9 พ.ย. 2021 เวลา 16:54 • ปรัชญา
ปฏิบัติธรรมต้องมีขันติ ให้กายสอนจิต จับตนค้นตน แก้ไขนิสัยของตน
ธรรมะ..อยู่ที่ตน อยู่ที่ตนกระทำผิดนั้นแหละ แก้ไขความผิดอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่อยู่ที่คนโน้นพูดคนนี้พูดอะไรต่างๆ ไม่มีใครแก้ไขให้เราได้หรอก พระพุทธเจ้าก็แก้ไขให้เราไม่ได้ เพียงแต่ชี้ให้เห็นเท่านั้นแหละ แล้วเราก็ไปกระทำขึ้น เพราะไม่ใช่กายของท่าน ไม่ใช่จิตของท่าน ท่านจะไปแก้ไขยังไง เรากระทำความผิด กระทำความดีอย่างไร จะเป็นขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ ก็เป็นของเราทั้งนั้น เราก็ต้องแก้เอง ทำเองทั้งนั้น พอจะเข้าใจนะ..
ธรรมอยู่ที่จิตของเรา แก้ไขอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่ไปแก้ไขคนอื่น เรามองคนอื่นได้..มองน้อยๆ แล้วมามองนิสัยตัวเองมากๆ มองนิสัยตัวเองได้มากเท่าไหร่ มันก็ประเสริฐ แล้วการแก้ไขกรรม มันก็สบายมากขึ้น
นั้งพับเพียบ ขยับกาย ตั้งกายให้ดี ยกมือซ้ายขึ้นมาอยู่ที่หน้าตัก พูดด้วยว่า มารดา ยกมือขวาขึ้นมาอยู่ที่หน้าตักมาซ้อนกัน พูดว่า บิดา แล้วเราก็นั่งตัวยืดตรง ดูว่าคอของเรา หน้าของเราตรงมั้ย ดีแล้ว..เราก็หลับตา ภาวนา..พุทโธขึ้น ก่อนที่จะภาวนาพุทโธ ก็บอกตัวเอง ว่า …
กายนิ่ง… จิตเฉย จิตไม่คิดอะไร นั้นแหละ คือ การสร้างสมาธิ ปฏิบัติธรรม
ถ้ามัวไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ หรือนึกอะไรขึ้นมา โลกก็ถ่วงไปกินแล้ว กรรมถ่วงไป เราก็มีแต่เรื่องสร้างแต่เวรแต่กรรมกันไม่หยุดไม่หย่อน ก็ต้องเกิดมา ตายแล้วเกิดกันอยู่อย่างนี้ หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น เกิดมาแต่ละครั้งๆ มันเสี่ยง..เสี่ยงการเกิดเหลือเกิน แล้วเกิดมาครั้งหนึ่ง พอเกิดมาครั้งหนึ่ง เกิดเป็นคนพิการขาด้วน หูหนวกตาบอด จะทำอย่างไร มันต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างงั้น
เราอยู่ปัจจุบันนี้ ถ้าเราอาจจะพลาดพลั้งไป อาจจะเกิดเป็นคนพิการเมื่อเกิดมาใหม่ก็ได้ หัวโตเท่าลูกมะพร้าว หรือง่อยเปลี้ยเสียขา หรือ ว่าเป็นคนปัญญาอ่อนเกิดขึ้น ไม่อย่างงั้น อาจจะถึงเวลา อายุสิบยี่สิบสามสิบปี เป็นคนวิกลจริตเกิดขึ้นก็ได้ นั้นแหละ การเสี่ยงทุกครั้งที่เกิดมา
คราวนี้ ทำยังไงจะต้องให้การเกิดน้อยที่สุด หรือ ไม่เกิดเลย ก็อยู่ที่ตัวเรา อยู่ปัจจุบันเนี่ย
..เรารู้แล้วนี่ วันนี้เราดีสบาย มานั่งทำสมาธิ กายก็เป็นบุญ จิตก็มีปัญญาที่แก้ไข รู้จักกรรม ก็หยุดกรรม..นิ่ง จิตนิ่ง..ไม่ไปตามอารมณ์ ..
ถ้าไปตามอารมณ์ เกิดกรรมเกิดขึ้น
..อารมณ์ก็เกิดจาก แม่ทั้งสี่ที่ลอยเป็นอารมณ์เกิดขึ้น สั่งจิตเราให้นึกคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้น
..นั้นแหละ คือ กรรมทั้งนั้นที่ลอยขึ้นมา นั้นแหละคือกรรมทั้งนั้น ไม่ใช่ว่ามันจะมีความสุขตรงไหน หาความสุขไม่เจอ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น แต่เรามองไม่เห็นทุกข์นั้นเอง เหมือนกับเรา..การทำงาน เราไปทำงาน วันหนึ่งๆ ได้ปัจจัยมากระทั่งสังขาร เราก็ไม่รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้น กับตัวเราเอง เกิดมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายก่ายกอง เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้น คือ กรรม ที่จะต้องไปชดใช้กันวันข้างหน้า นึกว่าการพูดวันนี้ ไปต่อว่าต่อขาน หรือไปทำอะไรสักอย่างนึกว่า มันจะจบอยู่แค่นั้น มันต้องมาชดใช้กัน
เห็นมั้ย ว่าการชดใช้หนี้สิน ทุกวันนี้ เราก็ใช้หนี้สินกันอยู่ ใช้ทั้งวาจา ทั้งกาย ทั้งจิตใจ อะไรต่างๆเนี่ยทุกข์ทรมานอย่างนี้ แต่เราก็..กรรมปิดบังไม่ให้เราได้รับรู้เท่านั้นเอง แต่ลึกลงไปแล้ว ไปพิจารณาดูซิ วันหนึ่งนี่ เราไปกระทบอะไรมาบ้าง เพราะว่ามันไม่เจ็บไม่ปวดไม่ถึง กับต้องกินยูกกินยา เลยไม่รู้ว่านั้นคือ กรรม ..กรรมจากอารมณ์ ที่เค้าสู่จิตของเราโดยที่เราไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะอารมณ์นั้นเองที่นำพามา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีความทุกข์มีความสุขก็มาจากอารมณ์ ฉะนั้น..ถ้าเราศึกษาเรื่องอารมณ์ เราจะรู้จักว่าอะไรดีอะไรไม่ดี สิ่งไหนไม่ดี เราก็ไม่ทำ สิ่งไหนดีเราก็กระทำขึ้นมา
คราวนี้ที่อยู่ปัจจุบันนี้ มันกลั้วกันไปหมดเลย รวมๆกันแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ทำไปเพื่อประทังสังขารไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง กลัวกันจังเลย ไอ้เรื่องสังขารว่า ไม่มีที่จะกิน ไม่มีที่จะอยู่ ไม่มีที่จะนอนอะไรต่างๆ แต่ไม่กลัวจิตของตัวเอง ที่จะเดินทางออกจากสังขารนี้ไป อยู่อีกสังขารหนึ่ง สังขารนั้นเป็นสังขารอะไรเราไม่รู้ เพราะเราไม่สามารถพิจารณาได้ว่ากรรมที่ตัวเองสร้าง ดีและชั่วไม่รู้จักเกิดขึ้น นั้นแหละ สิ่งเหล่านั้นแหละ น่ากลัว ถ้าอยู่ปัจจุบัน ที่มีเป็นชีวิตมีกายเป็นมนุษย์อยู่ปัจจุบันนี่ ไม่น่ากลัวอะหรอกนะ จะไม่มีกินไม่จะนอน มันก็มี..ข้างถนนก็นอนได้..ก็หลับ
ถ้าไปถึงตกไปถึงอบายภูมินั้นน่ะ มันจะนอนตรงไหน นอนที่มีความสุขไม่มี มีแต่ความเร่าร้อนตลอดเวลา หรือ ว่าเกิดไป..จิตของเราไปตกเป็นสัตว์ขึ้นมา นอนตรงไหน มันนอนได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นมนุษย์เนี่ย ถึงเวลานอนก็นอน ตรงไหนก็นอน ไม่จำเป็นต้องหาห้องหับอย่างดี มีน้ำอบน้ำปรุงไม่ใช่อย่างนั้น มันหลับทั้งนั้น ดูคนข้างถนนมันก็หลับ เราอยู่คฤหาสน์อย่างดีก็หลับเหมือนกัน บางทีคนข้างถนนมันหลับไปแล้ว เรายังนอนพลิกไปพลิกมานั้นก็คือ อารมณ์..อารมณ์กรรม ที่มันเกิดขึ้นกับตัวเราเอง ความโลภโกรธหลงมันเกิดขึ้น มันไม่หยุดยั้งได้
