1 พ.ย. 2021 เวลา 02:09 • บ้าน & สวน
5 วิธีเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นในบ้าน
แนะนำการเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่ของบ้าน ทั้งในเรื่องประเภท ขนาด รูปแบบ ผิวสัมผัส และโทนสี
วัสดุตกแต่งพื้นบ้านในปัจจุบันมีมากมายหลายประเภท ทั้งยังมีสารพัดรูปแบบ สีสัน และลวดลายอีกด้วย แต่หากพูดถึงวัสดุตกแต่งพื้นที่เจ้าของบ้านนิยมเลือกใช้กันคงหนีไม่พ้นกระเบื้องปูพื้นที่เป็น “กระเบื้องเซรามิก” เนื่องด้วยมีรูปแบบที่หลากหลาย เข้ากับการแต่งบ้านทุกสไตล์ อีกทั้งมีความแข็งแรง และทำความสะอาดง่ายอีกด้วย
สิ่งสำคัญของการเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นคือต้องคำนึงถึงการใช้งาน และความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ รองลงมาจึงเป็นด้านความสวยงาม และการดูแลรักษา ซึ่งเรามี 5 วิธีในการเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นให้ถูกใจ และเหมาะกับแต่ละพื้นที่ มาแนะนำให้เจ้าของบ้านที่กำลังสร้างบ้านหรือปรับปรุงบ้านดังต่อไปนี้
ภาพ: ห้องทำงานภายในบ้าน แต่งในโทนขาว กับกระเบื้องปูพื้นเซรามิกสีขาวพร้อมลวดลายคล้ายหิน
1. เลือกกระเบื้องสำหรับปูพื้นเท่านั้น
เพราะพื้นต้องรับน้ำหนักทั้งผู้อยู่อาศัย เฟอร์นิเจอร์ และสิ่งของต่าง ๆ จึงต้องใช้กระเบื้องปูพื้นที่มีความแข็งแรง ซึ่งได้แก่ กระเบื้องประเภท Floor Tile (ห้ามนำกระเบื้องบุผนังมาปูพื้นโดยเด็ดขาด) กระเบื้องเนื้อพอร์ชเลนที่มีทั้งแบบเคลือบสีหรือลวดลาย กับแบบที่ผิวหน้ากับตัวกระเบื้องเป็นเนื้อเดียวกันซึ่งนิยมเรียกกันว่า กระเบื้องแกรนิตโต
• กระเบื้อง Floor Tile มีความหนาประมาณ 6 มม. ลักษณะที่สังเกตได้คือเนื้อจะมีสีน้ำตาลหรือสีขาวครีม เคลือบสีและลวดลายที่ผิวหน้าทั้งแบบด้าน มัน และแบบหยาบ บางรุ่นมีผิวสัมผัสหรือร่องลายตามลวดลาย
ภาพ: กระเบื้อง Floor Tile
• กระเบื้องพอร์ซเลนเคลือบผิว มีความหนาประมาณ 10 มม. มีการเคลือบสี ลวดลาย ผิวสัมผัสทั้งแบบด้าน มัน และหยาบที่ผิวหน้า สามารถมองเห็นชั้นผิวกระเบื้องแยกกับเนื้อกระเบื้องได้อย่างชัดเจน มีค่าการดูดซึมน้ำต่ำ มีความแข็งแกร่งสูง ใช้เป็นกระเบื้องปูพื้นได้ทั้งภายนอก และภายในบ้าน แต่หากมีการขูดขีดลึกถึงเนื้อกระเบื้องจะสังเกตเห็นได้ง่าย ไม่สวยงาม
ภาพ: กระเบื้องพอร์ซเลนเคลือบผิว
• กระเบื้องแกรนิตโต เป็นเนื้อกระเบื้องพอร์ชเลนที่มีความหนาประมาณ 10 มม. เช่นกัน แต่จะมีผิวหน้าและตัวกระเบื้องเป็นเนื้อเดียวกันทั้งแผ่น ในกรณีที่ผิวหน้ามีรอยขูดขีดหรือแตกกะเทาะจะมองเห็นได้ยาก พื้นผิวมีทั้งด้าน มัน และหยาบ ใช้เป็นกระเบื้องปูพื้นได้โดยทั่วไปเช่นเดียวกับกระเบื้องพอร์ชเลน
