ทุกคนอาจจะคิดว่าแร็ปเปอร์ชื่อดังอย่าง Dr. Dre ประสบความสำเร็จเพราะการทำเพลงสุดฮิตให้กับทั้งตัวเองและศิลปินชื่อดังมากมาย แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงในด้านของชื่อเสียง เพราะสิ่งที่ทำให้เขาเป็นแร็ปเปอร์ที่รวยที่สุดในทศวรรษนี้กลับไม่ใช่การทำเพลง!?
.
วันนี้ Career Fact จะมานำเสนอเรื่องราวของ Dr. Dre ศิลปินแร็ปเปอร์ผู้เลื่องชื่อกับเส้นทางสู่การเป็นแร็ปเปอร์ที่รวยที่สุดในทศวรรษนี้
อังเดรเริ่มออกไปเที่ยวไนท์คลับในแอลเอที่มีชื่อว่า Eve After Dark เพื่อไปซึมซับบรรยาศการแสดงสดของเหล่าแร็ปเปอร์และดีเจที่วนเวียนกันมาหลายคน เขามาบ่อยจนกระทั่งรับงานเป็น DJ ที่คลับนี้ซะเลย โดยเขาใช้ชื่อในการแสดงว่า “Dr. J” ตามชื่อเล่นของนักบาสเก็ตบอลคนโปรดอย่างจูเลียส เออร์วิ่ง (๋Julius Erving)
.
เมื่อได้งาน DJ อังเดรก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนและหันมาทำสิ่งที่เขาชอบอย่างจริงจัง เขาสั่งสมชื่อเสียงจากการแสดงมาเรื่อยๆ และเปลี่ยนชื่อในวงการตัวเองเป็น “Dr. Dre” โดยมีฉายาว่า “Master of Mixology” หรือปรมาจารย์ด้านการมิกซ์เพลง
.
.
#โด่งดังดังจากGangstarRap
.
หนึ่งปีต่อมา อังเดรก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมวง World Class Wreckin' Cru และมีส่วนร่วมในการทำเพลงเวสต์โคสต์ฮิปฮอปอย่าง “Surgery” ที่สามารถขายได้ 5 หมื่นก็อปปี้ในแถบแอลเอตอนใต้ แต่อยู่ได้เพียงปีเดียวเขาก็แยกออกจากวง
.
ในปี 1986 อังเดรก็รวมทีมกับเพื่อนๆ ของเขาอย่าง Eazy-E, Ice Cube และแร็ปเปอร์อีก 4 คน ก่อตั้งวงแร็ปที่มีชื่อ N.W.A (Niggaz With Attitude) โดยสังกัดอยู่ในค่ายเพลง Ruthless Records ซึ่งการมีวงเป็นของตัวเองนั้นทำให้เขาสามารถทำเพลงได้ดั่งใจต้องการ เนื้อหาในเพลงของเขาซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องชีวิตจึงค่อนข้างรุนแรงและเปิดเผย
อังเดรต้องถอนตัวออกจากวงอีกครั้งเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมวงอย่าง Eazy-E เขาตัดสินใจก่อตั้งค่ายเพลงแร็ป Death Row Records ร่วมกับเพื่อนอีกคนในปี 1992 และปล่อยอัลบั้มศิลปินเดี่ยว “The Chronicle” โดยมีเพลงที่ฟีเจอริ่งกับสนูปด็อก (Snoop Dogg) อย่าง "Nuthin but a 'G' Thang," ที่ทำให้เขามีชื่อไปติดอันดับสูงสุดของชาร์ตเพลงฮิปฮอปยอดนิยม
นอกจากการทำเพลงของตัวเองแล้ว อังเดรยังเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินคนอื่นๆ อีกด้วย ย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนอยู่ค่าย Ruthless Records เขาคือคนที่โปรดิวซ์เพลงส่วนใหญ่ของวง N.W.A นอกจากนั้น เขายังเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินส่วนใหญ่ในค่ายอีกด้วย
.
เช่นเดียวกับตอนที่อยู่ค่าย Death Row Records ที่อังเดรเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง เขาเป็นโปรดิวเซอร์ให้อัลบั้ม “Doggy Style” ของศิลปินดังอย่าง Snoopdog และอัลบั้ม “All Eyez on Me” ของแร็ปเปอร์ผู้ล่วงลับอย่าง Tupac
.
ในภายหลัง อังเดรก็ลาออกมาก่อตั้งค่ายเพลงใหม่ของเขาที่มีชื่อว่า Aftermath Entertainment เขาเซ็นสัญญากับแร็ปเปอร์จำนวนมากแต่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคงไม่พ้น 50 Cent และ Eminem ซึ่งผลงานอัลบั้มฮิตไม่ว่าจะเป็น The Slim Shady LP ของ Eminem หรือ Get Rich or Die Tryin' ของ 50 Cent ก็ล้วนมาจากการโปรดิวซ์ของอังเดรทั้งหมด