มาศึกษาเรื่องอารมณ์ของตัวเอง เราจะหยุดยั้งอย่างไร ถึงจะไม่ให้เกิดกรรม อารมณ์มันไหลมา มันก็เป็นกรรมเข้าสู่จิตของเรา เราก็ต้องมาศึกษากันเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่า จะปล่อยให้มันไหลเข้ามา แล้วก็ ไปทำตามอารมณ์ไปตลอดเวลา ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นดีอย่างไร ดีและชั่วอย่างไรไม่รู้ แต่ฉันจะทำเหมือนกับว่า มีผู้ใหญ่เค้าสั่งมาให้เราไปทำความผิด เราก็อย่างนั้นแหละ
คราวนี้สิ่งนั้น เราพอจะรู้ กลับเป็นความโลภของเรา อยากจะทำตามที่เค้าสั่ง ทำในสิ่งที่ผิดๆเกิดขึ้น กรรมก็ตกมาอยู่ที่เรา ไม่ได้ไปตกผู้สั่ง เห็นมั้ย อารมณ์มันสั่งจิต ใครเล่าจะเป็นผู้รับล่ะ จิตเป็นผู้รับไปกระทำ โดยที่ไม่พิจารณาว่าสิ่งนั้น คือ กรรม ..กรรมดีกรรมชั่วไม่รู้จัก เพราะว่า เราไม่เอาจิตมาศึกษา ศึกษาเรื่องราวของดีและชั่ว นั่นเอง …สร้างสติขึ้นมา
เมื่อมีสติขึ้นมาได้ จิตของเราก็มีรายละเอียดที่จะพิจารณาเรื่องราวอารมณ์เกิดขึ้น อย่างนี้ อย่างมานั่งเฉยน่ะ ไม่คิดอะไรเลย นั้นแหละ คือ ผู้มีสติ ที่จะมีปัญญาต่อไป เมื่อมีสติแล้วก็ส่งไปให้จิต จิตก็ต้องพิจารณา
คราวนี้..มีแต่อารมณ์ อารมณ์สั่งมาสติไม่มี ไปตาม..เค้าบอกฉันทำอะไรนี่ สมมุติว่าหั่นผัก ต้องมีสติน่ะหั่นผัก หั่นไปยังไง หั่นไปทำอะไร ไปไหนมาไหนไม่รู้ว่ามัน เอาไปแกงไปต้มไปผักอะไรก็แล้วแต่ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาไปทำไม แล้วก็ไม่รู้ว่า ไอ้ผักที่หั่นมันมากมายก่ายกองขนาดไหน หรือ มันน้อยเกินไปไม่รู้จัก มีรู้จักแต่ว่าเอามาประทังสังขาร เอามาจนล้นเหลือ เอามาจนต้องเอาไปทิ้งบ้าง บางทีก็ไม่พอบ้างอะไรต่างๆ
เหมือนกับคนที่โลภน่ะ มีเงินมีทองหามาเท่าไหร่ก็ไม่พอ ว่าแค่นี้ฉันจะมีพอแล้ว มีเงินอยู่สักกระป๋อง ฉันจะมาประพฤติปฏิบัติ แก้ไขนิสัยของเวรของกรรม ไม่สร้างเวรสร้างกรรมอีกแล้ว พอได้เงินหนึ่งกระป๋อง มันพอมั้ย มันก็ต้องเอาจากหนึ่งเป็นสองเป็นสามเป็นสี่ ตกลงตลอดชีวิตต้องมีเงินกี่กระป๋อง แล้วในที่สุด ก็จมอยู่กับโลภโกรธหลง จมอยู่กับกับความทะเยอทะยานไม่รู้จักจบสิ้น นั้นก็เพราะไอ้ตัวโลภตัวเดียว ตัวยึดตัวเดียว แล้วมันพาไปอวดดี อวดเก่งไปอีก
คนที่มีเงินมีทองมากๆ มียศฐานบรรดาศักดิ์ใหญ่ๆ หรือ ว่าคนที่ถูกยกย่องสรรเสริญ อะไรที่มันส่งมาให้ ตัวอวดดี เห็นตัวเองดีแล้วเกิดขึ้น ไม่รู้หรอกว่าสิ่งเหล่านั้นมันพาไปไหน มันมีแต่โลภโกรธหลงทั้งนั้น ที่ยึดอยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นระวัง ต้องมาศึกษาธรรม ตามรอยองค์พระสักสัมพุทธเจ้าเนี่ย มันก็หยุดยั้งเรื่องราวความอวดดีของตัวเอง มีแต่นอบน้อมถ่อมตน มีแต่ให้ ให้ทั้งอารมณ์ ให้ทั้งกาย ให้ทั้งหมด เค้าไม่เอามาเก็ยไว้ เพราะสิ่งนี้ของๆโลกเค้าเค้าไม่เอามาเก็บไว้ แล้วสิ่งที่ได้คือความสบายใจ สบายใจ..จิตมันได้มั้ย จิตกันก็สบายเกิดขึ้น