ภาพ: กระเบื้องแกรนิตโต
2. เลือกกระเบื้องปูพื้นให้เหมาะกับพื้นที่การใช้งาน
• กระเบื้องปูพื้นภายนอก เช่น ทางเดินรอบบ้าน บันไดเข้าออกตัวอาคาร หรือที่จอดรถ ควรเลือกกระเบื้องปูพื้นที่มีความแข็งแกร่ง รับน้ำหนักได้ดี มีพื้นผิวหยาบ (ค่าการกันลื่นไม่น้อยกว่า R11) กระเบื้องไม่เคลือบเงา เพราะเมื่อฝนตก อาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้
ภาพ: กระเบื้องปูพื้นทางเดินรอบบ้านควรมีผิวหยาบและแข็งแกร่ง
• กระเบื้องปูพื้นภายในบ้าน สามารถเลือกกระเบื้องปูพื้นที่มีเนื้อแบบใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน แต่ถ้ามีผู้สูงอายุ หรือเด็กเล็ก อาจเลือกเป็นกระเบื้องปูพื้นแบบเนื้อด้าน ไม่มันเงาเพื่อความปลอดภัย
ภาพ: กระเบื้องปูพื้นภายในบ้านเลือกใช้ได้ตามต้องการ หากคำนึงถึงความปลอดภัยควรเลือกกระเบื้องปูพื้นแบบผิวด้าน
• กระเบื้องปูพื้นห้องน้ำ ควรเลือกกระเบื้องที่มีผิวหน้าที่หยาบ และไม่เคลือบผิวเงา (ค่าการกันลื่นไม่น้อยกว่า R10) โดยหมั่นทำความสะอาดกำจัดคราบไขมันเป็นประจำ เพื่อไม่ให้ไขมันสะสมที่พื้นผิวหน้าจนลื่น
ภาพ: กระเบื้องปูพื้นห้องน้ำควรมีพื้นผิวหยาบ
3. เลือกใช้ขนาดกระเบื้องปูพื้นที่เหมาะสมกับขนาดห้อง
สำหรับห้องที่มีขนาดเล็ก อาจเลือกใช้กระเบื้องปูพื้นแผ่นเล็ก ขนาด 12”x12”, 16”x16” หรือกระเบื้องปูพื้นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อให้ห้องดูกว้างขึ้น ส่วนห้องที่มีขนาดใหญ่ สามารถเลือกใช้กระเบื้องปูพื้นแผ่นใหญ่ได้ เช่น ขนาด 24”x 24” หรือ 24”x48”
ภาพ: ห้องขนาดเล็ก เหมาะกับการเลือกใช้กระเบื้องปูพื้นแผ่นเล็ก
ภาพ: ห้องขนาดใหญ่ สามารถเลือกใช้กระเบื้องปูพื้นแผ่นใหญ่ได้ตามความเหมาะสมของลวดลาย
4. เลือกรูปแบบ ลวดลาย และโทนสีกระเบื้องปูพื้นให้เข้ากับสไตล์บ้าน
รูปแบบและลวดลายของกระเบื้องมักจะสัมพันธ์กัน อย่างเช่น กระเบื้องลายหินมักเป็นกระเบื้องสี่เหลี่ยมแผ่นใหญ่ กระเบื้องลายไม้มักเป็นกระเบื้องสี่เหลี่ยมแผ่นยาว (ลักษณะเหมือนไม้กระดาน) กระเบื้องลายกราฟิกอาจมีรูปทรงอื่นอย่างหกเหลี่ยม การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับสไตล์การตกแต่งบ้าน เช่น กระเบื้องลายหินจะเหมาะกับสไตล์โมเดิร์น คลาสสิก ร่วมสมัย โดยถ้าเป็นผิวเงาจะทำให้ดูหรูหรามากขึ้น กระเบื้องลายไม้เหมาะกับการตกแต่งแนวธรรมชาติ หรือแนวร่วมสมัย ทั้งยังให้ลุคโมเดิร์นได้ด้วย
ภาพ: แต่งบ้านสไตล์ร่วมสมัยแบบหรูหรา ด้วยกระเบื้องปูพื้นลายหินอ่อนผิวเงา
