30 ต.ค. 2021 เวลา 14:56 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
วันนี้เราไปดู #ร่างทรง แบบลุ้นๆมาว่าหนังจะโอเคไหม? แล้วก็มีคำตอบที่อาจจะ "สมหวัง" และ "ผิดหวัง"
(อ่านต่อจากนี้คือสปอยล์ กรุณาข้าม ถ้าอยากดูหนังนะครับ)
1) หนังพยายามทำให้เราเชื่อด้วยวิธีการเล่าทุกอย่าง แต่เชื่อไม่ได้ เพราะมันคือการถูกหลอกให้เชื่อ คล้ายกับประโยคว่า 'รถคันนี้สีแดง' ที่แปะท้ายรถที่ไม่ได้มีสีแดง จริงๆคุณรู้ว่ามันสีอะไร แต่เขาบอกว่ามันสีแดง คุณรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่สีแดง นั่นคือวิธีการที่หนังทำกับเราให้เราเชื่อในสิ่งที่เขาจะเล่า โดยเลือกใช้เทคนิคของการถ่ายทำสารคดีเรื่อง 'ร่างทรง' ก็คือเรารู้ทั้งรู้ว่ามันคือหนัง มันไม่ใช่สารคดีนะ แต่ฉันจะให้เธอเชื่อว่ามันคือเรื่องจริงนะ หนังมีความพยายามอย่างมาก
2) หนังใช้วิธีแทนสายตาคนดู ด้วยการที่ให้เราทุกคนเป็นตากล้องสารคดีแบบ Hand-Held Camera ที่เราพร้อมจะไปกับตากล้องทุกที่ เพื่อดูการหลอกของสารคดีที่สมจริงมากๆ มันทำให้ทุกอย่างดูจริงไปหมด เหมือนคนดูเข้าไปอยู่ในหนัง เป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ในเรื่องจริงๆ ทำพิธีจริงๆ ทั้งๆที่เราต่างถูกหลอกให้สวมบทตากล้อง แต่ก็ต้องยอมโดนหลอกเพื่อเดินทางไปกับภาพยนตร์
3) คนที่ดึงตัวเองออกมาจากหนังได้ และตั้งแง่ตลอดเวลาว่า "แกกำลังหลอกฉัน" "แกหลอกฉันไม่สำเร็จหรอก" คุณจะดูหนังอย่างไม่สนุกนัก เพราะคุณกำลังจะจับผิดการหลอกของหนังที่กระทำกับคุณ ทางเดียวที่จะสนุกคือเลือกเชื่อมั่นตั้งแต่ต้นจะดีกว่า เชื่อว่ามันจริงไปเลย จะได้ดูแล้วไม่ติดขัดในใจ เชื่อว่าตัวฉันเป็นตากล้อง เหตุการณ์ทุกอย่างจริงซะ แล้วจะดูมันเพื่อพร้อมจะถูกหลอก จะดูสบายกว่า
4) การที่หนังพาเราไปเป็นตากล้อง มันไม่ใช่เรื่องดี เพราะจริงๆความขี้เสือกของตากล้องคนนี้ ขัดกับนิสัยเรามาก และนั่นคือความไม่สมจริงของหนังที่ชัดที่สุด ใครจะบ้าถ่ายในยามคับขันขนาดนั้น เป็นกู ก็คือวิ่งหนีจ้า เผ่นแน่นอน แต่หนังพยายามพาเราไปเป็นตากล้อง มันเลยขัดใจโว้ย ทำไมมึงไม่หนี แต่ถ้ามึงหนี แล้วใครจะถ่ายสารคดีเรื่องนี้ให้กูดูวะ!?!
5) นักแสดงหญิงทุกคนในเรื่องเล่นดีมาก เชื่อมากๆ บทที่เราว่ายากที่สุดคือ 'มิ้ง' เป็นตัวละครที่มี Dynamic สูงที่สุด จากความเป็นคนปกติ ค่อยๆโดนสิง จนถูกสิงร่างเต็มขั้น ไม่เหลือความเป็นคน มิ้งเล่นฉากที่ยากทุกฉากด้วยตัวเอง แบบที่เราแทบไม่เชื่อในความทุ่มเท ตอนเป็นคนก็น่ารักสดใส แต่ตอนเป็นผีก็หลอนอย่างบ้าคลั่ง เป็นนักแสดงนำที่เราเห็นพัฒนาการของตัวละครชัดเพราะเธอแสดงดีมากจริงๆ (รู้จากเบื้องหลังว่าต้องลดน้ำหนักเพื่อเป็นคนที่โดนผีสิงจนไม่ได้กินข้าวอย่างสมบูรณ์แบบ คือทุ่มเทมากจริงๆ และออกมาสมจริงทางกายภาพมากๆ)
6) ประโยคที่แทรกไว้ในหนัง ที่เราว่าคือ key message สำคัญคือประโยคที่ว่า 'รถคันนี้สีแดง' ราวกับเป็นตัวบทสรุป เฉลยโจทย์แบบไม่ตอบแต่ให้คิดเอาเอง ที่ผู้กำกับอยากจะบอกคนดูให้อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า และให้เข้าใจกลไกของการถูกหลอก คนเขียนบทต้องการใส่ประโยคนี้ไว้อย่างละเมียดละไม ให้คนดูขบคิดต่อไปเองว่า 'อะไรคือความจริงในสิ่งที่ตนกำลังเชื่ออยู่กันแน่?'
7) เป็นหนังผีเรื่องแรกที่เราดูแล้วสมองทำงานหนัก เพราะปมในเรื่องผูกไว้เยอะมาก แต่ดันไม่มีการคลี่คลายสักปมเดียว ราวกับเขาตั้งใจระเบิดสมองเราออกเป็นเสี่ยงๆ ให้เรามึนในการหาคำตอบ ทุกคนจะทราบแค่ 2 อย่างคือ 1. What happened? เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น และ 2. How to Handle with them? พวกเขาแก้ปัญหาสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร? แต่สิ่งที่อยู่ในหัวคนดู และหายไปในหนังคือ "คำตอบของ Why?" ทำไมและอะไรเป้นสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ และตัวของมิ้ง
8) หนังต้องการจะปั่นหัวคนเรื่องความเชื่อ และทำให้คนฉงนงงงวยกับคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้น และขบคิดไร้ทิศทาง แม้การเฉลยตอนจบกับหุ่นที่โดนคุณไสยพร้อมชื่อตระกูลเหมือนบอกอะไรเป็นนัยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่า กูเชื่อได้ใช่ไหม? หรือมึงจะหลอกกูอีกรึเปล่า ดังนั้น หนังยังคงไม่ให้คำตอบ และหลอกพาเราไปถึงจุดจบ ทำให้เราปวดหัวอย่างบ้าคลั่ง แต่คำถามคือ
'ความจริงในเรื่องมีอะไรบ้าง?
'มีอะไรบ้างในเรื่องที่เราไม่ถูกหลอก?'
'และหลอกเราแบบนี้ อยากให้เราเชื่อเขาจริงๆไหม?'
หรือจริงๆ Theme ของหนังคือ กูหลอกให้มึงเชื่อกู แต่อย่าเชื่อกูนะ ไม่มีอะไรบนโลกนี้เชื้อได้หรอก
คุณต้องไปพิสูจน์เอาเองว่าคุณจะถูกหลอกไหม แต่เราอยากบอกแค่ว่า รถคันนี้ไม่ว่าจะสีอะไร หนังพยายามอย่างมากให้เราเชื่อก่อน ถ้าไม่เชื่อก็จบแล้ว คุณเสียเวลาที่จะดูมันตั้งแต่แรก
ถ้าหนังหลอกคุณสำเร็จ คุณคงจะชอบมัน
แต่ถ้าคุณไม่ชอบถูกหลอกให้เชื่อ คุณคงจะไม่ชอบมัน มันช่างล้มเหลวในการหลอกลวงฉันเหลือเกิน
อยากโดนหลอกรึยัง? ต้องลองดูนะ
คะแนน 7/10
บางอย่าง ก็หลอกกูไม่ได้จริงๆว่ะ แต่ให้คะแนนกับ production ที่ดีมากๆ, ความตั้งใจของนักแสดง และความตั้งใจสร้างเรื่องของผู้กำกับ
#ThinkTalkLoud
โฆษณา