5 พ.ย. 2021 เวลา 08:35 • ประวัติศาสตร์
- พระอุบาลี ผู้ทรงพระวินัย -
ในกรุงกบิลพัสดุ์มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดในตระกูลช่างกัลบก (ช่างตัดผม) นามว่า "อุบาลี" ครั้นเมื่อเติบโตขึ้นก็ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กตำแหน่งเจ้าพนักงานภูษามาลา ดูแลการตัดแต่งพระเกศา และฉลองพระองค์ให้กับเจ้าชายศากยะ
.
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาโปรดที่กรุงกบิลพัสดุ์ และได้เสด็จไปยังแคว้นของมัลลกษัตริย์ เจ้าชายศากยะทั้ง 5 คือ ภัททิยะ อนุรุทธะ อานันทะ ภัคคุ กิมพิละ และเทวทัต ซึ่งเป็นเจ้าชายจากโกลิยวงศ์ ก็ได้ชวนกันออกบวช โดยมีนายอุบาลีเป็นผู้ติดตาม
เมื่อถึงชายแดน เจ้าชายทั้ง 6 ก็ได้ถอดเครื่องประดับของตนมอบให้อุบาลีเป็นทรัพย์ไว้ใช้ ระหว่างทางที่นายอุบาลีกำลังกลับเมืองก็เกิดความคิดว่า
"หากเรากลับไปพร้อมกับเครื่องประดับของเจ้าชาย เจ้าศากยะหรือชาวเมืองอาจจะคิดว่าเราลวงเจ้าชายมาฆ่าชิงทรัพย์ก็ได้ อีกประการหากเจ้าชายยังออกบวชได้ ทำไมเราจึงจะออกบวชด้วยไม่ได้เล่า"
.
คิดดังนี้จึงทิ้งเครื่องประดับไว้ที่ต้นไม้ พูดว่า "ของนี้เราสละแล้ว ใครเห็นก็จงเอาไปเถิด" แล้วกลับไปหาเหล่าเจ้าชายอีกครั้ง
เจ้าชายทั้ง 6 เมื่อเห็นนายอุบาลีกลับมาก็ได้ซักถามถึงสาเหตุที่กลับมา เมื่อทราบก็พากันไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเจ้าชายทั้ง 6 ทูลขอให้นายอุบาลีได้เป็นผู้ที่บวชก่อน เพื่อที่ตนจะได้ลดมานะถือตัวในความเป็นวรรณะกษัตริย์ (สำหรับพระจะเคารพกันตามภันเต คือผู้ที่บวชก่อน)
พระอุบาลีเมื่อบวชแล้วก็ทูลขอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าป่าไปปฏิบัติธรรม แต่ทรงไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าการอยู่ในสำนักของพระองค์ที่ได้ทั้งปฏิบัติธรรมและศึกษาเล่าเรียนไปด้วยจะเกิดประโยชน์มากกว่า พระอุบาลีจึงตั้งใจปฏิบัติธรรม ไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้ศึกษาพระวินัยจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงจนแตกฉาน วินิจฉัยเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม จนได้รับการยกย่องในตำแหน่ง "เอตัคทัคคะด้านผู้ทรงพระวินัย"
หลังจากพุทธปรินิพพาน ท่านก็มีส่วนสำคัญในการสังคยนาครั้งแรก เป็นผู้ตอบคำถามในเรื่องข้อบัญญัติพระวินัยต่างๆ โดยมีพระมหากัสสปเถระประธานในการสังคายนาเป็นผู้ถาม
เพราะเหตุใดชาตินี้พระอุบาลีจึงต้องมาเป็นผู้รับใช้คนอื่น?
มีสองชาติสำคัญที่ถูกกล่าวถึงคือ ชาติหนึ่งท่านเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ สุชาต ในนครหังสาวดี มีทรัพย์ 80 โกฏิ เป็นผู้มีความรู้ เป็นที่เคารพนับถือของผู้คน แต่ท่านไม่นับถือใคร มีมานะ ไม่เห็นผู้ที่ควรบูชา
อีกชาติหนึ่งในกัปที่สองหลังภัทรกัปนี้ เกิดเป็นพระโอรสพระเจ้าอัญชสะนามว่า จันทนะ เป็นคนกระด้างแข็งกร้าว ถือตัว มัวเมาในชาติตระกูล ยศและสมบัติมาก ขณะทรงช้างเที่ยวไปนอกพระนคร พบพระปัจเจกพุทธเจ้าระหว่างทาง ได้ไล่ช้างล่วงเกินพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ช้างไม่ไป ก็พาลโกรธไปเบียดเบียนพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเสด็จไปยังอุทยานต่อ เกิดความรู้สึกกระวนกระวายเมื่อถูกไฟแผดเผา จึงได้ไปเข้าเผ้าพระบิดาทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง พระบิดาทราบจึงรีบไปขอขมาพระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยวิบกกรรมนี้ เป็นเหตุให้ท่านเกิดในตระกูลที่ต้องรับใช้ผู้อื่นในปัจจุบันชาติ
แต่ใช่ว่าท่านจะเป็นผู้มีมานะทุกภพทุกชาติ เพราะว่าในสมัยในสมัยพระพุทธเจ้านาม ปทุมุตตระ พระอุบาลีเกิดเป็นดาบสชื่อ สุนันทะ ในชาตินี้ ท่านได้สร้างปะรำดอกไม้บังแดดให้พระพุทธเจ้าและผู้คนในเวลาฟังธรรมตลอด 7 วัน 7 คืน ในวันที่ 8 พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ว่า ท่านจะได้เป็นเอตัคทัคคะด้านผู้ทรงพระวินัยในสมัยของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อสุนันทดาบสได้ฟังพุทธพยากรณ์ก็เกิดความดีใจ จึงซื้อสวนด้านหน้าพระนครสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า
จากอดีตชาติของพระอุบาลีที่ท่านเป็นผู้มีมานะ ถือตน ไม่เคารพใคร ทำให้ท่านเกิดมาอยู่ในตระกูลที่ต้องคอยรับใช้ผู้อื่น เพราะใจสั่งสมภาพของการกดขี่ผู้อื่นมามาก เห็นได้ว่านิสัยของเราไม่ได้เป็นกันแค่ชาตินี้ชาติเดียว และการที่ท่านได้ทำบุญใหญ่ในชาติที่เป็นสุนันทดาบส แม้ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นเอตัคทัคคะ ก็ยังไม่ประมาท ตั้งใจสั่งสมบุญอยู่เสมอ ทำให้เห็นจากเรื่องนี้ว่า
.
ชีวิตของคนเราต้องรู้จักแก้ไขนิสัยตัวเอง เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเป็นจะไปกระทบคนอื่นจนเกิดเป็นวิบากเมื่อไหร่ และอย่าประมาท วันนี้ได้รับการชื่นชม ยกย่อง หากไม่ฝึกฝนตัวเองให้ดีต่อไป สักวันสิ่งเหล่านี้ก็จะเสื่อมไป
ขอบคุณที่ให้ได้แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ในวันนี้นะคะ
แล้วพบกันค่ะ
อ้างอิง :
- สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา ฉบับมหามกุฏฯ เล่มที่ 2 ภาคที่ 3
- หนังสืออนุพุทธประวัติ ธรรมศึกษาชั้นโท
โฆษณา