ภาพ: แต่งห้องน้ำสไตล์อบอุ่น เป็นธรรมชาติด้วยกระเบื้องปูพื้นลายไม้โทนอ่อน
ด้านโทนสี สำหรับกระเบื้องปูพื้นโทนสีอ่อนจะเหมาะกับการใช้งานภายในอาคาร เพราะหากนำไปใช้งานนอกอาคาร ผิวกระเบื้องต้องสัมผัสกับแดด ลม และฝนตลอดเวลา อาจทำให้เกิดรอยด่าง รอยขีดข่วน และคราบต่างๆ ที่สังเกตเห็นได้ง่าย อย่างไรก็ดี กระเบื้องปูพื้นโทนสีอ่อนทำให้ห้องดูสว่างตา และยังช่วยทำให้พื้นที่ห้องขนาดเล็กหรือแคบดูกว้างขึ้นได้ ส่วนกระเบื้องปูพื้นโทนสีเข้ม เหมาะกับพื้นที่นอกอาคาร ที่ต้องโดดแดดฝนอยู่บ่อยๆ เพื่อไม่ให้สังเกตเห็นรอยต่างๆ ได้ชัดมากนัก หรือพื้นที่ภายในบ้านบริเวณที่ต้องรองรับการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ หรือวางสิ่งของจำนวนมากๆ พื้นผิวที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี คราบน้ำมัน น้ำ อยู่บ่อยๆ เช่น ห้องครัว โรงรถ ห้องน้ำ ระเบียง เพราะกระเบื้องปูพื้นในโทนสีเข้มจะช่วยลดปัญหาในการทำความสะอาด ดูแลรักษาง่าย
ภาพ: แต่งห้องนั่งเล่นด้วยกระเบื้องปูพื้นโทนสีขาวตัดกับสีเข้มของเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ห้องดูสว่างตา
ภาพ: เลือกติดตั้งกระเบื้องปูพื้นสีโทนเข้มสำหรับพื้นทางเดินและบันไดภายนอกบ้าน
5. เลือกเกรดกระเบื้องปูพื้นตามการใช้งาน
โดยทั่วไปกระเบื้องปูพื้นที่ขายในท้องตลาดจะถูกแบ่งออกเป็น 2 เกรดหลักด้วยกัน คือ
กระเบื้องปูพื้นเกรด A คือกระเบื้องที่สมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซนต์ ไม่มีตำหนิเลย โดยสำหรับกระเบื้อง COTTO จะระบุว่าเป็นกระเบื้องเกรด PM ที่ย่อมาจาก Premium Grade
กระเบื้องปูพื้นเกรด B คือกระเบื้องมีตำหนิ (ไม่เกิน 3 จุด) แต่สังเกตได้ยาก ราคาต่ำกว่า เหมาะกับพื้นที่ที่ไม่จำเป็นต้องโชว์ความสวยงาม เช่น ห้องเก็บของ ใต้เคาน์เตอร์ครัว
ภาพ: สำรวจรายละเอียดเกรดกระเบื้องข้างกล่อง
นอกจากการเลือกกระเบื้องปูพื้นที่เหมาะสมและถูกใจแล้ว ในการซื้อกระเบื้องปูพื้นแต่ละครั้งควรซื้อมากกว่าที่คำนวณไว้ประมาณ 5-10% (ขึ้นอยู่กับพื้นที่ รูปแบบการปู และขนาดกระเบื้อง) เผื่อการตัดเศษ หรือแตกหักระหว่างการติดตั้ง และควรเป็นกระเบื้องล็อตผลิตเดียวกัน ที่หน้างานควรเตรียมพื้นที่กองเก็บจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ปลอดภัย ก่อนติดตั้งควรตรวจสอบรอยแตกร้าวหรือจุดตำหนิในแต่ละแผ่นทุกครั้ง และที่สำคัญควรติดตั้งกระเบื้องปูพื้นให้ถูกวิธี เพื่อให้ได้บ้านสวยตามต้องการ ทั้งยังใช้งานได้คุ้มค่า ยาวนาน
#รอบรั้วในบ้าน
#รอบรั้วกระเบื้องปูพื้น
ขอบคุณข้อมูลจาก scghome.com
ขอบคุณภาพจาก COTTO
โฆษณา