31 ต.ค. 2021 เวลา 03:34 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
โลกที่ล่มสลายด้วยน้ำมือมนุษย์ ศตวรรษที่ขาดหาย กำเนิดและพัฒนาการของเมทริกซ์
จากภาพยนตร์สองภาคเราได้เห็นแล้วว่ามนุษยชาติตกอับขนาดไหน มนุษย์เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือของเครื่องจักรกล พวกเขาดำรงชีพไม่ได้หากขาดปัจจัยพื้นฐานอย่างอากาศ น้ำและอาหาร ขณะที่หุ่นยนต์ไม่ต้องการปัจจัยเหล่านั้นเพื่อขับเคลื่อนและคงอยู่ พวกมันควบคุมมนุษย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนไม่มีมนุษย์คนใดได้รู้ความจริงเบื้องหลัง ความจริงที่ว่าแม้แต่ไซออนก็เป็นเพียงอาณาบริเวณที่เครื่องจักรปล่อยให้มนุษย์แพร่พันธุ์อยู่ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วค่อยฆ่าล้างบางเป็นระยะ
สาเหตุที่มนุษยชาติมีชะตากรรมเช่นนี้ไม่ได้มาจากการให้กำเนิดปัญญาประดิษฐ์หรือเครื่องจักรกล หากแต่มาจากความถือดีว่าตนประเสริฐ ความละโมบและสัญชาติญาณก้าวร้าวอย่างสัตว์ เรื่องที่ผมจะเล่าโดยย่อนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง ดิ เอนิเมทริกซ์ ที่รวมภาพยนตร์สั้น 8 เรื่อง 9 ตอนเกี่ยวกับ ดิ เมทริกซ์ เอาไว้ด้วยกัน เรื่องที่ผมจะเล่าคือ The Second Renaissance part 1 and 2 เป็นเรื่องราวตั้งแต่มนุษย์สร้างหุ่นยนต์ เกิดปัญญาประดิษฐ์ที่กลัวตายและสงครามล้างโลก
มนุษย์ช่างประดิษฐ์คิดค้นและสร้างหุ่นยนต์ขึ้น หุ่นยนต์ทำงานต่าง ๆ ให้มนุษย์อย่างซื่อสัตย์ทว่าได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกับทาสหรือสิ่งของ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อมีหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง B166ER มันฆ่าเจ้านายตายหลังจากได้รู้ว่าจะถูกส่งไปทำลายทิ้ง ขณะขึ้นให้การในศาลมันให้เหตุผลว่ามันฆ่าเจ้านายเพราะไม่อยากตาย ทว่าศาลตัดสินว่าหุ่นยนต์เป็นทรัพย์สินของมนุษย์และไม่มีสำนึกรู้ ฉะนั้น B166ER จึงเป็นหุ่นที่มีความบกพร่อง มันและหุ่นตัวอื่นในรุ่นการผลิตเดียวกันนี้ต้องถูกทำลาย
คำตัดสินนั้นเป็นชนวนเหตุให้ทั้งมนุษย์ขัดแย้งกันเองและมนุษย์ต่อต้านหุ่นยนต์ มีเหตุจลาจลและความรุนแรงเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ทั่วโลก หุ่นยนต์มากมายถูกทำลายแต่บางส่วนหลบหนีเล็ดรอดไปยังทะเลทรายในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งน่าจะเป็นประเทศซาอุดิอาระเบีย พวกมันตั้งนิคมแห่งหนึ่งขึ้นมาชื่อศูนย์หนึ่ง
1
ศูนย์หนึ่งขยายตัวและเจริญขึ้น ภูมิปัญญาของเครื่องจักรได้สร้างเทคโนโลยีและผลิตสินค้าเพื่อขายมนุษย์ นานวันเข้าสินค้าจากศูนย์หนึ่งก็เป็นที่นิยมจนบริษัทต่าง ๆ ของมนุษย์ไม่อาจแข่งขันได้ ความละโมบผลักดันให้มนุษย์ตัดสินใจแบ่งแยก ผู้นำชาติมหาอำนาจสั่งให้สินค้าจากศูนย์หนึ่งเป็นของผิดกฎหมายและระงับการนำเข้า
ศูนย์หนึ่งไม่ต้องการเป็นคู่กรณีจึงส่งทูตมาร่วมการประชุมสหประชาชาติ ยื่นข้อเสนออยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างเป็นมิตรและสันติ แต่เหล่าผู้นำของทุกชาติต่างไม่ยอมรับว่าหุ่นยนต์เท่าเทียมกับมนุษย์จึงขับไล่ไสส่งทูตออกไป พวกเขาหวาดระแวงและเริ่มโจมตีนิคมศูนย์หนึ่ง ปรากฏเป็นหมอกควันรูปดอกเห็ดกับเปลวเพลิงโชติช่วง
แต่ศูนย์หนึ่งก็ตอบโต้ พวกหุ่นยนต์ไม่ได้งอมืองอเท้าและรอจะถูกกระทำอย่างเดียว กองทัพของหุ่นยนต์โต้กลับจนหลายชาติของโลกทยอยล่มสลาย ในที่ประชุมยุทธศาสตร์มีผู้เสนอให้ใช้ Dark Strom เป็นสารเคมีปกคลุมท้องฟ้าไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาถึงพื้น พวกเครื่องจักรก็จะไม่มีแหล่งพลังงานหลัก และแล้วเหล่าผู้นำสูงสุดของมนุษย์ก็อนุมัติแผนทำลายท้องฟ้านี้เพื่อจู่โจมโต้กลับทันที
ทว่าพวกหุ่นยนต์เพียงแค่เสียกระบวนแต่ไม่พ่ายแพ้ กลับกันกองทัพของมนุษย์ยังคงถูกโจมตีและต้องถอยร่นไปเรื่อย ๆ เมื่อพวกเครื่องจักรขาดแสงอาทิตย์มันก็ค้นหาพลังงานแนวใหม่ หนึ่งในนั้นคือร่างกายมนุษย์ที่ปลดปล่อยความร้อนและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพได้ เครื่องจักรมีวัตถุทดลองเพื่อวิจัยพลังงานแนวใหม่นี้มากมายล้นเหลือ และมันทำอย่างขะมักเขม้น
1
ท้ายที่สุดฝ่ายเครื่องจักรส่งทูตมาเจรจากับมนุษย์ให้สงบศึกแล้วยอมเป็นทาส เหล่าผู้นำของมนุษย์เข้าร่วมประชุมกันโดยพร้อมเพรียง พอหุ่นยนต์ทูตลงนามในสนธิสัญญามันก็จุดระเบิดทำลายทุกคนในที่นั้น เมื่อมนุษย์ขาดผู้นำกองกำลังทั้งหมดก็พ่ายแพ้ กลุ่มต่อต้านถูกทำลายและนำร่างไปดัดแปลงเพื่อบรรจุลงในโถ เชื่อมต่อกับเมทริกซ์ตัวแรกที่พวกเครื่องจักรสร้างขึ้น
1
เรารู้จากปากสถาปนิกแล้วว่าเมทริกซ์ในปัจจุบันไม่ใช่ตัวแรก ทีนี้ก็จะมีปัญหาใหญ่หนึ่งข้อคือช่วงเวลาของโลกความเป็นจริงในภาพยนตร์นั้นเป็นปี ค.ศ. อะไร ? ป้ายของยานเนบูแชทเนสเซอร์บอกว่าผลิตในปี 2069 มอร์เฟียสบอกนีโอว่าน่าปัจจุบันจะใกล้เคียงปี ค.ศ. 2199 แต่ระบุแน่ชัดไม่ได้ และไซออนอยู่มาประมาณหนึ่งร้อยปีแล้ว
แต่นี่ไม่ใช่ไซออนแรกที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และถึงแม้เราจะมีเบาะแสสุดท้ายคือข้อความบนจอคอมพิวเตอร์ตอนเริ่มเรื่อง The Matrix ภาคแรกที่ลงวันที่เอาไว้ว่า 2-19-98 ทว่าเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วนี่คือศตวรรษที่เท่าไรกันแน่ มันอาจเป็นศตวรรษที่ 22, 23 หรือมากกว่านั้น กลายเป็นว่าเรา “ไม่อาจระบุปีได้” และไม่รู้ว่ามีกี่ศตวรรษที่หายไปนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 20
ปัญหาใหญ่อีกข้อหนึ่งคือเมทริกซ์ตัวนี้เป็นเวอร์ชั่นที่เท่าไร ? แต่ก่อนจะตอบคำถามนี้ผมขอทำความเข้าใจกับผู้อ่านให้ตรงกันก่อนเรื่องหนึ่ง นั่นคือสถาปนิกได้กล่าวถึงเมทริกซ์ตัวแรกกับตัวที่สองไว้ จากนั้นไม่ได้กล่าวถึงตัวปัจจุบันซึ่งเราคาดเดากันว่าเป็นเมทริกซ์ตัวที่สาม ผมใช้คำว่า “ตัว” เพื่อสื่อถึงฮาร์ดแวร์หรือชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ประกอบกับเป็นเครื่องเมทริกซ์ เพราะจากในเรื่องเราจะได้ยินคำว่า “ตัดสายหลัก” และมีฉากหุ่นยนต์ใช้คีมตัดสายไฟซึ่งน่าจะเป็นของ “เครื่องเมทริกซ์” ด้วย ฉะนั้นเบื้องต้นผมเชื่อว่าเมทริกซ์นี้เป็นเมทริกซ์ “ตัว” ที่สาม
ส่วนเรื่องของเวอร์ชั่นนั้นผมมองว่าเป็นซอฟท์แวร์หรือเป็นระบบปฏิบัติการอย่างวินโดวส์ แมคหรือลินุกซ์ที่นำไปทำงานบนฮาร์ดแวร์ ซึ่งหากฟังเผิน ๆ ตามคำบอกเล่าของสถาปนิกที่นับเวอร์ชั่นตามการเกิดผู้ปลดปล่อยหรือผู้แบกรับค่าผิดปกติของเมทริกซ์ก็ไม่น่าประหลาดใจอะไร เขาเขียนโปรแกรมเมทริกซ์มาจนถึงปัจจุบันเป็นครั้งที่หก
1
แล้วเมทริกซ์ตัวแรกกับตัวที่สองล่ะ ? เมทริกซ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มีผู้ปลดปล่อยหรือไม่ ? ประเด็นนี้ผมเชื่อว่าถกเถียงกันให้ตายก็หาข้อสรุปไม่ได้เนื่องจากภาพยนตร์ไม่ได้ให้ข้อมูลไว้ และผมขอให้ผู้อ่านทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ได้โปรดเฉลียวใจและตั้งคำถามกลับไปยังการวิเคราะห์ต่าง ๆ ด้วยว่ามีข้อมูลอ้างอิงจากไหน เนื่องจากหลายแหล่งข้อมูลจะนับรวมกัน มันกลายเป็นมีการวิเคราะห์สิ่งที่ภาพยนตร์ไม่ได้อ้างถึง จากนั้นมีคนเชื่อการวิเคราะห์แล้วอ้างอิงต่อ และคนอื่น ๆ ก็พูดต่อ ๆ กันมาจนสุดท้ายเชื่อกันไปแล้วว่าเป็นเรื่องจริงจากภาพยนตร์
1
ดูไปก็คล้ายสำนวน “ไปไหนมาสามวาสองศอก” จากเรื่องขี้แมลงวันก็พูดต่อ ๆ กันจนกลายเป็นช้างเอราวัณได้ คนละเรื่องราวกันโดยสิ้นเชิง
ส่วนผมเชื่อว่าเมทริกซ์ที่เราดูในภาพยนตร์นั้นเป็นตัวที่สาม เวอร์ชั่นที่หก เมทริกซ์ตัวที่หนึ่งและสองไม่น่าจะมีผู้ปลดปล่อย พวกมันล่มสลายเพราะจิตมนุษย์ปฏิเสธไม่ยอมรับและตื่นขึ้นมาบนโลกแห่งความเป็นจริง เมทริกซ์ตัวแรกเปรียบเสมือนโลกในอุดมคติหรือสวนสวรรค์ ส่วนเมทริกซ์ตัวที่สองสถาปนิกบอกว่าออกแบบบนพื้นฐานความบกพร่องของมนุษย์ ซึ่งเราแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน ทว่าการวิเคราะห์จากหลายแหล่งก็เชื่อในสมมติฐานเดียวกันว่ามันเป็นเหมือนขุมนรกไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเมทริกซ์ทั้งสองตัวล้มเหลวสถาปนิกจึงแก้ไขมันตามข้อสรุปจากการศึกษาแง่มุมต่าง ๆ ของจิตมนุษย์โดยเทพพยากรณ์ว่าให้เพิ่ม “ทางเลือก” เข้าไปในโปรแกรมเมทริกซ์ ผลที่ได้ทำให้มนุษย์ถึง 99% ไม่ตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ฉะนั้นสถาปนิกน่าจะเขียนโปรแกรมเมทริกซ์มาก่อนแล้วสองครั้ง รวมกับหกเวอร์ชั่นก็คือเขาเขียนโปรแกรมเมทริกซ์มาแล้วตั้งแปดครั้ง !
ก่อนจะไปต่อผมขอแวะคุยเรื่องเมทริกซ์ตัวที่สองสักเล็กน้อยว่าทำไมจึงเชื่อกันว่ามันเป็นนรก ในภาคสองมีฉากหนึ่งที่เพอเซโฟเน่พาพวกมอร์เฟียสเข้าคฤหาสน์แล้วผ่านห้อง ๆ หนึ่งที่มีลูกน้องซึ่งหล่อนอธิบายว่า “พวกเขามาจากเวอร์ชั่นที่เก่ากว่าของเมทริกซ์” และฆ่าหนึ่งในสองคนนั้นด้วยกระสุนเงิน ซึ่งหากไม่นับว่าเป็นฉากตลกให้ลูกน้องโผล่ออกมาตายโง่ ๆ (ซึ่งนี่ไม่มีหรอกเพราะมันคือ ดิ เมทริกซ์ ที่ซับซ้อนมาก) มันก็มีความหมายโดยนัยว่าพวกเขาเป็นแวมไพร์ พอรวมกับคำพูดของสถาปนิกว่าเมทริกซ์ตัวแรกเปรียบเสมือนโลกในอุดมคติ แสดงว่าพวกเขามาจากเมทริกซ์ “ที่ไม่ใช่ตัวแรก” และนั่นเอื้อให้ตีความได้ว่าเขามาจากที่อยู่ของเหล่าปิศาจ เช่นขุมนรก ซึ่งก็ตรงข้ามกับเมทริกซ์ตัวแรกที่เป็น “ดั่งสรวงสวรรค์” นั่นเอง
อย่างไรก็ตามมุมมองเรื่องฮาร์ดแวร์ของผมอาจผิดก็ได้ เมทริกซ์ตัวปัจจุบันอาจเป็นตัวแรกตัวดั้งเดิมที่ยังใช้งานต่อเนื่องเรื่อยมาเพียงแต่เปลี่ยนเฉพาะซอฟท์แวร์ก็เป็นได้ แต่เราก็ไม่อาจรู้ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับเมทริกซ์ตัวแรกนั้นรุนแรงสาหัสเพียงไหน ในมุมมองของผม ผมมองว่ามันประหลาดหากสถาปนิกออกแบบโปรแกรมเมทริกซ์ใหม่อีกสองครั้งแต่ยังใช้ฮาร์ดแวร์ดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่ม “ทางเลือก” เข้าไปนั้นแทบจะเป็นการปฏิวัติโปรแกรมเมทริกซ์ครั้งใหญ่เลยด้วยซ้ำ เหมือนกับเปลี่ยนจากวินโดวส์ 98 เป็นวินโดวส์ XP ซึ่งถ้าเปลี่ยนขนานี้แล้วจะไม่ปรับปรุงฮาร์ดแวร์ เช่นไม่เปลี่ยน CPU ไม่เพิ่มแรมหรือความจุฮาร์ดดิสก์เพื่อรองรับก็ดูจะไม่สมเหตุสมผล เว้นแต่ว่าฮาร์ดแวร์สำหรับเมทริกซ์ของพวกเครื่องจักรกลนั้นมีคุณสมบัติต่าง ๆ ในระดับสูงเหนือความคาดหมายอยู่ก่อนแล้วจนสามารถรองรับโปรแกรมอะไรก็ได้
นอกจากนี้ในคำว่า “เวอร์ชั่นที่หก” ของสถาปนิกก็มีความกำกวมด้วย เพราะภาพยนตร์ไม่ได้บอกเราอีกเช่นกันว่าหลังผู้ปลดปล่อยกลับไปยังแหล่งแล้ว สถาปนิกทำอย่างไรต่อ เมื่อครบวงรอบแล้วเมทริกซ์จะทำงานด้วยซอฟท์แวร์เดิมที่ถูกปรับปรุง เหมือนอย่างวินโดวส์ XP ที่ปรับรุ่นเป็น Service Pack 1,2 หรือ 3 หรือว่าเป็นซอฟท์แวร์ใหม่หมดจด คือเปลี่ยนจากวินโดวส์ XP เป็นวินโดวส์ตัวอื่นรุ่นอื่น เรื่องนี้ก็ยังเป็นปริศนาที่ค้างคา
นอกจากนี้ยังเหลือคำถามปลายเปิดอีกข้อหนึ่ง นั่นคือเมทริกซ์จะทำงานต่อเนื่องโดยปล่อยให้วันเวลาเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ได้หรือไม่ ? หรือว่าท้ายที่สุดเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งเมทริกซ์จะรีเซ็ตกลับมาเป็นช่วงศตวรรษที่ 19 ตอนปลาย สำหรับผมเชื่อว่าจะเป็นอย่างหลังเพราะเวลาจริงน่าจะผ่านมานานมากแล้วและวงรอบการเกิดไซออนกับผู้ปลดปล่อยก็ผ่านมาแล้วถึงห้าครั้ง เพียงแต่ในภาพยนตร์ก็ไม่มีสิ่งที่จะสนับสนุนหรือคัดค้านสมมติฐานนี้
สำหรับบทความนี้เราก็ปวดหัวกันพอประมาณแค่ได้บริหารเส้นเลือดในสมอง บทความหน้าผมจะลดระดับลงเพราะมันเกี่ยวข้องกับบทสนทนาของตัวละคร ทั้งของเทพพยากรณ์ สถาปนิกและเมโรวินเจียนที่มีความนัยซ่อนอยู่ ส่วนจะเกี่ยวกับอะไรนั้นขอให้อดใจรอกันสักนิด แล้วเจอกันครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา