27 ธ.ค. 2021 เวลา 10:01 • ท่องเที่ยว
Chapter 21 : Snow Mountain Yunnan
ยูนนาน กะ ภูเขาหิมะ
มาถึงภาคต่อทริปจีนทริปที่สองของเดือน พ.ย. 2019 กันละ ทริปนี้ก็เป็นทริปที่ต้องไปทำงานอีกเช่นกัน แต่จะเฮฮาปาจิงโกะนิดหน่อย เพราะเป็นทริปพาลูกค้าบริษัทฯ เที่ยว ตอนนั้นตื่นเต้นนะที่จะได้ไปจีนอีกละ แต่ตื่นเต้นแบบไม่ค่อยอยากไปนะ 🤣 เพราะคราวนี้มันต้องไปต่างจังหวัดของจีน ไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง หรือเซี่ยงไฮ้ เพราะฉะนั้นเรื่องความกันดาร บอกเลย…..ว่าเจอชัวร์ 🤣🤣🤣
เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาเริ่มเที่ยวกันเลยค่ะ 😁
วันแรกของการเดินทาง ทริปนี้เราไปกัน 4 วัน โดยนั่งการบินไทยไปลงที่สนามบินฉางสุ่ย เมืองคุนหมิง
เราออกจากกรุงเทพฯ 10.50 ถึงคุนหมิงประมาณ 14.05 (เวลาที่จีนเร็วกว่าไทย 1 ชม.) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. กว่าเอง กำลังสบายๆ หลังจากผ่านพิธีศุลกากรเราก็ไปเที่ยวที่แรกกันเลย
ตำหนักทอง หรือ จินเตี้ยน (Jindian) ตั้งอยู่บนภูเขาหมิงฟ่งซาน ตำหนักทองถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ตัวตำหนักมีความสูง 6.7 เมตร ยาว 6.2 เมตร สร้างขึ้นด้วยทองเหลืองทั้งหลังน้ำหนักกว่า 250 ตัน นับเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยทองเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของจีนเลย
ตำหนักทอง หรือ จินเตี้ยน (Jindian)
พอไปถึงจุดจอดรถ เราต้องเปลี่ยนเป็นรถ shuttle bus ของที่นี่อีกที เพราะมันเป็นทางขึ้นเขา แต่ถ้าอยากทดสอบความแข็งแรงด้วยการเดินขึ้นไปเองก็ได้ แต่คณะเรามีผู้สูงอายุเยอะ ก็เลยขอแบบสบายๆดีกว่า 😁
ข้างในตำหนักทองร่มรื่นและเงียบสงบดี
ตำหนักทอง หรือ จินเตี้ยน (Jindian)
ออกจากตำหนักทอง เราก็พาลูกค้าไปทานอาหารเย็นกันต่อ จากนั้นก็ check-in เข้าโรงแรม คืนนี้พวกเราพักกันที่ Long Way Hotel ซึ่งด้านหลังของโรงแรมจะเป็นตลาดขายของด้วยมีทั้งของกิน ของใช้ ผลไม้ supermarket ดีเลย จะได้มีที่เดินเล่นหาของกินแปลกๆมาชิมกัน
หลังจากเก็บของกันเรียบร้อยแล้ว เรากะทีมงานก็ออกมาสำรวจตลาดของคุนหมิงกัน
ตลาดที่นี่เหมือนตลาดนัดบ้านเราเลย เป็นซอยเล็กๆขนาดประมาณถนน 3 เลนได้ คนเดินกันขวักไขว่ไปหมดทั้งพ่อค้า แม่ค้า ลูกค้า และนักท่องเที่ยว มีร้านค้าแผงลอยตั้งเต็มไปหมด แต่ละอย่างมองไปแล้วก็สงสัยว่ามันคืออะไรฟระ 🤣
หลังจากเดินสำรวจกันจนสุดถนนรอบนึง ก็ตกลงว่าชิมร้านนี้ละกันเพราะกลิ่นหอมมาก เป็นร้านแบบปิ้งย่างที่อยู่ในซอยอีกที ไอ้เราก็สั่งกันมั่วๆ เพราะพูดจีนได้ไม่กี่คำเอง ปรากฏป้าเจ้าของร้านฟังรู้เรื่องด้วย วิญญาณนักขายไง ไม่รู้เรื่องก็ต้องรู้เรื่อง 😁
ก็ได้มาหลายจานอยู่ นี่ขนาดเสร็จมื้อเย็นมาละนะ ยังสามารถทานได้อีก เนื้อย่าง หมูย่าง ไส้ย่างจัดมา อร่อยหมดเพราะทานกันร้อนๆไม่ต้องจิ้มอะไรเลย แต่เบียร์ของที่นี่บอกตรงๆว่าจืดมาก แทบจะเหมือนน้ำเปล่าอัดแก๊สเลย
นั่งทานกันไป เม้ากันไปซักพัก หันไปเห็นเด็กน้อยกะลังยืนชิ้งฉ่องอยู่ ซึ่งแว่บแรกก็แค่คิดว่าไอ้เด็กน้อยนี่มันช่างกะไร ยืนปล่อยข้างๆโต๊ะเราเลย พอมองลงไปที่เท้าไอ้หนูเท่านั้นแหละ แทบอ๊อก
ไอ้ตัวแสบมายืนฝึกความแม่นอะไรตรงนี้ฟระ แถมเป็นขวดเบียร์ที่พวกเราเอาไปวางไว้อีก 🥴 เอ๊ะหรือนี่คือที่มาของเบียร์ที่นี่ OMG 😱 กลั่นกันสดๆ 🤣🤣🤣🤣
ทำใจกะภาพบาดตาบาดใจที่เพิ่งเห็นไปซักพัก มองเวลาเกือบเที่ยงคืนละ กลับกันดีกว่าเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาดูแลลูกค้ากันอีก เป็นอันจบวันเฮฮาวันที่ 1
วันที่ 2 เช้านี้เราจะต้องนั่งรถยาวมากๆเพื่อไปนอนบนเขาหิมะเจี้ยวจื่อ แต่เราจะแวะไปถ่ายรูปที่อุทยานน้ำตกกันก่อน
อุทยานน้ำตก
อุทยานน้ำตก เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ภายในประกอบด้วยน้ำตกขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างด้วยมนุษย์ มีขนาดกว้างถึง 400 เมตร และสูงกว่า 12.5 เมตร และทะเสสาปอีก 2 แห่ง
อุทยานน้ำตก
ด้านในคนเยอะพอสมควร มีทั้งคนจีนเอง ทั้งนักท่องเที่ยว เดินกันให้ขวั่ก
ดีจังเลยที่ในเมืองมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่แบบนี้ให้คนมาพักผ่อน ถึงแม้รอบๆสวนจะรายล้อมไปด้วยตึก แต่อากาศก็โคดดีเลย สดชื่นมากๆ
อุทยานน้ำตก
ออกจากสวนสาธารณะพวกเราก็เริ่มเดินทางไปขึ้นเขาเจี้ยวจือกัน ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม. แน่ะ 😩 นั่งกันเมื่อยก้นเลย
ระหว่างทางก็มีจุดแวะพักเพื่อเข้าห้องน้ำ อยากจะบอกว่า ที่จุดแวะพักนี่ เค้าสร้างห้องน้ำไว้รองรับนักท่องเที่ยวเยอะมากๆเลยนะ น่าจะมากกว่า 50 ห้องได้ เข้าคิวกันแป๊บเดียวเอง แต่ถึงห้องน้ำที่นี่มันไม่ได้สะอาดเท่าห้องน้ำปั๊มบ้านเรา เพราะมีคนคอยทำความสะอาดทุกชั่วโมง แต่ก็ถือว่าโอเคละ
นั่งรถมาได้ประมาณ 2 ชม. เราก็แวะพักชมทัศนียภาพของ หงถู่ตี้ ที่แปลว่า แผ่นดินสีแดง กันด้วย
หงถู่ตี้
หงถู่ตี้ อยู่ในเขตเมืองตงชวน มีภูมิประเทศที่เป็นทิวเขา ดินที่นี่จะมีสีค่อนข้างแดง ซึ่งในช่วงหน้าร้อนจะมีดอกไม้หลากสีขึ้นเต็มไปหมด เมื่อสีของดอกไม้ตัดกับสีของดินเลยออกมาสวยงามมาก คนจีนเลยเรียกที่นี่ว่า เมืองภูเขาเจ็ดสี เสียดายช่วงที่เราไปเป็นหน้าหนาว ไม่มีดอกไม้ละ เห็นแต่ดินสีแดงๆ 🥲 แต่ก็สวยไปอีกแบบ
อากาศดีนะ แต่ลมก็แรงมากเพราะมันอยู่สูงไง พอลมพัดมาที หืมมม ฝุ่นเต็มตัวเลยจ้า ไอ้ที่แดงนี่คือหัวตูนี่ล่ะ 🤣
หงถู่ตี้
จากหงถู่ตี้ เราต้องนั่งรถกันต่ออีกประมาณ 2 ชั่วโมง รถเริ่มไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เริ่มสัมผัสได้ถึงความหนาวกันแล้ว ลูกค้าบางคนเมารถ อาเจียร เวียนหัวกันก็มี โชคดีที่เรามีร่วมยามาด้วย ช่วยได้มาก
หลังจากเดินทางกันมาอย่างเนิ่นนานก็ถึงจุดหมายซะที Wangtong Hotel ซึ่งคืนนี้เราก็จะทานอาหารค่ำกันที่นี่ด้วย โดยคืนนี้จะมีโชว์สวยๆจากทางโรงแรม และภาคบังคับ "คาราโอเกะ" ให้ลูกค้าปล่อยของกัน แม๋ เพิ่งรู้ ลูกค้าเราแต่ละคนลูกคอขั้นเทพเลย 🎤😬
หลังจากเฮฮากันจนประมาณสี่ทุ่ม ก็เชิญลูกค้าไปพักผ่อนเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการขึ้นภูเขาหิมะในวันพรุ่งนี้กัน 😤
วันที่ 3 ตื่นเต้นมาก เช้านี้พวกเราต้องเดินขึ้นไปชมความงามของภูเขาเจี้ยวจื่อ (Jiaozi Mountain) ที่ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 4,223 เมตร 🥶 ที่ตื่นเต้นเพราะไม่เคยเดินขึ้นที่สูงขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ตัวเองจะรอดมั้ย และต้องดูแลลูกค้าอีกประมาณร้อยกว่าคนที่มีทั้งเด็กและคนสูงอายุ
สำหรับการขึ้นเขาที่มีความสูงขนาดนี้ ไกด์มีการแนะนำลูกค้าให้ซื้อกระป๋องออกซิเจนซึ่งมีขายบนรถเผื่อไว้ด้วย มันเป็นของจำเป็นเพราะเวลาขึ้นที่สูงความกดอากาศจะต่ำอากาศน้อยทำให้หายใจได้ลำบาก บางคนอาจจะเกิดอาการหน้ามืดเป็นลมได้ เพื่อความชัวร์เราก็แนะนำลูกค้าให้ซื้อสำรองไว้ คิดว่าได้ใช้แน่ๆ ตัวเราและทีมงานก็ซื้อกันทุกคน
ซักซ้อมวิธีการใช้งาน ลองซดดูซักปื้ดนึง ใช้ได้แฮะ สดชื่นดี 😁
เอาละ คนพร้อม อุปกรณ์พร้อม ลุย 😤
จากจุดจอดรถ เราต้องเดินไปขึ้นรถบัสของที่นี่เพื่อขับขึ้นเขาไปอีกต่อนึง และหลังจากลงจากรถบัสก็ยังต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบนอีกต่อนึง เชื่อละว่าสูงจริง 😆
อากาศด้านบนเย็นมากกกก จำได้ว่าติดลบประมาณ 10 องศา 🥶 เราอัดเสื้อนวมกันหนาว 2 ตัวซ้อนจนตัวบวมเลยพราะเป็นคนขี้หนาวมากๆ
ภูเขาเจี้ยวจื่อ (Jiaozi Mountain)
หลังจากลงจากกระเช้าก็จะเจอทางเดินขึ้นไปยอดเขา พวกเราก็ค่อยๆเดินกันช้าๆ ไม่รีบ เพราะยิ่งเดินสูงขึ้นอากาศก็ยิ่งเบาบางลง รู้สึกถึงประโยชน์ของไอ้เจ้ากระป๋องออกซิเจนขึ้นมาเลย หมั่นเอามาซดเป็นพักๆ ช่วยได้ดีมากๆ
ภูเขาเจี้ยวจื่อ (Jiaozi Mountain)
วิวด้านบน จะเป็นน้ำแข็งมากขึ้นๆ ดีที่ช่วงที่ไปหิมะยังไม่ตกเพราะถ้าหิมะตกจะยิ่งเดินลำบาก
ฮึบฮึบ ในที่สุดก็ขึ้นมาจนถึงจุดชมวิวด้านบนโดยที่ไม่เป็นลมจนได้ 😤 ยังเหลือออกซิเจนด้วยนะฮ้า 🤣🤣🤣
ภูเขาเจี้ยวจื่อ (Jiaozi Mountain)
ด้านบนเอาจริงๆ มองอะไรแทบไม่เห็นเพราะมันดูเป็นหมอกๆไปหมดเลย รู้แต่หน๊าววววหนาว ขึ้นมาชื่นชมกันได้ประมาณ 15 นาที เยาะเย้ยคนที่มาถึงทีหลังเราจนหนำใจละก็เตรียมตัวเดินลงค่ะ
1
ภูเขาเจี้ยวจื่อ (Jiaozi Mountain)
ขาลง ชิลค่ะ ไม่เหนื่อยเท่าตอนไต่ขึ้นมาละ พวกเรา staff มีหน้าที่ปิดท้ายขบวน หลังจากนับจำนวนคนจนครบแล้วก็นั่งกระเช้าลงด้านล่างกัน เมื่อกลับลงมาถึงด้านล่าง ก็ทานอาหารเที่ยงกันเลย เพราะใช้แรงกันไปเยอะ หิวซ่กเลย มื้อนั้นรู้สึกอาหารอร่อยเป็นพิเศษ
จากภูเขาหิมะ เราก็เดินทางกลับเข้าเมืองคุนหมิงกัน นั่งรถย๊าวววยาวอีกตามเคย กลับมาถึงตัวเมืองคุนหมิงก็เข้าพักที่โรงแรมเดิม จากนั้นก็ออกไปทานอาหารเย็นกัน เสร็จจากอาหารเย็นก็เป็น free time เดินเล่นในถนนคนเดินที่คุนหมิง
เก๋อยู่นา มีของขายสองข้างทางเต็มไปหมดเลย ทั้งร้านขายเสื้อผ้า ทั้งร้านขายขนม เราก็เดินชิมนั่นชิมนี่ไปเรื่อย จนได้เวลากลับโรงแรม เป็นอันจบวันที่ 3 ที่แสนทรหด 🥴 ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
วันสุดท้ายของการเดินทาง วันนี้ พวกเราไปไหว้พระที่วัดหยวนทงกันค่ะ
วัดหยวนทง เป็นวัดเก่าแก่มีอายุกว่า 1,000 ปี มีความผูกพันกับชาวจีนมาอย่างยาวนาน
วัดหยวนทง
ภายในมีศาลาแปดเหลี่ยมซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิม 24 กร ที่ผู้คนให้ความนับถือกันมาก
วัดหยวนทง
ข้างในวัดเงียบสงบมาก ทั้งๆที่ติดถนนใหญ่และรถด้านนอกจอแจมาก
วัดหยวนทง
ออกจากวัด เราก็ไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหาร จากนั้นก็ตรงไปสนามบิน เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่อง เพราะเครื่องของเราจะออกประมาณบ่ายสามค่ะ เวลาดีมากๆ ถึงกรุงเทพฯไม่ดึก จะได้ไม่เหนื่อย ก็เป็นอันจบทริป ยูนนาน แดนภูเขาหิมะของเราค่ะ
มานึกๆดู ในชีวิตก็ไม่เคยต้องเดินขึ้นที่สูงขนาดนี้มาก่อน ส่วนใหญ่คือนั่งกระเช้าไปถึงยอดเขาเลย แต่นี่ต้องเดินเองแถมต้องคอยสูดออกซิเจนไปเป็นระยะๆ สนุกดี เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน
หลายๆ คนอยากจะทดสอบสมรรถนะของตัวเองว่ารอดมั้ย สุดท้ายก็ทำได้และลงมาคุยกันอย่างสนุกสนาน เป็นความภาคภูมิใจอย่างนึงเลยน้า 😁 นี่แหละความสนุกของทริปลูกค้า ที่นอกจากจะได้ความสนุกสนานแล้วยังได้ความประทับใจเก็บไปเป็นที่ระลึกด้วย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 😊
โฆษณา