28 ต.ค. 2021 เวลา 07:28 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ญี่ปุ่นเปิด AI Roadmap 10 ปีข้างหน้าโลกในยุค AI จะเป็นอย่างไร
ประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องความล้ำสมัยด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงยังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างคุ้มค่า ถือเป็นอีกประเทศผู้นำทางด้านเทคโนโลยีของโลกตะวันออกที่ไม่แพ้พี่ใหญ่อย่างจีน หรือบิ๊กเบิ้มอย่างสหรัฐ
จากแผนยุทธศาสตร์ Society 5.0 ในช่วงสามปีล่าสุดของญี่ปุ่นนั้น ก็ได้เน้นย้ำเรื่องความสำคัญของการนำเอไอมาใช้ในชีวิตประจำวัน เน้นแก้กฎหมายและกำแพงทางการบริหารต่าง ๆ รวมถึงเน้นทุ่มงบประมาณผลักดันการวิจัยและพัฒนาทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเอไอและหุ่นยนต์ เพื่อมุ่งสู่การเป็นสังคมดิจิทัลเต็มตัว
นอกจากจะวางยุทธศาตร์ญี่ปุ่นแบบ 5.0 แล้ว อีกอย่างที่น่าสนใจคือการสร้าง AI Roadmap อย่างละเอียด ครอบคลุมตั้งแต่ปี 2017 ไปจนถึง 2030 โดยเน้นย้ำที่การนำเอไอมาปรับใช้ในสามด้าน ได้แก้ ด้านการสร้างนวัตกรรมเพื่อการผลิต (Productivity) ด้านการแพทย์และคุณภาพชีวิต (Medical care and welfare) และสุดท้ายคือด้านการคมนาคม (Mobility) ซึ่งญี่ปุ่นมองว่าการนำเอไอมาใช้ประโยชน์สูงสุดทั้งสามด้านนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสังคมของญี่ปุ่นได้
วันนี้เซอร์ทิสอยากชวนทุกคนมาเปิด AI Roadmap ของญี่ปุ่นดูกันว่าจะมีเป้าหมายอย่างไร มีนวัตกรรมใหม่ ๆ อะไรที่น่าสนใจบ้าง ในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้นำของโลก เราเชื่อว่า Roadmap นี้ก็สามารถสะท้อนพัฒนาการและการขับเคลื่อนของเอไอในระดับโลกได้เช่นกัน มาจับตาดูและเตรียมความพร้อมกันครับ
เป้าหมายของ Roadmap นี้คือการยกระดับสังคมด้วยเทคโนโลยีเอไอ และด้วยความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีที่จะพาหลายประเทศขับเคลื่อนไปพร้อมกันของญี่ปุ่นนั้น หากทำได้จริงตามแผน เราอาจจะได้เห็นคุณภาพชีวิตของประชากรทั้งญี่ปุ่นและระดับโลกที่ดีกว่าเดิมแน่นอนครับ รอติดตามกันนะครับ
ในการทำ Roadmap นี้ญี่ปุ่นได้แบ่งระยะเวลาเป็น 3 ระยะ ตั้งแต่ปี 2017-2020 โดยประมาณ ถือเป็นระยะที่ 1 ช่วงปี 2020-2025 คือระยะที่ 2 และ ช่วงปี 2025-2030 เป็นต้นไปคือระยะที่ 3 ซึ่งเป็นการประมาณการณ์เท่านั้นนะครับ ระยะเวลาในการพัฒนาจริงอาจแตกต่างไป โดยตอนนี้ญี่ปุ่นมองว่าเราอยู่ในช่วงที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากระยะที่ 1 ไปยังระยะที่ 2 เรามาดูรายละเอียดข้อมูลการแบ่งแยกออกเป็น 3 เฟสตามที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกันเลยครับ
ในด้านแรกที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญมากคือ การนำเอไอมาใช้กับการผลิต หรือ Productivity นั่นเอง ในช่วงระยะที่ 1 ญี่ปุ่นได้วางแผนให้มีการผลิตนวัตกรรมหรืออุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่ใช้เอไอ และสร้างโรงงานแบบ Smart Factory ควบคุมโดยเอไอและระบบ IoT (Internet of things) รวมถึงมีการนำหุ่นยนต์มาใช้ในการผลิต ซึ่งก็เป็นนวัตกรรมที่เราพอเห็นกันอยู่นะครับว่าเกิดขึ้นแล้ว
สำหรับในระยะที่ 2 ญี่ปุ่นตั้งเป้าจะพัฒนาให้มีการนำเอไอไปปรับใช้เพื่อผลิตอุปกรณ์หรือให้บริการอย่างกว้างขวางในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น มีของใช้ในบ้านที่ควบคุมโดยเอไอ รวมถึงพัฒนาระบบการผลิตและการกระจายสินค้าโดยใช้เอไอและ IoT รวมถึงมีการสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานหลายหน้าที่ร่วมกันได้ ซึ่งในส่วนนี้เราก็จะเริ่มเห็นบ้างแล้วเช่นกัน
เป้าหมายสุดท้ายในระยะที่ 3 ของ Roadmap คือการสร้างสังคมและชีวิตประจำวันที่สินค้าและบริการโดยเอไอนั้นมีให้เลือกใช้อย่างแพร่หลาย เปลี่ยนการแข่งขันจากการเน้นแค่ผลิตนวัตกรรมเอไอให้สำเร็จไปอยู่ที่การผลิตนวัตกรรมเอไอที่มีคุณค่าและสร้างสรรค์ มีการพัฒนาไอเดียด้านเอไอให้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์จริงได้อย่างแพร่หลาย มีการข้ามความต้องการในชีวิตประจำวันไปมองที่ความต้องการที่ซ่อนอยู่ (Subconscious desire) ที่ในยุคนี้เราอาจยังคิดไม่ถึง ทำให้เกิดสิ่งผลิตใหม่ ๆ ที่สร้างคุณค่าในรูปแบบที่ต่างออกไป
รวมถึงมีการนำหุ่นยนต์มาใช้ในการผลิตสำเร็จในระดับที่สามารถควบคุมคุณภาพของสินค้าได้ ทำให้สินค้าคุณภาพสูงไม่ใช่ของหายากอีกต่อไป รวมถึงมีราคาที่สมเหตุสมผลและสามารถหาซื้อได้ง่าย ใช้ความสามารถของเอไอและ IoT ไปประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรมร่วมกัน เพื่อสร้างระบบนิเวศน์แบบ Zero-waste ในสังคม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต จัดจำหน่าย และใช้สอย
มาต่อกันที่ด้านการแพทย์และคุณภาพชีวิตกันบ้าง ปัจจัยหลักที่ทำให้ญี่ปุ่นเลือกให้ความสำคัญกับการพัฒนาเอไอในด้านนี้เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่กำลังเคลื่อนที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วที่สุดในโลก ภายในปี 2030 ประชากรกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของญี่ปุ่นจะเป็นผู้สูงอายุ ด้วยเหตุนี้การนำเทคโนโลยีมาใช้กับการแพทย์จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก
ในระยะที่ 1 จะเป็นช่วงที่เน้นพัฒนาการแพทย์โดยการใช้เอไอมาช่วยดูแล เช่น ช่วยวินิจฉัย จ่ายยา และผลิตยา หรือสร้างแมชชีนเลิร์นนิงประมวลผลข้อมูลการแพทย์ รวมถึงนำเทคโนโลยีเซนเซอร์มาใช้ในการดูแลผู้ป่วย สร้างระบบ Telemedicine รักษาทางไกล และเข้าสู่ช่วงเริ่มใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด
ในระยะที่สองจะเน้นให้มีการตรวจร่างกายที่บ้านเองได้ด้วยเอไอ มีการใช้ระบบเซนเซอร์และเอไอมาพัฒนาเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Healthcare) เน้นป้องกันก่อนจะป่วย เริ่มมีการปลูกถ่ายอวัยวะเทียม หรือมีการใช้หุ่นยนต์ Nanorobot ฝังอยู่ในร่างกายเพื่อดูแลร่างกายมนุษย์ และมีหุ่นยนต์ผ่าตัดที่พัฒนาเต็มที่มากขึ้น รวมถึงมีหุ่นยนต์ที่คอยดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
สำหรับในระยะที่ 3 นั้น เป้าหมายสูงสุดของญี่ปุ่นคือ การเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีสาธารณสุข มีการรักษาและดูแลสุขภาพเชิงเวชศาสตร์ป้องกันอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน พูดง่าย ๆ คือ ใช้ระบบเซนเซอร์และเอไอมาออกแบบการรักษาหรือยาที่กินกันโรคไว้ก่อนได้เลย ทำให้ค่าเฉลี่ยอายุของคนยืนยาวขึ้น และมีการใช้เอไอเข้ามาช่วยเหลือด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูอย่างเต็มรูปแบบ เช่น การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ที่ล้ำสมัย และการปลูกถ่ายอวัยวะที่ทำได้ง่ายดาย มีการรักษาที่ล้ำสมัย สามารถทำการรักษาส่วนมากได้ที่บ้าน และมีหุ่นยนต์ที่เปรียบเสมือนหมอประจำครอบครัวคอยดูแลสมาชิกในบ้าน
ด้านสุดท้ายที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญมากคือ การคมนาคมและยานยนต์ อย่างที่ทราบกันว่าญี่ปุ่นก็ถือเป็นอีกประเทศผู้นำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกเลยทีเดียว ทำให้ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนาเอไอในอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างมาก
ในระยะที่ 1 ญี่ปุ่นได้มุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาเอไอให้เป็นผู้ช่วยคนขับ ช่วยวิเคราะห์เส้นทาง สภาพแวดล้อม คาดการณ์การจราจร เหมือนที่เราเห็นกันในระบบ GPS แบบทันสมัยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงพัฒนาอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โดรนที่ควบคุมโดยระบบอัจฉริยะได้ ในส่วนของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้นยังอยู่ที่ระดับเริ่มต้นเท่านั้น รวมไปถึงการเน้นพัฒนาเรื่อง Telecommuting หรือเทคโนโลยีที่ช่วยเรื่องการทำงานทางไกล ซึ่งเราอาจเห็นกันแพร่หลายแล้วหลังจากการระบาดของโควิด-19
ในระยะที่ 2 จะเน้นที่การพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติให้ก้าวไปสู่ระดับ 3-4 รวมถึงมีการขนส่งสินค้าที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เช่น ระบบ Platooning พัฒนาเรื่องการทำงานทางไกลให้ไปถึงในระดับที่มีพื้นที่เสมือนในโลกไซเบอร์ที่เหมือนได้ทำงานอยู่ด้วยกันจริง อันนี้เราอาจเคยเห็นกันบ้างแล้วในแพลตฟอร์ม Gather ที่สร้างออฟฟิศเสมือนให้เรานั่งทำงานและเดินไปพูดคุยกันได้ผ่านตัว Avatar ของเราเอง เป็นต้น และสุดท้ายคือการเน้นพัฒนาการท่องเที่ยวเสมือนจริงอย่างเต็มรูปแบบด้วยการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น VR (Virtual Reality)
และในระยะที่ 3 เป้าหมายสูงสุดในด้านการคมนาคมและยานยนต์ของญี่ปุ่นคือ การนำเอไอมาสร้างรูปแบบการเดินทางอย่างปลอดภัยและอิสระ รวมถึงยกระดับประสบการณ์การเดินทางที่ให้ทั้งความสะดวกสบายและสนุกสนานยิ่งขึ้น เป็นการเพิ่มคุณค่าให้การเดินทางเปรียบเสมือนการสร้างประสบการณ์ดี ๆ รูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่แค่การคมนาคมเท่านั้น ในรายละเอียดนั้นจะเน้นทำให้การเดินทางเข้าถึงง่ายสำหรับคนทุกกลุ่ม เน้นลดจำนวนอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดจากมนุษย์ ลดเวลาการเดินทางและลดพลังงานให้ได้มากที่สุด ในด้านของการทำงานทางไกล จะเน้นสร้างพื้นที่ที่ผสมผสานระหว่างพื้นที่ไซเบอร์และพื้นที่จริงได้อย่างลงตัว เช่น สร้างแพลตฟอร์มให้เหมือนกับว่าเราได้นั่งทำงานร่วมกันจริง ๆ รวมถึงพัฒนาการท่องเที่ยวเสมือนให้เต็มรูปแบบและไร้ที่ติ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ AI Roadmap ของญี่ปุ่นสำหรับทศวรรศนี้ บางอย่างเราก็เห็นแล้วว่าทำได้จริง และบางอย่างก็มีแววมากจนเราต้องนั่งรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งหากทำได้จริงตามแผน เราอาจจะได้เห็นคุณภาพชีวิตของประชากรทั้งญี่ปุ่นและระดับโลกที่ดีกว่าเดิมแน่นอน รอติดตามกันนะครับ
บทความโดย: ทีม Sertis
โฆษณา