คราวนี้การให้ ให้เวลาของเรา ที่จะปลดเปลื้องเรื่องราวของกรรมบ้าง เรามีเวลาให้กับจิตเราบ้างมั้ย มีแต่ให้กับอารมณ์ อารมณ์ต้องการอะไร สั่งมาเถิด จิตจะสนอง จะเป็นผู้สั่งเด็ดขาดให้กับผู้สนองต่ออีกทีหนึ่งก็คือกาย พออารมณ์สั่งมากก็ไปเลย สร้างเวรสร้างกรรมอะไรไม่รู้ แต่เราพอจิตจะปล่อยเรื่องราวของกรรมบ้าง ให้มีสติบ้าง อารมณ์ยอมมั้ย..อารมณ์เค้าไม่ยอมหรอก เพราะว่าเค้าเป็นนาย..ผู้ที่เป็นทาสของอารมณ์เนี่ย จะหนีจากเค้าง่ายๆไม่ได้ ฉะนั้น..ก็มีอยู่อย่างเดียว ที่จะทำได้ คือ การทำบุญ ให้ทาน เราทำมากๆเข้า จิตมันก็รู้จักว่า ..เออ..ควรจะให้อะไรกับสติอย่างไรบ้าง เพื่อจะให้เป็นทานต่อไป ทานจากอารมณ์ ทานของอารมณ์ต่างๆออกๆไป ค่อยๆขยับขยายออกไป ทีละนิดทีละหน่อย แล้วในที่สุดก็ได้มาเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอยทั้งสี่เกิดขึ้น
เมื่อปฏิบัติเข้า ปัจจัตตังจะรู้ได้เฉพาะตนว่า อะไรมันเกิดขึ้นจากจิต สิ่งทั้งหลายนร่ช้ เมื่อทำไปๆ จิตจะรู้จักอารมณ์ อ๋อ..ไอ้ที่เราอยากมีบ้านใหญ่ๆ อยากมีเงินมีทอง กลัวจะอดกลัวจะอยากก็เพราะอารมณ์นี่เอง
ที่จริง แล้วเราก็มีของที่ประทังไป มื้อหนึ่งมื้อหนึ่งเท่านั้น แต่นี่มันเลยมื้อไป แล้วก็ถ้าถึงเวลานั้น ไอ้ที่หามาได้มากมายก่ายกองนี้ มันก็ทิ้งไว้กับโลก เอาไปไม่ได้ ของๆโลภเค้า เอาไปไม่ได้ เค้าให้ยืมใช้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น อยากได้มากเค้าก็ให้มาก ถ้าคนไม่อยากได้เลย เค้าก็ไม่ให้ เค้าก็ไม่ทำ ไม่ส่งให้ เมื่อไม่ทำ ไม่ส่งให้ ผู้นั้นก็มีปัญญา หลีกเลี่ยงของอารมณ์กรรมตัวนี้เกิดขึ้น ดูซิว่าอารมณ์มันไหลมาจากไหน หยุดอารมณ์ตัวนั้นมันซะ เราอยากได้อยากมีเงินมีทองมาก หยุดมันซะ อยากได้มาอย่างไรบ้าง..หยุด..กลัวมันจะเกิดกรรมขึ้น อยากได้ยศฐานบรรดาศักดิ์ก็หยุดมันซะ พอหรือยัง
พอแล้วก็ หันเข้ามาแก้ไขตัวเอง แก้ไขอะไร แก้ไขนิสัยตัวเอง มาจับตนค้นตน ว่าตนนี้เกิดมาเพื่อต้องการอะไร เกิดมาเพื่อต้องการทรัพย์สินเงินทอง ที่อยู่ที่อาศัยอย่างดี แล้วจิตมีความฉลาดเพิ่มขึ้น แล้วต่อไป ต้องแก่เฒ่าชรา แล้วก็ต้องตาย แล้วของนี้เป็นของเราก็จริง แต่เป็นของโลกเราจะมายึดถือไม่ได้ ก็ค่อยๆปล่อยวางลงไปๆ นั่นพอมากเข้าๆ จิตมีปัญญามากเข้า มันเหมือนกับสิ่งเหล่านี้ เป็นเหมือนกับพวกปลักควาย มีความเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไปอยู่กับเค้ามาก มันก็เปรอะเปื้อนมากอะไรต่างๆ ไม่อยากจะเข้าใกล้มันล่ะ มันน่าขยะแขยงมากขึ้น มันเหมือนกับ ยิ่งปฏิบัติธรรมถึงได้เห็นหูทิพย์ตาทิพย์เกิดขึ้น จะเห็นบ้านบ้าง ที่อยู่อาศัย มันมีแต่ตัวหนอนตัวไร เค้าก็หนี หนีเพราะว่ากลัว กลัวสิ่งพวกนี้มากัด มาต่อมตามมา ทำให้เปรอะเปื้อนเรื่องกายและจิตของเค้า เค้าไม่อยากได้แล้ว เค้ากลัว นั้นก็เป็นเรื่องราวที่จิตได้พิจารณาเกิดขึ้น
แต่ขณะนี้ มันยังไปได้หรอก มันไม่ได้ต้นพุทธกาล มันมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ขอให้รวบรวม อย่าให้พลัดพรากจากคำว่า กายมนุษย์ แล้วกายมนุษย์ อย่าให้เป็นกายสามัญ กายมนุษย์ที่กำลังสร้างบุญกุศลบารมีหนีกรรม มันจะได้ย่นย่อในการเกิดลงไป หรือว่าชาตินี้ พอเราแก้ไขจับต้นค้นตนได้มากเข้า อาจจะเหลือชาติเดียว เกิดในพระศรีอริยะเมตไตรยสำเร็จเข้านิพพานไปเลย ก็ค่อยๆทำไปสะสมไป อย่าไปยึดมันน่ะ ทรัพย์สินเงินทองยศฐานบรรดาศักดิ์มันเป็นกรรมทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก็ทิ้ง เศรษฐีก็ทิ้ง
นี่สมัยต้นพุทธกาล เค้าทิ้งกันหมด เค้าเข้าป่ากันหมด ไอ้เราก็ไปเก็บมา เอามาถนุถนอมมาใช้ ทรัพย์สินเงิน เค้าลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ รีบไปคว้าหามาเรื่องราวต่างๆ บางทีไม่ทันใจ ไปหาผู้วิเศษวิโส สิ่งไหนศักดิ์สิทธ์ รีบไปหาเลย เพื่อจะให้เค้าช่วยเหลือ ที่เค้าทิ้งไว้ต่อดินไฟ้อากาศนี่ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์น่ะ..ไปดึงมาให้ข้าพเจ้า เห็นมั้ย ของที่เค้าทิ้งไว้ เราก็รีบไปเก็บๆมาใหญ่เลย
ไอ้ของที่เราจะช่วยเหลือตัวเองเช่น เอากายไปทำ..ไปแลกเอาทรัพย์สินเงินทองมาเพื่อประทังสังขาร แล้วหยาดเหงื่อแรงกายจากกายบิดามารดา เอามาสร้างบุญสร้างกุศลอย่างนี้ เค้าเรียกว่าผู้ที่แก้ไข นิสัยตัวเองต่อไป ในวันข้างหน้า ไม่ใช่ว่าไปบอกผู้ศักดิ์สิทธิ์นะ เจ้าพ่อเจ้าแม่หรือเกจิอาจารย์ ช่วยเอาของที่เค้าทิ้งแล้ว เช่นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้ หรือ เศรษฐีต่างๆ หรือ พระเวสสันดรที่เค้าทิ้งแล้วนี่ เค้าไม่เอาแล้ว เราก็ให้เค้าไปเรียกมา เอามาให้ ชมตัวเองให้แก่ข้าพเจ้า น่ากลัวมั้ยล่ะ
สิ่งเหล่านั้น เหมือนกับที่เค้าทิ้งขยะ ไปเก็บของขยะกินเหมือนกัน ไอ้ของที่คนกินในถังขยะเป็นยังไง เป็นคนวิกลจิตใช่มั้ย หรือเปล่าคนที่นิสัยไม่ดีใช่มั้ย นั้นน่ะ คือ สิ่งเดียวกันเลย พวกที่ไปหาเจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือ ไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ไปเรียกเอามา เอาไปกินของที่เค้าทิ้งแล้ว ลงขยะ เราก็ไปค้น เค้าส่งมาให้เรากิน ก็ดี..ดูสิคนกิน ที่ถังขยะสติมันดีมั้ย มันก็ไม่ดี
อย่างสมมุติว่า เราไปเจอเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เค้าบันดาลให้เรามีโชคมีลาภเกิดขึ้น วิกลจริตมั้ย โห..มีเงินมีทองมากมาย วิกลจริตมั้ย วาจาก้าวร้าว เมื่อก่อนนี้พูดจะไพเราะ เพราะพริ้ง พอไอ้..ไปกินของพวกนี้ เท่านั้นแหละ ของสกปรกเข้า วิกลจริตเลย วาจาก้าวร้าว ชอบทำร้ายตนโน้นคนนี้ บางทีก็ไปว่าคนโน้นคนนี้อะไรต่างๆ สติก็..ไม่มีสติแล้ว มันเป็นของดีของไม่ดีเกิดขึ้น
คราวนี้ คนที่ได้หยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อไปประทังสังขาร แล้วยัง แบ่งปันมาทำบุญให้ทานอีก แบ่งปันด้วยความเต็มใจ แล้วต่อไปๆ เค้าก็ทำบุญเป็น..มาเจอะเจอวิธีการทำบุญที่ถูกต้องขึ้น ก็ได้บุญที่มากมากมายก่ายกองเกิดขึ้น ความยับยั้งที่อยากจะได้ เป็นคนที่โชคดี มียศฐานบรรดาศักดิ์ ไม่เอาแล้ว เอาอย่างนี้ เอาแค่ประทัง มีชีวิตต่อไปเพื่อ มีโอกาสแก้ไขตัวเอง เพื่อมีเวลาจับตนค้นตน พ้นนิสัยตนเองเกิดขึ้น เพื่อจะได้ไม่มีเวรมีกรรมต่อไปในวันข้างหน้า เพราะระยะทางมันยังยาวไกลมากนัก พยายามนะ มีโอกาสเนี่ย มีกายครบอาการสามสิบสอง มีสติสัมปชัญญะที่ดีเกิดขึ้น ย่นระยะทางได้ กลับทำให้มันยาวขึ้น มันยาวอยู่แล้ว ก็ให้มันยาวต่อไป ไม่มีวันจบสิ้น
มีโอกาสแล้ว มาทำอย่างนี้ เค้าเรียกว่าย่นระยะทางแล้ว ย่นระยะทางไม่ต้องไปเกิดตายๆ มันบ่อยครั้ง เกิดตายมาเท่าไหร่ จิตเราก็แย่มากเท่านั้น เหมือนกับถูกเค้าทุบ ถูกเค้าตีตลอดเวลา ใครตีกรรมนั่นซิ..ตี ตีจิตของเรามากเค้าๆ ไม่เอาแล้วบุญ ความดีอะไรต่างๆ ไม่เอา เอาแต่สิ่งที่..จิตที่โหดร้ายบ้าง จิตที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น มันก็ลงอบายภูมิไป ลงไปแล้ว ไม่ใช่ลงตื้นๆเมื่อไหร่ อยู่ที่ไหน..อยู่ในนรก ตัดสินแล้วหรือยัง ตัดสิ้นแล้ว หนึ่งกัปป โอ้โห..หนึ่งกัปป ไม่ใช่หนึ่งวันหนึ่งปี เห็นมั้ย เนี่ย..มันเป็นอย่างนี้ เวลาไปแล้ว
ตอนนี้..ถ้านั่งแบบนี้ นั่งประพฤติปฏิบัติธรรม ปวดแข้งปวดขา ถ้าไม่ทนก็เป็นคนที่ไม่ฉลาด ถ้าทนก็เป็นคนฉลาด..เห็นมั้ย เพราะอะไร นึกถึงว่า ถ้าเราไปตกอบายภูมินี่ น่าสงสาร แต่ตอนนี้..นั่งปวดน้ำเลี่ยน้ำตาเล็ดก็ไม่น่าสงสาร เพราะเดี๋ยว..มันก็หาย ถ้าเราไปตากฝน ตากแดดอยู่นี่ อย่างอาตมาเนี่ย สั่งให้ไปนั่งเฝ้า ทุกคนนั่งตากฝนอยู่ เป็นวันเป็นคืน น่าสงสารมั้ย ไม่น่าสงสารเลย กลับดีอกดีใจ ทีเค้าจะมีขันติเป็นบารมีเกิดขึ้น
แต่ทุกคนเห็น น่าสงสาร ตากความร้อนความนหาวอยู่อย่างงั้น น่าสงสาร นึกถึงซิ ถ้ามันตกอบายภูมิแล้วเนี่ย แหย่ขา..เข้าไปอบายภูมินิดเดียว มันดิ้นทุรนทุรายแล้ว มีแต่ความร้อน ความทุกข์ทรมานทั้งนั้น เค้าไม่ได้มรมานแบบนี้เมื่อไหร่ พักเดียว..เดี๋ยวกมีเสื้อผ้าเปลี่ยนบังแดดบังฝน บังความหนาวได้ ที่นั่นมีมั้ย..ไม่มี ทุกข์ทรมานแล้ว ก็จบ เหมือนกับ สลบแล้ว ก็ฟื้นมาใหม่อีก เป็นอยู่อย่างงั้น เป็นไม่ใช่ปีเดียวเมื่อไหร่ มันเป็นพันๆปี อย่างงี้ ทรมานอยู่อย่างงี้ น่าสงสารมั้ย อยู่อย่างงั้นเนี่ย
นี่ที่มาเนี่ย พยายามปิดประตูนี้ให้ทุกคน เมื่อมาถึงที่นี่ ..ไม่ให้..ไปถอดกลอนประตูนั้น เปิดออกมาเดี๋ยวจะเดินตกลงไป ในสถานที่ไม่ควรจะเดิน เดินตกลงไป เดินมาทางนี้ๆเดินมาด้านนี้..นี่ จะมีแต่ความสุขความสบายใจก็ไม่ค่อยจะเอากัน ไม่มีเวลาจะเอาบ้าง ไม่มีเวลาที่จะประพฤติปฏิบัติ แต่ว่าไปนั่งดูการละเล่น ไปนั่งคุยกัน ไปนั่งอะไรเยอะแยะ เวลาสร้างกรรมเยอะแยะเหลือเกิน แต่เรียกมา กวักมือเรียกมาทางนี้ๆ มีเป็นวิมานชั้นฟ้านะ ไม่เอาสั่นหัวเลย อยู่ตรงนี้ดีกว่า อยู่กับอบายภูมิสบายใจอย่างนั้น เพราะเวลานั้นที่พูดคุยกัน สนุกสนานกันนั่นน่ะ เป็นเรื่องอะไร เป็นเรื่องของ
กรรมทั้งนั่น ไอ้ที่จะแก้กรรม ไม่มีหรอก
เนี่ย..เค้าบอกว่ามากระทำซะ มาล้างบาปล้างกรรมกันเสียบ้าง เช่น เดินจงกรม เดินด้วยความอดทน เดินนิดๆหน่อยๆ ไม่ไหวแล้ว..ทนซิ ทนมันกำหนดเวลาให้มันยาวนะ เดินให้มันที่สุด ไม่หมดเวลา ฉันก็ไม่หยุดเดิน เดินไม่ไหว ก็คลานเอา อยากจะรู้ความรู้สึก ให้กายสอนจิตให้ได้ เดินน่ะ เดินไปปวดเมื่อยเหลือเกิน เรียกว่า ความวุ่นวายภายในใจเกิดขึ้น ..ปล่อยมัน ให้กายสอนจิตให้ได้ ทุกข์คือ อะไร ให้กายสอนให้ได้ ให้จิตมันรับรู้ให้ได้ ไอ้นี่..มีแต่อารมณ์ปรุงแต่ง พอล่ะ แค่นี้ ปวดเมื่อยแล้ว เดินไปก็ไม่ได้อะไร เงินทองก็ไม่ได้ เดินไปไม่ได้อะไรสักอย่าง เดินไปก็มีแต่กรรม
เค้าให้เดินปลดปล่อยกรรม แต่บอกว่าเดินมีแต่กรรม นั้นแหละ ไม่ไปดูกายสอนจิต นั้นเป็นอย่างไร ทนซิ ทนให้เป็นขันติบารมีให้ได้ เดี๋ยว..กายเค้าก็สอนจิตให้เองว่าทุกข์มันเกิดจากตัวอะไรบ้าง มีกิริยาอะไรบ้าง ที่เป็นทุกข์ ทุกข์เกิดจากอารมณ์ตรงไหนบ้าง ความสับสนวุ่นวาย..พอมันปวดมากๆ ความสับสนวุ่นวายใจ มันก็เกิดขึ้น เดี๋ยว..พอมากๆเข้า
อารมณ์ก็..เอ็งจะหนีข้าไปไหน อารมณ์พาจิตไปเที่ยวที่โน้นที่นี่ เดินเฉยเลย เดิน..บอกเราเดินชั่วโมงเดียว กำหนดเวลาชั่วโมงเดียว เดินไปสองชั่วโมงก็ไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อยอะไรทั้งนั้น เพราะอารมณ์มันพาจิตไปเที่ยว ไปที่โน้นที่นี่อะไรต่างๆ แล้วแต่
พออารมณ์ไม่มา เหลือแต่กาย อารมณ์ก็พยายามเร่งเร้า ให้หยุดการเดิน การอะไรทั้งนั้นให้หยุด เดี๋ยวจะเดินไม่ได้ เดี๋ยว..จะบำบากลำบน แล้วแต่อารมณ์จะปรุงแต่ง เราต้องทนให้เป็นขันติบารมีให้ได้ ให้กายสอนจิตให้ได้ ถ้ากายไม่สอนจิต ใครจะมาสอน มีแต่เค้าชี้แนะให้เท่านั้น
อย่างที่มาพูดให้ฟังนี่ แค่ชี้ให้เห็นเรื่องราวต่างๆ ให้เกิดจิตมีความพยายาม ที่จะแก้ไข เรื่องราวต่างๆของตัวเอง ไม่ใช่พูดให้ไปแก้ไข พ้นจากบาปจากกรรมไม่ใช่ เพียงต้องมาพูดให้ฟัง มาบอกให้ฟังเพื่อจะให้จิตกระตือรือร้นในการกระทำขึ้น เพื่อจะให้กายมาสอนจิต จับตนค้นตนเกิดขึ้น
ธรรมะ..อยู่ที่ตน อยู่ที่ตนกระทำผิดนั้นแหละ แก้ไขความผิดอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่อยู่ที่คนโน้นพูดคนนี้พูดอะไรต่างๆ ไม่มีใครแก้ไขให้เราได้หรอก พระพุทธเจ้าก็แก้ไขให้เราไม่ได้ เพียงแต่ชี้ให้เห็นเท่านั้นแหละ แล้วเราก็ไปกระทำขึ้น เพราะไม่ใช่กายของท่าน ไม่ใช่จิตของท่าน ท่านจะไปแก้ไขยังไง เรากระทำความผิด กระทำความดีอย่างไร จะเป็นขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ ก็เป็นของเราทั้งนั้น เราก็ต้องแก้เอง ทำเองทั้งนั้น พอจะเข้าใจนะ เรื่องนี้ แล้วจะแก้ไม่แก้ เรื่องของเรา เราจะทำอย่างไร ก็ไม่ว่ากัน อยากจะเกิดบ่อยๆ อยากจะอยู่..อยู่มัน เกิดตายๆ ถ้ามันพลัดพรากไป อยู่ในสังขารที่มันทุกข์ทรมาน ที่มันไม่รู้จักบุญและบาปจะทำอย่างไร ก็ให้คิดอย่างนี้
เกิดมาโลกมนุษย์เหมือนกัน แต่มนุษย์ก็มีหลายอย่าง หลายอย่าง หลายพันที่จะมี ..ไม่รู้จะบอกอย่างไรถูก บางคนเป็นโรคอย่างโน้นอย่างนี้ น่าตาอย่างโน้นอย่างนี้ โอ้ว..เยอะแยะเลย ฉะนั้น เราคัดของเราดีกว่า คัดให้เรามีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง มีหน้าตา สดสวยเกิดขึ้น มีทรัพย์สมบัติ มีหน้าที่การงาน โอ้ว..ต่างๆดี ทำอย่างไร ก็อย่าทำให้มันผิดพลาดซิ อย่าใช้กายวาจาใจผิดพลาดไปในเรื่องกรรมเท่านั้นแหละ
แล้วเราก็จะเกิดมาได้ดี แต่ต้องรู้แล้วละ จากกรรมนั้นเสีย ไม่ใช่รู้แล้วสร้างแต่เวรแต่กรรม อย่างที่สมัยนี้พยายาม เอาธรรมะไปหากินกัน ไปพูดอย่างโน้นอย่างนี้ ทำให้คนเค้าหลงใหล นึกว่าสิ่งนั้นทำให้ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นวิมานได้ เปล่าลงนรกทั้งนั้น เพราะไปเชื่อเค้า
ธรรมอยู่ที่จิตของเรา แก้ไขอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่ไปแก้ไขคนอื่น เรามองคนอื่นได้..มองน้อยๆ แล้วมามองนิสัยตัวเองมากๆ มองนิสัยตัวเองได้มากเท่าไหร่ มันก็ประเสริฐ แล้วการแก้ไขกรรม มันก็สบายมากขึ้น แล้วก็การจุติต่อไปก็ไม่ใช่สังขารธรรมดาแล้ว สังขารของมนุษย์ที่กำลังปลดปล่อยเรื่องอารมณ์กรรมตัวกระทำ
แล้วผู้ที่กระทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องใฝ่ในเรื่องการทำบุญให้ทานสวดมนต์ภาวนา แล้วก็รู้จักวิธีล้างบาปล้างกรรมของตัวเอง เราเดินไปสร้างกรรม ยืนสร้างกรรม เดินสร้างกรรม นอนสร้างกรรม นั่งสร้างกรรม เอามาทั้งสี่มาแก้ไขซะ จะเอาทางหนึ่งทางใดก็เอา จะได้ไปแก้ไขทุกรอยนั่นแหละ ขอให้ฟังแล้วหมั่นพิจารณา อย่าฟังแล้วไป ..ฟังแล้วไปเพลิดเพลินตามที่ได้ฟังไฟ ฟังเพลินจนนั่งหลับเลยน่ะ ฟังซะหลับเลย บางคนก็เป็นที่โอกาสของมารที่จะขยำขยี้จิตของเรา เราฟังธรรม ต้องฝืน ฝืนให้มากๆ เพราะว่ากรรมของเราพยายามจะปิด ที่เราจะนำสิ่งนั้น ไปคิดไปพิจารณานี่ เค้าพยายามที่จะปิดไม่ให้เรารู้ เราต้องเปิดประตูมารับรู้เรื่องราวเหล่านี้ พยายาม..ใครจะผลักประตูปิด เราก็พยายามเปิดให้ได้ อย่าไปปิดซะ
ก็ชี้มาพอที่รับรู้กันบ้าง บางคนก็ไปสวรรค์กันเลย ไม่กลับเลย หรือสวรรค์ชั้นไหนก็ไม่รู้ กู่ก็ไม่กลับ เอ้า..กลับมาซะ จะยุติการชี้ให้เห็นแล้ว ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปน่ะ โยมน่ะ หมั่นฝึกหมั่นปฏิบัติ ทำไม่เป็นก็ฝึกทำให้เป็น ทำยังไง เค้าเรียกว่า กายบุญ วาจายังไง ที่เป็นวาจาของบุญ วาจายังไง ที่เป็นวาจาของบารมี การสวดมนต์ หรือการจะไหว้พระ กราบพระเครื่องหมายของธรรมเนี่ย ไหว้พระองค์ไหนก็ได้ ภิกษุองค์ไหนก็ได้ เครื่องหมายของธรรม แล้วกราบให้เป็น ไม่ใช่ไหว้ปะหลกๆอย่างนี้ใช้ไม่ได้ กราบเหมือนกับอะระหังสัมมา พอกราบลงไป แล้วยกขึ้นมา มันเป็นจังหวะมา สวยมั้ย..สวย..พ่อแม่เรากราบพระสวย จิตของเรากสง่างามขึ้น..ไม่เหนื่อย พอลงกราบอย่างนั้น มันเหนื่อยน่ะ พอถึงจับพรวดๆ มันเหนื่อย เอากราบแบบไม่เหนื่อยซิ มีสติด้วยน่ะ ก็ช่วยเหลือตังเอง อีกไหนไม่รู้ก็ถามได้ ก็จะชี้เรื่องราวต่างๆให้ฟัง สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา