เงินทองบ้าง อะไรบ้าง สรรเยินยอมา โอ้ว..ไม่ได้..พอถูกตำหนิหน่อย..เสียใจ แล้วใครทำ โกย..เข้ามาแล้วไม่ระมัดระวัง ในการที่เอาเข้ามา เห็นเป็นเพชรเห็นเป็นทอง รีบโกยเข้ามาใหญ่เลย แต่ไม่รู้ว่า เอาเข้ามาทำไม เอามาเป็นทุกข์ใช่มั้ย..ใช่ กลัวขโมยบ้าง กลัวคนนั้นจะมาแย่ง ซุกไปเถอะ เดี๋ยว..วางตรงโน้นตรงนี้ บังเอิญ..ซุกจนลืมไปหมดแล้วว่าว่าตรงไหน นั้นแหละ คือกรรมอย่างหนัก แล้วนั่งทุกข์ ทุกข์ทรมานจิตใจ เสียดายเงินเสียดายทอง ไม่ไม่รู้ไปเก็บตรงไหน มีคนขโมยไปอย่างโน้นอย่างนี้ กลายสติเสยไปเลย เค้าวิ่งไปเอาหากรรม ใส่ตัวมันถึงมามีกรรม ไปหาบุญบารมีไม่เอา..กลัว.กลัวจะไม่มีทุกข์ ต้องวิ่งไปหาทุกข์
พูดถึงเรื่องราวของความทุกข์ เรื่องราวที่จะหนีทุกข์ โดยมากเค้าก็ไปหาเกจิอาจารย์ หาผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ตรงนั้นศักดิ์สิทธ์ ตรงนี้ศักดิ์สิทธ์ ตะกรุดผ้ายันต์ที่มาช่วยเหลือ ขอย้อนกลับไปอีกนิกหนึ่งว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ องค์พระเทวทัต ท่านเป็นญาติกัน ทำไมไม่ช่วยพระเทวทัต ไม่ให้ตกนรกล่ะ เทวทัตตกนรก แล้วพระพุทธเจ้าไปไหน เข้าพระนิพพาน ทำไมไม่ดึงพระเทวทัตไม่ให้ตกนรก ท่านได้แต่ชี้ เรื่องราวเหตุผลให้ฟังเท่านั้น ไม่ได้บังคับ เพราะจิตของเทวทัตใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า ท่านได้แต่ชี้ให้ฟัง แต่พระเทวทัตไม่เอา ไม่เอาก็ลงนรกไป เห็นมั้ย
ก็เหมือนกัน มาถึงสถานที่นี้ สร้างบุญสร้างกุศล สร้างบารมี ท่าของบุญท่าของบารมี สถานที่เค้าสร้าง ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจ ไม่มีเวลา เค้าบอกว่า ดีน่ะ ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ขึ้นสวรรค์ชั้นวิมานต่างๆ ต้องทำเองนะ จะไปจ้างใครเค้า สร้างวิมานชั้นฟ้าก็ไม่ได้ เราต้องสร้างของเราเอง ก็ไม่เอา ก็เชื่อ.
เชื่อทางโลก สร้างเกจิอาจารย์บ้าง สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง ไปสร้างวิมานชั้นฟ้า แต่ไม่ได้บอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปปิดประตูนรกให้ ประตูนรกก็เปิดหลา คอยต้อนรับเราตลอดเวลา วิมานชั้นฟ้าก็ไม่มี มีแต่ประตูที่อบายภูมิ เดินเข้าไปอยู่ในนั้น
สิ่งทั้งหลายนี่ ธรรมะ พระพุทธเจ้า..ท่านให้ดูเรื่องราวของเรา เอาคนอื่นเค้ามาศึกษาเหมือนกันดูเค้าน้อยๆ แล้วมาดูนิสัยเรามากๆๆ เกิดมาเพื่ออะไรกันแน่
ขอย้อนอีกที เกิดมาเพื่ออะไร ต้องการเงิน ต้องการความสวยงาม ต้องการ การยกย่องสรรเสริญอะไรต่างๆ แล้วมันหยุดความแก่ ความเจ็บมั้ย มันหยุดไม่ได้ แล้วความตายก็หยุดไม่ได้ ตายแล้วเอาอะไรไปได้บ้าง มีแต่หมกมุ่นเรื่องราวของกรรม หยุดซะ หันมาสร้างจิตสร้างใจให้เป็นธรรมเถิด มีเวลาเหลือน้อยแล้ว แม้แต่เกิดมากระแว้ๆ ก็แปดสิบปีร้อยปีก็ตาย เวลานิดเดียว แต่เวลาไปอยู่อบายภูมิเนี่ย เป็นเท่าไหร่ เป็นพันปี หมื่นปีแสนปีเกิดขึ้น แล้วทรมานขนาดไหน แล้วอยู่แปดสิบปี เวลามันนิดเดียว เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ยังไงก็ต้องตาย แล้วของที่มีอยู่นี่ เอาไปได้มั้ย เอาไปไม่ได้ ไม่มีใตรช่วยได้
เนี่ย..ทกคนที่มา มานั่งทำบุญ สร้างกุศลกัน แล้วมานั่งกายนิ่งๆ เวลาจิตออกจากร่าง นึกถึงวันนั้นๆ ทำพุทโธๆ แล้วถวายสร้างบุญสร้างกุศล จิตก็ไปกับพระเลย
แต่ไอ้นี่ ไม่อย่างงั้น พอจิตจะออกจากร่าง วัวควายฉันยังไม่ได้ผูก บ้านฉันก็ยังใหญ่ ทองหยองฉันก็มี จิตก็ไปอยู่พัวพันอยู่อย่างงั้น ก็ไปอบายภูมิ มันอยู่กับโลภโกรธหลง เอามั้ย..ไม่เอา ถ้าจะหนีก็รีบๆซะนะ แค่แปดสิบปีร้อยปีเท่านั้นเอง นั่งกันอยู่อย่างนี้ ปวดเมื่อยแทบตาย ทุกข์ทรมาน น่าสงสารมั้ย ไม่น่าสงเลย ถ้าเกิดตกไปพลัดไปอยู่ในสังขารหมูหมาเป็ดไก่จะทำอย่างไร มันไม่น่าสงสารกว่านี้หรือ ทนอย่างนี้ เพื่อจะยกตน ค้นตนพ้นจากกรรม ให้มีจิตเป็นธรรม ไม่ดีกว่าหรือ ที่เราจะไปวันข้างหน้า
เรารู้แล้วว่า ตายมันไม่สูญ กายมันก็ไม่สูญ กายมันเป็นขี้เถ้าเท่านั้น ก็เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นทรายอะไรต่างๆ แล้วก็มาก่อเป็นตัวเป็นตัวเราอีก มันไม่ได้สูญไปไหน ไม่ได้จิตมันสูญ พระพุทธเจ้าหมีพระอรหันต์ก็มี จิตต่างๆก็มี แล้วเราตายไปแล้ว ออกจากร่าง เราก็ไปอย่างนั้นเหมือนกัน จิตไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้อะไรต่างๆ ไม่กลัวหรือ ไม่กลัวจิตเราต้ิงลำบากอีก
แล้วโลกที่เราผ่านมาตั้งแต่ลืมตากระแว้ บรรลุนิตภาวะเราได้อะไรบ้าง ได้กินกับนอน จิตนี้ไปสร้างเรื่องราวโลภโกรธหลง เมื่อไหร่เราจะเลิก เราถามตัวเอง ไม่ใช่ให้อาตมาไปถามนะ นี่พูดให้ ชี้ให้ฟัง เมื่อไหร่ เราถึงจะหยุดสักทีโลภโกรธหลง ทิฐิเห็นตัวเองดีแล้วนี่ เมื่อไหร่เราจะหยุด ถึงจะเลิก ไอ้สิ่งเหล่านี้ พาเราจมอยู่ในอบายภูมิ เค้าหลอกเรา เค้าให้มายาต่อเรา เห็นมั้ยเมื่อก่อนมีคนสรรเสริญเยินยอเรา เดีนี้มีมั้ย เจอหน้าเรา แทบจะไม่ทักก็มี เอ้า..เพราะอะไร เพราะเค้ามีชื่อเสียง เกียรติยศใหญ่โตขึ้น เค้าไม่รู้จักเสียอีกแล้ว
โลกเรื่องราว มันกลับไป กลับมา แล้วเราเป็น ..จะยังเชื่ออีกหรือว่า โลกสิ่งที่เราอยู่เป็นของจริง มันของหลอกทั้งนั้น แต่หลอกให้เราสร้างทำความดี ให้ปลดเปลื้องเรื่องราวของอารมณ์กรรม ตัวกระทำแต่เราไม่ศึกษาเอง แล้วเดี๋ยวเรา ชาติต่อไป มันจะจมไปๆ ..ไม่เป็นไร ลูกฉันบวช เป็นพระเป็นชี เดี๋ยว..เค้าช่วยเราได้ ช่วยเฉพาะกาย เอาล่ะ ไม่ตกนรกบ่ะ ดึงจากนรกขึ้นมา เกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่ แล้วเกิดไป อีกชาติหนึ่งเป็นมนุษย์ครบอาการสามสิบสอง แต่สติสตัง ไม่ดีเลย ไม่รู้เรื่องราว บาปบุญคุณโทษไม่รู้ สร้างแต่เวรแต่กรรม แล้วเป็นอย่างไร
สร้างแต่เวรแต่กรรม ก็ลงนรก ไม่มีลูกคนไหน เค้าช่วยได้ เราต้องทำของเราเองน่ะ จิตของเราต้องทำให้ได้ ค่อยๆหนี ชาตินี้หนีไม่ได้หมด ก็ชำระสะสางไปได้มาก แต่นี่ไม่เองเลย เอาแต่ตัวขี้เกียจ ที่อยู่ที่จิต แล้วใครจะช่วย ลูกก็ช่วยไม่ได้ ตัวเองก็ช่วยไม่ได้ ไปคนเดียว ไปกับเรื่องราวโลภโกรธหลง ลองพิจารณาแน่ะเวลาเจป่วยมากๆเนี่ย ทุกข์ทรมาน ปวดหัวเหลือเกิน ปวดฟันเหลือเกิน มีใครเค้าช่วยเรา เค้าเอายามาให้กิน โอ้ว.มันหายปวด หายเจ็บปวดมั้ยเล่า มันก็ยังเจ็บยังปวดอยู่ อย่าให้มันเป็นอย่าให้มันมีกรรมเกิดขึ้น ช่วยเหลือตัวเอง เสียแต่เดี๋ยวนี้ ชาติหน้ามันจะไม้ไม่มีเรื่องราวเหล่านี้
นี่ก็ชี้ให้เห็นเรื่องราวต่างๆ พอเป็นที่สังเขปเท่านั้นนะ อยากจะเรื่องราวต่างๆของคำชี้เนี่ย ชี้ให้เห็นเท่านั้นเอง สิ่งที่จะได้อยู่ที่จิตแต่ละคนจะไปแก้ไขตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครบังคับเราหรอก นี่กลับไปต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่มีใครใหกว่าเรา พระพุทธเจ้ายังไม่ใหญ่กว่าเราเลย ท่านสอนแทบตายเรายังไม่ทำ อย่างพระเทวทัต สอนแทบตาย พระพุทธเจ้าชี้เรื่องนั้น แล้วท่านก็เอาจิตสอน ไม่เหมือนพระสมัยนี้ หรือผู้ที่สอน เค้าเอาอารมณ์มาสอน
ยิ่งมาสถานที่นี้ เอ้า..เปลี่ยนใหม่ เวลาจะพูดเอาจิตพูด ดูที่หน้าอกของเรานี่ เป็นคนพูด แล้วเสียงที่เปล่งออกไป หูก็ฟังไปเรื่อยๆ ต่อไปวาจาเหล่านี้ ก็วาจาศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธ์ตรงไหน ศักดิ์สิทธ์ที่ไม่หลงในลาภยศสรรเสริญ ..หยุด เราก็ชี้เรื่องราวต่างๆ พอพูดคำเดียว แล้วเค้าก็เห็นเหตุผลเกิดขึ้น เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านพูดกับองคุลีมาร เอาจิตพูด เราก็เอาบ้าง คราวนี้ เราก็นึกไม่ได้ เอาวิธีสวดมนต์ เอาจิตไหว้พระทำไปเถอะ แล้วจะรู้ผลเองว่าจิตเราเปลี่ยนแปลอย่างไร เมื่อก่อนนี้ เราขี้โมโห หงุดหงิด เดี๋ยวนี้ เราเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ก็สำรวจเอาเอง เอาล่ะ เอาง่ายๆ แค่นี้ สร้างบุญสร้างกุศลก็ ..
จิตที่มา นามธรรมมาห้อมล้อมอยู่ขณะนี้ แล้วผู้ที่เปิดจิตเปิดใจ้ได้รับฟังไปก็ ไปเกิดใหม่ ก็ให้นำจิตนี้ไปทำขึ้น ไปดูโยมเค้า ก่อนที่เค้าจะไหว้ กายนิ่งจิตเฉย ดูเค้าไปจำไป เกิดแล้วไปทำตามนี้ ขอเวลาสักนิดหนึ่ง ผู้ที่มีนามธรรม และเรียกมาตามจิตวิญญาณต่างๆ ที่ญาติโยมได้ทำบุญ เพื่อน้อมถวายให้ ได้น้อมอุทิศส่วนกุศล ก็ได้มาพร้อม ขอให้บุญกุศลนี้ นำจิตนำนามธรรม ไปสู่ในสถานที่ ที่มีความสุขทั้งกายและใจ สถานที่นั้น ..แต่จิตต้องไปทำเอาเอง คือจะแก้ไขกรรม สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา